ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน

ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

วันนี้ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๕ จะขอย้อนไปถึงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๕ วันนั้นปรากฏว่าป่วยหนัก มีอาการเป็นไข้ซ้อน ท้องก็เสีย ปรากฏว่ามีอารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์มืด ไม่สามารถจะไปนิพพานได้ มีอาการเป็นอย่างนี้อยู่ถึง ๒-๓ วัน

ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๓๕ จิตเริ่มโปร่ง ไข้ลดตัวลง จึงไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประทับ กราบทูลถามท่านว่า

“ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า อารมณ์ฟุ้งไม่สามารถจะมองเห็นนิพพานได้ ไม่สามารถจะไปนิพพานได้ อารมณ์อย่างนี้ ถ้าตายจะพลาดนิพพานไหม”

องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงตรัสว่า

“ภิกฺขุ ดูกรภิกษุ จิตมีสภาพจำ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คิดถึงนิพพาน แต่อารมณ์เจาะจงพระนิพพานของจิตมีอยู่ งั้นถ้าเธอตายเวลานั้น ก็ไม่สามารถจะพลาดนิพพานได้ ต้องมานิพพานได้แน่นอน”

หลังจากนั้นก็นมัสการทูลถามองค์สมเด็จพระชินวรตามสมควร เรื่องเล็กๆน้อยๆ เรื่องของกระแสของจิต ท่านก็ตรัสว่า

“เรื่องของจิตให้เกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถึงแม้จะอยู่ข้างล่างก็ดี อยู่ข้างบนก็ดี ยามปกติก็ตาม ให้ถือว่าเราต้องการนิพพานไว้เสมอ ถ้าจิตต้องการนิพพานไว้เป็นปกติอย่างนี้ ถึงแม้ว่าอาการป่วย จิตจะมัวไปบ้าง จิตไม่เกาะพระนิพพาน แต่ว่าจิตมีสภาพจำ จิตสามารถจะไปนิพพานได้ทันที ในเมื่อออกจากร่าง”

ต่อจากนั้นก็กราบทูลองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

“ข้าพระพุทธเจ้าจะไปเทวสภาก่อน”

องค์สมเด็จพระชินวร คือ พระปฐม ก็ตรัสว่า

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปด้วย”

พระพุทธเจ้าก็เสด็จ อาตมาก็ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาที่เทวสภา พอมาถึงที่ประทับ ท่านก็ประทับบนธรรมมาสน์สูง อาตมานั่งแท่นต่ำ แต่รู้สึกว่าจะสูงกว่าเทวดานิดหน่อย เวลานั้นปรากฏว่าเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ทุกชั้นมาหมด เห็นจะไม่มาเพราะอาตมา ทั้งนี้เพราะว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาด้วย เขาคงจะทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมา เขาจึงมากัน ในเมื่อนั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยกมือพนม หันหน้าไปทาง เทวดา กับพรหม นางฟ้า ว่า

ท่านทั้งหลายที่มีพระคุณที่เคยเป็นบิดา มารดามาบ้าง เป็นญาติผู้ใหญ่บ้าง เป็นผู้มีคุณต่างๆ บ้าง เป็นครูบาอาจารย์บ้าง และก็ทุกท่านทุกองค์มีคุณกับอาตมาทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพราะว่างานการทุกอย่าง ท่านช่วยทุกอย่าง ไม่ต้องการเงิน การสร้างวัดการจะไปไหนก็ตาม รู้สึกว่าทุกท่านเมตตาปราณี พยายามป้องกันภยันตรายต่างๆ เห็นชัดว่าท่านทั้งหลายมีความเมตตาปราณีอาตมา อาตมาขอขอบคุณท่าน

หลังจากนั้นบรรดาเทวดากับพรหมทั้งหมดก็กราบ ๓ ครั้ง ไม่ได้กราบอาตมา กราบพระพุทธเจ้า อาตมาก็หันไปหาทางพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ยกมือพนม ท่านก็เทศน์ว่า

“ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย นั่นหมายถึงว่าการจุติ เพราะว่าเวลานี้ยังมีเทวดากับนางฟ้าบางส่วน มีความเพลิดเพลินในทิพยสมบัติเกินไป หลังจากที่มาจากมนุษย์ อยู่ที่เมืองมนุษย์มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวัง ทุกอย่างต้องใช้แรงงาน แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความว่า ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นเป็นปกติ ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องห่มผ้า และมีความปรารถนาสมหวัง

หมายความว่า ท่านจะไปทางไหน ก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่าเราจะอยู่ที่นี่ ตลอดกาล ตลอดสมัย

ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องจุติ คือตาย แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมว่าเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้า ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติ ๆ ยังมีมากมาย”

พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจ ดูร่างกายเทวดา นางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ภายในหนามาก เป็นอันว่าทุกองค์ ต่างองค์ ต่างมีบาป แต่ก็มาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเอง เวลานั้นร่างกายของตัวเองก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า

“ภิกฺขเว..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่าทุกท่านมีบาปติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อยก่อนจะตาย จิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มาเกิดบนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่า ท่านจุติเมื่อไร โน่น..นรก (ท่านชี้มือลง เห็นนรกไฟสว่างจ้า แดงฉานไปหมด)

ท่านทั้งหลายจะต้องพุ่งหลาวลงนรก เพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเป็นคนอาจจะทำบาปใหม่ อาจลงนรกไปใหม่ก็ได้

ฉะนั้น เมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพาน ระหว่างมนุษย์กับพระนิพพาน เป็นอันว่าท่านทั้งหลายมาได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดู นั่น นิพพาน”

ท่านยกมือชี้ขึ้นชี้ให้ดูพระนิพพาน เวลานั้นเทวดา นางฟ้า กับพรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกัน เห็นพระนิพพานใสสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือสีแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลายที่อยู่ที่นั่น มีความสุขขนาดไหน มีความเข้าใจหมด รู้หมด เห็นหมด แล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคต ก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า

“ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีในคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์ เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่เกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว และการไปนิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึดอารมณ์พระนิพพานเป็นสำคัญ

สำหรับพรหมก็ดี เทวดานางฟ้าเก่าๆ ก็ดี อาตมาไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่า พรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วง ก็เป็นห่วงเทวดา นางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความจะมีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ยังมีความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อน อันนี้เป็นความเห็นที่ผิด

จงคิดตามนี้ เพื่อพระนิพพาน นั่นคือ จงมีความรู้สึกว่า เราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่า ท่านทั้งหลายควรจะเคารพไหม

ถ้าจิตใจของท่านมีความศรัทธา มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการขั้นที่สอง ที่ท่านจะไปพระนิพพานได้ หลังจากนั้น ขอท่านทั้งหลายจงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็น ศีล ๕ ก็ตาม ศีล ๘ ก็ตาม กรรมบถ ๑๐ ก็ตาม ศีล ๑๐ ก็ตาม ศีล ๒๒๗ ก็ตาม”

พอท่านพูดถึงศีล ๒๒๗ ก็คิดในใจว่า เทวดาจะไปบวชที่ไหน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า

“ฤาษี…เทวดา เขาไม่ต้องบวช อย่างเทวดาชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้เขามีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ทั้ง ๒๒๗ เหมือนกับความเป็นพระ พรหมก็ตามก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุข เขาไม่มีอาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี”

แล้วท่านก็กลับหันหน้าไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหม ว่า

ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งใจเฉพาะศีล ๕ ก็ได้ ศีล ๘ ก็ได้ ศีล ๑๐ ก็ได้ กรรมบถ ๑๐ ก็ได้ ศีล ๒๒๗ ก็ได้ ตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่ละเมิดในศีล หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีสภาพไม่เที่ยง จะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้าย ในเมื่อการจุติยังเกิดขึ้น อารมณ์จะเป็นทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่า เราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติ เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์

ท่านทั้งหลายจงดูภาพของมนุษย์ (แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มนุษย์เต็มไปด้วยความโสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่างๆ มนุษย์มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้ว จะเป็นทรัพย์สิน ยังไงก็ตาม ในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์ เราก็หมดสิทธิ

อย่างบางท่านเป็นพระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดี ๆ สร้างไว้เป็นที่หวงแหน คนภายนอกเข้าไม่ได้ เข้าได้แต่คนภายใน แต่ว่าท่านทั้งหลาย เมื่อตายมาแล้ว ถ้ากลับไปเกิดเป็นคน หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์เข้าเขตนั้นเลย ทั้งๆ ที่เป็นของที่ท่านสร้างเอาไว้ ท่านทำเอาไว้ทุกอย่าง ทั้งท่านจะไม่มีสิทธิ

นี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์ มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องตะเกียกตะกาย ดูภาพมนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีใครหยุด ต้องเดินไปเดินมาทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียวคือเงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน”

ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้ว ก็บอกว่า

จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมายความเป็นมนุษย์ เห็นว่ามนุษย์เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุด

และจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้า กับพรหม ก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน เมื่อมีความเกิดในเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา ก็มีความจุติในที่สุด

ทุกคนหวังพระนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้เสมอว่า เราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือพระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวันข้างหน้า

ตถาคตมีความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดานางฟ้าพรหมเก่าๆ มีความเข้าใจดีแล้ว คำว่าเข้าใจ บรรดาท่านพุทธบริษัท หมายถึงว่า เขาปฏิบัติได้ นี่คือ อารมณ์พระโสดาบัน กับ อารมณ์พระอรหันต์

สำหรับเทวดานางฟ้าและพรหมใหม่ ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป แล้วมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่า ความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้น และบาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวเรายังมีอยู่

ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดี ในเมื่อจุติ จากความเป็นเทวดาหรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ จงดูภาพนรกว่า มีขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารัก มันไม่น่าอยู่ไม่น่ารัก จงดูภาพมนุษย์ว่ามนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ และก็ดูเทวดานางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคนที่อยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดา เคยเป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน จงดูภาพพระนิพพาน ให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพานไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อพระองค์ตรัสเพียงเท่านี้ พระองค์ก็จบ จึงกราบพระองค์ท่านแล้วทูลว่า

“จะไปพระนิพพาน”

ท่านตรัสว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็ชวนเทวดากับพรหมไปด้วยสิ เขาจะได้รู้ว่าพระนิพานมีความสุขอย่างไร แต่เทวดา นางฟ้า พรหม ก็มีหลายท่านที่เคยไปเที่ยวพระนิพพานมาแล้ว ที่เป็นพระอริยเจ้าท่านรู้ แต่ที่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้าจะยังไม่ทราบ”

ท่านชวนไปด้วย จึงหันหน้ามาชวนเทวดา นางฟ้า กับ พรหม ยกมือไหว้ท่านผู้มีคุณทั้งหมด กราบท่าน ท่านมีคุณ ท่านช่วยเหลือการงาน ท่านช่วยเหลือทุกอย่าง ป้องกันอันตรายให้ ถ้าสิ่งใดที่ไม่เกินวิสัยที่ท่านจะช่วยได้ ท่านจะช่วยให้มีความสุข หลังจากนั้น ก็ตามพระพุทธเจ้าไปนิพพาน ท่านขึ้นไปเข้าบริเวณหน้าประตู เห็นวิมานแพรวพราวระยับ จึงคิดในใจว่า

“วิมานขององค์อื่นมีหลังเดียว แต่ทำไมของเราจึงต้องมี ๓ หลัง”

ท่านสหัมบดีพรหมเข้ามาใกล้ แล้วบอกว่า

“วิมาน ๓ หลังต้องใช้อย่างนี้ วิมานหลังหนึ่งที่คุณมา คุณใช้เป็นปกติ คุณมาทุกวันคุณใช้ปกติ อันนั้นวิมานประจำตัว วิมานหลังตรงหน้าออกไป ที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกันนั้น เป็นวิมานที่ประทับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับวิมานหลังใหญ่ยาวหลังนั้น เป็นวิมานที่ประทับหรือเป็นที่นั่งของเทวดา นางฟ้า พรหม และพระอรหันต์ที่มาประชุมกัน”

ก็มองไปดูนางฟ้าและพรหมรู้สึกว่ามีจำนวนนับเป็นสิบสิบล้าน เมื่ออยากจะทราบว่า วิมานหลังนั้นโตก็จริง แต่ถ้าว่า ถ้าเทียบกับเทวดา นางฟ้า กับ พรหมที่มา เทียบกันไม่ได้

ท่านสหัมบดีพรหมก็บอกว่า “ประเดี๋ยวก็รู้” เมื่อขึ้นไปถึงที่ ก็ปรากฏว่าวิมานที่ตั้งอยู่ เคยมีฝาทึบ ฝาก็โปร่ง เคยเล็กไปหน่อยก็ใหญ่ ยาว กว้าง ลึกมาก มีแท่นเป็นที่ประทับของเทวดา นางฟ้า และ พรหมทั้งหมด เป็นแท่นแก้วแพรวพราวเป็นระยับ เท่ากับสภาพความเป็นทิพย์ของเทวดา นางฟ้า กับ พรหม วิมานหลังหน้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมเป็นหัวหน้า หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ก็เสด็จประทับ สวยงามเป็นระยับ เป็นสง่าผ่าเผย ใหญ่โตมาก จับใจ ตัวเองก็มานั่งที่วิมานของตัวเอง นั่งบนแท่นแก้ว แต่ก็ต่ำกว่าแท่นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะองค์ปฐมทรงตรัสว่า

