การอุทิศส่วนกุศล

การอุทิศส่วนกุศล
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ ลูกทำสังฆทานให้สัมภเวสี ถ้ากลับไปแล้วจะ กรวดน้ำ ให้ได้ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “การอุทิศส่วนกุศล ในพระพุทธศาสนานี่ไม่มีน้ำ แต่ว่าที่พระเจ้าพิมพิสารทำเป็นองค์แรก เพราะว่าศาสนาพราหมณ์เขาถือว่า ถ้าจะให้อะไรกับใคร ต้องให้คนนั้นแบมือ แล้วเอาน้ำราดลงไป และตอนที่พระเจ้าพิมพิสารทำ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ห้าม เพราะเป็นประเพณีนิยม

เวลาที่พระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนกุศลต้องใช้น้ำ เพราะว่าท่านเพิ่งพบพระพุทธเจ้า ประเพณีของพราหมณ์ยังชินอยู่ แต่ว่าใจท่านตั้งตรง เวลาอุทิศส่วนกุศลจริงๆ ในพระพุทธศาสนาไม่ต้องใช้น้ำ ผีกับเปรตต้องรีบวิ่งกลับ เพราะไม่ได้กินแน่ เพราะฉันเคยพบมาแล้ว แต่ไม่มีน้ำน่ะ ว่า อิมินา เพลินไป ยังไม่ถึงครึ่ง ก็มีคน ๒ คนถือโซ่มาคล้องคอปั๊บลากไปเลย”

ผู้ถาม :- “มีบางคนบอกว่า กรวดน้ำแบบแห้ง ตายไปชาติหน้าจะแห้งแล้งเพราะไม่มีน้ำ โบราณพูดอย่างนี้ จะจริงหรือเปล่าคะ…?”

หลวงพ่อ :- “เขาพูดได้ยินหรือเปล่า คนที่พูดมาได้ยินหรือเปล่า…คนโบราณพูดอย่างนี้ คนโบราณพูดหรือเปล่า…ถ้าได้ยินแสดงว่าเขาพูดจริง แต่ก็ไม่ได้แห้งแล้งจริง

การอุทิศส่วนกุศล พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ใช้น้ำ ฉันใช้น้ำวันเดียววันบวช ว่าไม่ถูกเลย ต้องระวังน้ำหยดอีก ผีไม่ได้กินน้ำ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันไม่เคยใช้น้ำเลย ก็เห็นผีได้รับ แต่ชาติหน้าถ้าจะทำอย่างนั้น ถ้าฉันยังไม่ตายก็ไม่ได้เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไรนะ กินน้ำเกลือเผื่ออยู่แล้ว เผื่อชาติหน้าจะอด”

ผู้ถาม :- “อ้อ…มิน่าละ หลวงพ่อถึงให้น้ำเกลือบ่อยๆ”

หลวงพ่อ :- “ใช่ มีทั้งน้ำสะอาด น้ำเกลือ น้ำหวาน เผื่อไว้ตลอด

รวมความว่า เวลาจะอุทิศส่วนกุศล ให้ใช้ภาษาไทยสั้นๆ อย่างทำบุญสังฆทาน เราก็ตั้งใจว่า การบำเพ็ญกุศลในวันนี้ ผลนี้จะมีแก่ข้าพเจ้าเพียงใด ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่…(บอกชื่อ)…ขอให้มาโมทนารับผลเช่นเดียวกับข้าพเจ้า

และตอนที่พระสงฆ์ให้พรนี้ ก็ขอเจ้าภาพทุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้ว ตั้งจิตปรารถนาเอาตามประสงค์ สมมติท่านทั้งหลายตั้งใจเพื่อพระนิพพาน อันนี้ก็ต้องเผื่อไว้ด้วยว่าหากสมมติว่าเราตายจากชาตินี้แล้ว ยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงไร สมมติว่าเราตาย ถ้าเราไม่เผื่อไว้ละก็มันจะขลุกขลัก ฉะนั้นการอธิษฐานจิต คือตั้งอธิษฐาน เขาเรียกว่า อธิษฐานบารมี

เจริญพระกรรมฐานก็ดี ถวายสังฆทานก็ดี อธิษฐานว่า ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบัน แต่ทว่าถ้าหากข้าพเจ้ายังเข้าไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด จะเกิดใหม่ไปในชาติใดก็ตาม ขอคำว่าไม่มีจงอย่าปรากฎแก่ข้าพเจ้า ถ้าเราต้องการอะไรให้มันมีทุกอย่าง จะไม่รวยมากก็ช่าง เท่านี้ก็พอแล้ว”

