สมเด็จองค์ปฐม ท่านเป็น พระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก ทรงพระนาม สมเด็จพระพุทธสิกขี เนื่องจากพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วมากมายนับได้แสนองค์ ฉะนั้นพระนามของพระองค์จึงซ้ำกัน โดยเฉพาะพระนาม สมเด็จพระพุทธสิกขี มีด้วยกัน ๕ พระองค์ จึงได้ขนานนามของสมเด็จองค์ปฐมว่า สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ ๑ จึงนับได้ว่า พระพุทธองค์ทรงเป็น สมเด็จองค์ปฐมบรมครู อย่างแท้จริง
สมัยที่พระพุทธองค์ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ซึ่งขณะนั้นคนมีอายุขัยประมาณ ๘ หมื่นปี พระพุทธองค์ทรงผนวชออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ ๔ หมื่นปี หลังจากผนวชได้ ๒ หมื่นปี จึงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระพุทธองค์ทรงโปรดเวไนยสัตว์ประมาณ ๒ หมื่นปี จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน
พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง ๔๐ อสงไขยกัปเศษ ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง ทรงใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมี เนื่องจากพระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก จึงไม่มีแบบอย่างที่จะให้พระพุทธองค์ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุพระโพธิญาณ ระยะเวลาที่บำเพ็ญพระบารมีจึงใช้ถึง ๔๐ อสงไขยกัปเศษ
ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๑๑ คืนหนึ่ง พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังสอนพระกรรมฐาน และเมื่อเสร็จจากการแนะนำ ก็ได้ทำสมาธิ ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนปรากฏขึ้น คือ เห็นพระพุทธเจ้าในปางพระนิพพานทรงยืนสองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้าแล้วก็พนมมือ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีความรู้สึกในใจว่า บางทีอาจจะเป็นอุปาทาน เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็กๆ หลังคาตํ่าๆ หากพระพุทธองค์เสด็จเข้าไป หลังคาก็จะสูงขึ้นเอง แต่เวลานี้เห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ เมื่อนึกเพียงนี้ ก็เห็นภาพหลวงปู่ปานปรากฏขึ้นข้างหน้า หลวงปู่ปาน ท่านบอกว่า
“คุณ…ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา”
อีกประมาณ ๕ นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าอีกองค์ รูปร่างท่านใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางพระนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก้มศีรษะแสดงความเคารพ พอพระองค์เดินไปถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทรงตรัสว่า
“ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า… ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน”
พระพุทธองค์ก็เลยนั่งบนหัวของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แล้วทรงตรัสกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า
“นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนพระกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมก็ดี บอกฉันก่อน ฉันจะให้พูดตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น”
เป็นอันว่าเมื่อใดก็ตาม ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเทศน์ก็ดี สอนพระกรรมฐานก็ดี สอนธรรมก็ดี พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไม่เคยได้พูดตามใจคิดเลย เป็นเพราะพระพุทธองค์ท่านดลใจให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูด และแนะนำธรรม ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่เป็นที่ถูกใจของทุกคน เพราะพระพุทธองค์ท่านอาจจี้จุดเฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่บางคนอาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็คิดว่า เมื่อพระพุทธองค์ท่านมีบุญคุณอย่างนี้ จึงคิดที่จะหล่อรูปของท่าน
ต่อมาเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เจริญพระกรรมฐานแล้ว จึงได้อาราธนาสมเด็จองค์ปฐมขอพบ พระพุทธองค์ท่านก็ปรากฏให้เห็น ทรวดทรงสวยงามมาก หน้าของท่านอิ่มเหมือนรูปไข่ แก้มอิ่ม ทรงยิ้มน้อยๆ ริมฝีปากไม่บุ๋ม ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าที่เขาปั้นกัน จะพบว่าช่างเขาปั้นแก้มตรงปากจะบุ๋มลงไป
แล้วสมเด็จองค์ปฐมก็แสดงรูปร่างสมัยเป็นมนุษย์ และก็เปลี่ยนมาเป็นปางพระนิพพาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ถามว่า ถ้าจะปั้นรูปของพระองค์ จะให้ปั้นแบบไหน จะให้ปั้นปางพระนิพพานหรือมนุษย์
พระพุทธองค์บอกว่าให้ปั้นแบบนี้ก็แล้วกัน พระพุทธองค์ทรงแสดงภาพให้ดู เป็นเหมือนกับพระพุทธรูป และมีเรือนแก้วแบบพระพุทธชินราช รูปที่ทรงให้ปั้นไม่เหมือนกับรูปจริงของท่าน แต่พระองค์ท่านต้องการให้ปั้นแบบที่ท่านต้องการ
พระพุทธองค์ได้มาแสดงภาพให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อดูถึง ๓ วันติดๆ กัน วันละประมาณ ๑ ชั่วโมง พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ได้ดูอย่างละเอียด แต่ก็คิดในใจว่า ช่างเขาปั้น แต่เขาไม่เห็นภาพ เขาจะปั้นได้ไม่เหมือน จึงได้ขอบารมีพระองค์ท่าน เวลาช่างปั้น ขอได้โปรดดลใจ ให้เป็นไปตามพระพุทธประสงค์ พระองค์ท่านก็ยอมรับ
คัดย่อจาก หนังสือมรดกของพ่อ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(วัดท่าซุง) จ.อุทัยธานี
ขอโมทนาบุญด้วยครับ