“ฤๅษี ที่นี้เป็นที่อยู่ของเธอ เมื่อตอนต้นเธอถามว่า ถ้าจิตมัวไม่นึกถึงพระนิพพาน ก่อนตายเธอจะมานิพพานได้ไหม ขอให้เธอปฏิบัติตามนี้ คือ ทุกครั้งที่มีความว่างจากการงาน จงมาที่นิพพานนี่ มานั่งที่ที่ประทับของเธอ ถ้าพระพุทธเจ้าท่านว่าง ท่านก็จะมาสงเคราะห์เธอ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ว่าง ก็จะเปล่งฉัพพรรณรังสีมาแทนพระองค์ ก็เหมือนกับพระองค์มาเอง นอกจากนั้นบริวารของเธอที่มานิพพานแล้วมากมาย เขาก็ได้มาคุยมาสนทนาด้วย จิตใจของเธอก็จะมีแต่ความชุ่มชื่น พระนิพพานมีแต่อารมณ์แห่งความสุข ไม่มีอารมณ์ความทุกข์ ไม่มีความวุ่นวาย พระนิพพานมีความสุขมาก เวลานี้เธอมีความรู้สึกอย่างไร”

ก็ตอบท่านว่า

“ไม่มีกังวล คำว่ากังวล ความห่วงใยใด ๆ ทั้งหมดไม่มี แต่ความจริงอยากจะมานิพพานนานแล้ว”

องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ตรัสว่า

“ช้าก่อน รอเวลานิดหน่อย ให้การงานของฉันเสร็จ และคนที่จะพึงช่วยเหลือได้ยังมีอยู่ ที่เขายังไม่มายังมีอยู่ จงอยู่รอการช่วยเหลือเขาก่อน เมื่อช่วยเหลือเขาเสร็จแล้วเมื่อไหร่ ก็จะมานิพพานได้เมื่อนั้น ให้มีความสุขใจว่า ถ้าเราตายจากความเป็นคน เราจะมีความสุขที่สุด คือนิพพาน ในระหว่างที่เราเป็นคนอยู่ เราก็จะทำทุกอย่างเพื่อความสุขของคนอื่น ท่านหมายความ เป็นความสุขของคนอื่น ไม่ใช่ความสุขของตัวเอง

“เธอทั้งหลาย จงดูเทวดา นางฟ้า กับ พรหม ที่สวยสดงดงาม ทั้งหมดนี่ ไม่ใช่ว่าจะเคยมานิพพานแล้วทุกองค์ มีบางส่วนเท่านั้นที่รู้จักนิพพาน คือขึ้นมาได้ นั่นคือความเป็นพระอริยเจ้า ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้าจะมาไม่ได้ นี่อาศัยความดีของเธอ ท่านสงเคราะห์เธอ เธอก็สงเคราะห์ท่าน เธอชวนมานิพพาน ท่านจึงมากันได้ การกระทำอย่างนี้ จงทำเป็นปกติ จงสงเคราะห์ทั้งมนุษย์ ทั้งเทวดา ทั้งนางฟ้า และ พรหม เทวดา นางฟ้า พรหม ท่านก็สงเคราะห์เธอ เธอก็สงเคราะห์ท่าน เป็นการตอบสนองกัน เป็นความดีเข้าหากัน เอาละ สำหรับวันนี้ ฤาษี กาลเวลาก็ใกล้เข้ามาแล้ว มันจวนจะเพล ฉันก็จะกลับที่อยู่ เธอก็จงกลับเมืองมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ก็จงกลับวิมานของเธอ”

หลังจากนั้น ท่านก็ลุก พวกเราก็กราบ เทวดากับพรหมก็กราบ และท่านก็จากไป พวกเราก็กลับสถานที่

เอาละ บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ก็ไม่สบาย ร่างกายไม่ดี เสียงก็ไม่ดี แต่ว่าจำเป็นต้องพูด ต่อนี้ไปจะหาเสียงดีก็คงจะไม่ได้ เป็นอันว่าเรื่องของการมานิพพานเป็นปกติของอาตมา ถ้ายามว่างเมื่อไหร่ หรือแม้แต่มีเวลาเพียงห้านาที สิบนาที ก็จะมานิพพานทันที เพื่อความอยู่เป็นสุขของจิต เมื่อเข้าถึงนิพพานเมื่อไหร่ จิตก็มีความสุขเมื่อนั้น

เอาละ บรรดาท่านทั้งหลาย ดูเวลาก็หมดแล้ว ขอยุติเพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิพิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี.

เรื่องนี้ถูกเขียนใน คำสอนสมเด็จองค์ปฐม และติดป้ายกำกับ , คั่นหน้า ลิงก์ถาวร

2 ตอบกลับไปที่ ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน

  1. อนุโมทนา สาธุ ครับ

  2. viphard พูดว่า:

    สาธุครับ

ความเห็นถูกปิด