ผู้ถาม :- “เมื่อทำบุญแล้ว ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลภายหลัง จะได้ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่ง สักกี่ปีๆ บุญก็ยังมีอยู่ ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้วเดี๋ยวเดียวมันหายไป ไม่ใช่อย่างนั้นนะ”

ผู้ถาม :- “แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศล จะได้บุญเต็มที่ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศลนี่นะ ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียว ใช่ไหม…ทีนี้ถ้าเราให้เขา ของเราไม่หมด อีกส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบจากของเดิม

อย่างเรื่องของ พระอนุรุธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคน เกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะ จะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านมารับบาตรนะ ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า

“สมมติว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบ ไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยม แล้วคบทุกคนก็สว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไหม…?”

ท่านอนุรุธ ก็บอกว่า “ไม่ยุบ”

แล้วท่านก็บอกว่า “การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขา เขาโมทนา แต่บุญของเรา เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์”

ผู้ถาม :- “การแผ่ส่วนกุศลไปให้แก่บิดามารดา ท่านจะได้รับผลไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “การได้รับส่วนกุศลนี่ ถ้าหากท่านมีโอกาสโมทนา ท่านก็ได้รับ ถ้าท่านไม่มีโอกาสโมทนา ก็ไม่ได้รับ เหมือนเราเอาสิ่งของไปให้ แต่ผู้รับเขาไม่รับ เขาจะได้ไหม…ถ้าพวกเขาอยู่ในนรก ไฟไหม้ทั้งวัน ถูกสรรพาวุธสับฟันทั้งวัน ถ้าเราเอาขนมไปให้กิน เขากินได้ไหม”

ผู้ถาม :- “ไม่ได้ค่ะ”

หลวงพ่อ :- “อยู่ในแดนเปรต ๑๑ จำพวกไม่ได้รับ แต่ถ้าเป็นพวกที่ ๑๒ ปรทัตตูปชีวีเปรต พวกนี้มีโอกาสโมทนา”

ผู้ถาม :- “แล้วผู้สร้างจะได้ไหมคะ”

หลวงพ่อ :- “ไม่แน่ ถ้าสร้างดีก็ได้บุญ ถ้าสร้างไม่ดีก็ได้บาป”

ผู้ถาม :- “เป็นไงคะ…?”

หลวงพ่อ :- “คือ ก่อนทำบุญก็กินเหล้าก่อน พอพระไปก็กินเหล้ากันแล้ว ถ้าหากมีเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มีบาป มีแต่บุญ ผู้สร้างได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คือบุญนี่จะได้แก่ผู้สร้างก่อน แล้วผู้สร้างอุทิศส่วนกุศลให้ผู้อื่น ถ้าเขามีโอกาสโมทนา ก็ได้รับ”

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อครับ คำว่า เจ้ากรรมนายเวร นี่หมายถึงใครบ้างครับ…?”

หลวงพ่อ :- “เจ้ากรรมนายเวรนี่ตัวตนไม่มีหรอก มันเป็นเรื่องของกรรม ที่เป็นอกุศลกรรม ถ้าบอกว่า เจ้ากรรมนายเวร ก็หมายถึง บาปที่เป็นอกุศลที่เราทำไว้ ตัวจริงที่เราเคยทำเขาไม่มายุ่งกับเราหรอก อย่างเราฆ่าปลาตาย ปลาเขาก็ไม่มายุ่งกับเรา แต่ว่ากฎของกรรมมันมาเล่นงานเรา ถ้าปลานั่งจองเวรคอยลงโทษเรา แกก็ไม่ต้องไปเกิดละ

คำว่า เจ้ากรรมนายเวร นี่นะ ถ้าพูดตามส่วนจะว่าไม่มีก็ไม่ได้ ถ้าหากเราปฏิบัติถึงขั้น สุกขวิปัสสโก เราจะบอกว่าไม่มีตัวเพราะไม่เคยเห็น แต่ว่าตั้งแต่ เตวิชโช ขึ้นไปเขาเห็น ต้องพูดตามขั้นนะ ถ้าเราว่ากันตามหนังสือก็คิดว่าจะไม่มี”

ผู้ถาม :- “แล้วถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร เขาจะได้รับไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “คือว่าอุทิศไปให้เขาจะได้รับหรือไม่ได้รับก็ตาม บุญที่เราทำเป็นผลให้เกิดความสุข ไอ้กรรมต่างๆ ที่เป็นอกุศลที่เราทำไปแล้ว เราไปยั้งมันไม่ได้ แต่ทว่าถ้าเราทำกรรมดีมีกำลังเหนือมันก็กวดไม่ทันเหมือนกัน

สำหรับคำอุทิศส่วนกุศลที่ใช้อยู่เดี๋ยวนี้ ก็ยาวเหมือนกัน แต่ยาวตามท่านบอก บทอุทิศส่วนกุศลท่อนแรก ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร นั่นหลวงปู่โตมาบอก แล้วก็บทอุทิศส่วนกุศลอีก ๓ ท่อน พระยายมราชบอกมา สำหรับตอนที่สองที่ให้เทวดาโมทนา ท่านบอกว่า เวลาอุทิศส่วนกุศลน่ะ ขอบอกให้ผมเป็นพยานด้วย

ท่านบอกว่า “ลูกหลานของท่านก็คือลูกหลานของผม และมันก็ไม่แน่นักหรอก บางทีไปอยู่สำนักผม มันอาจจะลืมก็ได้ เขาอาจจะนึกถึงบุญไม่ออก ถ้านึกถึงบุญไม่ออก ผมก็จะได้บอกว่าเขาสั่งให้เป็นพยาน มันเป็นธรรมดา ถ้าทำทั้งบุญทั้งบาป บางทีกรรมบางอย่างมันปกปิด เวลาถามเรื่องบุญนี่มันนึกไม่ออก ถ้านึกไม่ออกก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องปล่อยตกนรก หากว่าถาม ๓ เที่ยวนึกไม่ออก ผมจะได้ประกาศว่า นี่เขาเคยบอกฉันไว้ เวลาทำบุญเขาบอกให้ฉันเป็นพยาน แล้วก็ประกาศกุศลนั้น ก็ได้ไปสวรรค์”

ผู้ถาม :- “ทีนี้การอุทิศส่วนกุศลแก่บุคคลต่างๆ ที่ตายไปแล้ว จำเป็นไหมครับว่าจะต้องออกชื่อ รู้สึกว่ามีมากเหลือเกิน”

หลวงพ่อ :- ถ้านึกได้ก็ออกชื่อเขาก็ได้ ถ้าออกชื่อน่ะดีอยู่ อย่างถ้ากรรมหนาอยู่นิด ถ้าออกชื่อเจาะจงเขาได้เลยนะ ถ้านึกไม่ออกก็ว่ารวมๆ ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี เอายังงี้ดีกว่า ถ้าขืนไปไล่ชื่อ น่ากลัวจะไม่จบ

มันมีอยู่คราวหนึ่ง นานแล้ว ไปเทศน์กัน ๓ องค์ บังเอิญที่ไปก็มีอารมณ์จิตคล้ายคลึงกัน เวลาเพลเขาก็ถวายอาหาร ก็มีพระอื่นด้วยรวมแล้ว ๕ องค์ ทีนี้ตาทายกเขานำอุทิศส่วนกุศลในวันนั้น แกก็ออกชื่อคนตาย แล้วก็บรรดาญาติทั้งหลายที่ตายไปแล้ว บอกเท่านั้นแหละ พวกผีก็เข้ามาเป็นหมื่นล้อมรอบศาลาอยู่ ไอ้คนที่เป็นญาติรับโมทนาแล้วผิวพรรณดีขึ้น ไอ้พวกที่มิใช่ญาติก็เดินร้องไห้กลับ

พอเขานิมนต์ขึ้นไปเทศน์ ตอนลงท้ายเขาถามถึงว่าการอุทิศส่วนกุศลทำยังไง องค์ที่มีปากร้ายอยู่สักหน่อยบอกว่า ญาติโยมที่นำอุทิศส่วนกุศล อย่าให้ใจแคบเกินไปนักซิ อย่าลืมว่าการทำบุญแต่ละคราว พวกปรทัตตูปชีวีเปรตก็ดี พวกสัมภเวสีก็ดี จะมายืนล้อมรอบ อย่างสวดบท อยัญจะโข น่ะ พวกบรรดาผีทั้งหลายทั่วบริเวณจะคอยโมทนา แต่ถ้าเราให้แต่ญาติ ญาติก็จะได้ แต่บุคคลอื่นไม่ใช่ญาติจะไม่ได้ ฉะนั้นก็ควรจะให้ต่อๆ กันไป คือว่าให้ทั้งหมด ทั้งญาติและไม่ใช่ญาติ

ของฝากจากพระยายม

เรื่อง การอุทิศส่วนกุศล ท่านพระยายม(ลุงพุฒิ) ท่านมาสั่งหลวงพ่อให้บอกลูกหลาน เมื่อวันปวารณาออกพรรษาปี ๒๕๓๑ ซึ่งหลวงพ่อได้เล่าให้ฟังดังนี้

หลวงพ่อ :- “พระยายมกับท่านลุง(นายบัญชี) มาเที่ยววันออกพรรษา บอกว่า “คนที่ผมจะช่วยได้ ต้องเฉพาะคนที่ผ่านสำนักผมเท่านั้นนะ”

ถามท่านว่า “ลุงมีข่าวอะไร ส่งข่าวบ้างล่ะ”

ท่านบอก “ไม่มี ผมหยุดนรกการ ๓ วัน”

รู้จักไหม…ชาวบ้านเขาหยุดราชการ ใช่ไหม…ท่านหยุดนรกการ ๓ วัน เมื่อวานนี้(ออกพรรษา) วันนี้(ปวารณา) และพรุ่งนี้

ถาม “ทำไม”

ท่านบอกว่า “วันสำคัญนี่ วันมหาปวารณาผมไม่สอบสวน”

เลยถามว่า “ถ้าเวลาที่ลุงไม่สอบสวน พวกที่คอยการสอบสวน เขามีอิสระใช่ไหม…”

ท่านบอกว่า “ตามปกติเขาก็มีอิสระอยู่แล้ว ไอ้ที่ไปยืนที่นั่น เขายืนรอคนไม่ให้ลงนรกเท่านั้นเอง”

คือว่าท่านมีหน้าที่ไม่ให้ลงนรก แต่ก็ต้องไปตามกฎของกรรม ถ้ารู้กฎของบุญนิดหนึ่ง ท่านให้ไปสวรรค์ก่อนเลย ท่านจัดอย่างนั้น

เลยถามท่านว่า “ถ้าเขามีอิสระอย่างนี้ เขาไปได้ไหม”

ท่านบอกว่า “เขาไปไหนก็ได้ ถึงเวลาสอบสวนเขาก็มาเอง กฎของกรรมมันบังคับ”

หมายความว่าเขาจะต้องถูกสอบสวน ไม่งั้นเขาจะลงนรกทันที ถ้าเขามาที่นั่น ยังมีโอกาสพ้นหรือไม่พ้น ยังไม่แน่

เลยถามว่า “ถ้าบรรดาญาติเขาอุทิศส่วนกุศลให้ เขาจะมีโอกาสได้รับไหม…?”

ท่านบอกว่า “ถ้าญาติฉลาด ได้รับทุกคน”

ญาติฉลาด หมายความว่า ทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ตรงให้คนเดียว อย่าให้คนอื่น แต่ต้องออกชื่อนะ เพราะเวลานั้นยังเป็นเวลาปลอดอยู่ มีสภาพคล้ายสัมภเวสี

ก็ถามท่านว่า “ทำบุญอย่างไหน พวกนี้จึงจะไปสวรรค์ชั้นสูง มีความสุขมาก มีความสุขน้อย หรือไม่ได้รับเลย”

ท่านบอกว่า “แดนใดที่ไม่มีบุญ ทำแล้วก็ไม่ได้รับเหมือนกัน”

หมายความว่า พระเรานี่ละ เป็นพระแต่หัวแต่ผ้าเหลืองมีไหม…นี่แหละทำไปเท่าไรเจ๊งหมด ขาดทุน

ท่านบอกว่า อย่างนี้ทำเท่าไรก็ไม่มีผล อุทิศส่วนกุศลให้แก่พวกนั้น เขาก็ไม่ได้รับ เพราะรับไม่ไหว ถ้าทำบุญที่เขตมีบุญน้อย เขาก็มีอานิสงส์น้อย เขาก็มีความสุขน้อย นี่เราไม่ต้องพูดกัน ทำบุญที่มีอานิสงส์ใหญ่ที่เป็นบุญมาก ก็ได้รับผลมาก

ก็ถามถึงบุญ ท่านบอก สังฆทาน นี่ดีที่สุด

แล้วท่านก็บอกว่า “ไปบอกชาวบ้านเขานะว่า คนที่ผมช่วยได้จริงๆ ต้องเฉพาะคนที่ผ่านสำนักผมเท่านั้นนะ”

อย่างสัมภเวสี เปรต อสุรกาย ไม่ผ่านท่าน ท่านช่วยไม่ได้ แล้วคนที่ลงนรกทันทีทันใด ก็ช่วยไม่ได้ เพราะไม่ได้ผ่านสำนักท่าน เมื่อผ่านสำนักท่านก็ต้องไปคอยอยู่

เลยถามท่านว่า “ทำอย่างไรถึงความแน่นอนจึงจะปรากฏ ลุงจะช่วยได้”

ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ เวลาเขาทำบุญเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้แก่คนตาย ถ้ายังไม่มั่นใจ ให้บอกว่า “ถ้าบุคคลนี้ยังไม่มีโอกาสโมทนาเพียงใด ขอพระยายมเป็นพยานด้วย ถ้าหากพบเธอเมื่อใด ขอให้บอกเธอโมทนาเมื่อนั้น”

ท่านบอกว่า “เพียงแค่เท่านี้แหละ ผมก็ไม่ต้องสอบสวน มันโผล่หน้าเข้าไป ผมก็บอกว่า เฮ้ย! เขาทำบุญอย่างโน้นมึงโมทนาเว้ย…มันก็ไปสวรรค์เลย แค่นี้ละผมก็ไม่ต้องเหนื่อย”

แล้วหลวงพ่อก็จบการสนทนาระหว่างท่านกับพระยายมเพียงแค่นี้ และขอนำเรื่อง พยานบาป-พยานบุญ ที่หลวงพ่อได้เล่าในหนังสืออ่านเล่น เล่ม ๑ มาเสริมเพื่อให้เรื่อง การอุทิศส่วนกุศล นี้สมบูรณ์ขึ้น

พยานบาป

หลวงพ่อ :- “ท่านลุงชวนเดินต่อไป ผ่านอาคารสอบสวนไปทางทิศตะวันออก มองเห็น ไก่ เป็ด หมู วัว ควาย และสัตว์ต่างๆ ที่มนุษย์กินอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ ถามไก่ว่ามีเท่าไร ไก่บอกว่านับแสน ถามเป็ด เป็ดก็บอกว่านับแสนเหมือนกัน หมู วัว ควายก็เป็นแสนเหมือนกัน

ถามพวกเธอว่า มารวมกันทำไมมากมายอย่างนี้ พวกเธอบอกว่า มาเป็นพยานให้พระยายม เมื่อท่านเรียกผู้ฆ่าสัตว์มาสอบสวน เธอจะเข้าไปรายงานก่อนว่า คนนี้ฆ่า เชือด จับให้เชือด หรือสั่งให้ฆ่า เป็นต้น

เป็นอันว่า วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๓๑ เป็นวันสารทจีนของคนจีนพอดี เลยทำให้คิดว่า สารทจีนทั่วโลก ต้องฆ่าสัตว์นับล้าน ก็น่าคิด”

พยานบุญ

หลวงพ่อ :- “เมื่อเดินเลยไปอีก ก็มี คน สัตว์ อีกจำนวนมาก แต่ไม่มากเท่าพยานบาป เมื่อถามเธอ เธอบอกว่ามาเป็นพยานบุญที่เขาช่วยเหลือไว้ เมื่อพระยายมถามถึงบุญที่เขาทำ ถ้าเขานึกไม่ออก เธอจะเข้าไปรายงานพระยายมว่าเขาเคยช่วยชีวิตไว้ เมื่อพระยายมฟังแล้ว จะให้เขาไปสวรรค์ก่อน ชมมาถึงแค่นี้ใกล้เวลาจะเพล จึงกลับ”

จึงขอให้ท่านระลึกอยู่เสมอว่า จะทำดีหรือทำชั่ว มีพยานคอยเราอยู่แล้วที่สำนักพระยายม

หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑ หน้า ๘๐-๙๐ (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

เรื่องนี้ถูกเขียนใน หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม และติดป้ายกำกับ คั่นหน้า ลิงก์ถาวร