ตายแล้วฟื้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) ท่านบวชใหม่ ๆ ตาแคล้วตายไป ๘ ชั่วโมง ฟื้นขึ้นมา ก็มาเล่าเรื่องชีวิตหลังความตายให้หลวงพ่อฟัง มีหลายอย่างที่น่าสนใจ โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยทำบุญด้วยน้ำ
ความจริง เรื่องน้ำ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท จะเล่าเรื่องสู่กันฟังสักเรื่องหนึ่งเรื่องการเทศน์ ญาติโยมก็ฟังกันมามากแล้วนะ เอาเรื่องจริง ๆ ในสมัยที่อาตมายังไม่ตาย เวลานี้ก็ยังไม่ตายยังคุยอยู่ จะเล่าเรื่องของคนที่ตายไปแล้ว แต่ว่าสมัยนั้นท่านกลับฟื้นขึ้นมา คือ ตาแคล้ว
ตาแคล้วนี่เป็นทายกของหลวงพ่อปาน เป็นนักบุญอย่างตาหง่านี่ เวลามะยังภันเต อย่างตาหง่านี่แหละ นำอาราธนาศีล ถวายทานเพราะ เสียงดีมากคล้ายๆ กัน
แต่ตาแคล้วชอบทำบุญทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าบุญ ทำทุกอย่างที่หลวงพ่อปานแนะนำ เว้นไว้อย่างเดียว คือ ไม่ได้ทำบุญด้วยน้ำ ข้าวใส่ ขนมใส่ อะไรก็ตามที่ชอบใจทำบุญหมด แต่ไม่ได้ใส่น้ำ
ต่อมาในวันหนึ่ง ฉันบวชแล้ว ตาแคล้วแกตาย แกตายไปประมาณ ๘ ชั่วโมง ก็ฟื้นขึ้นมา ตอนนี้แกก็เล่าเรื่องของความตาย บอกว่าขณะที่จะตายมีคน ๔ คนมารับ ทั้ง ๔ คน นุ่งกางเกงแดง ใส่เสื้อแดง โพกหัวแดง มาถึงบอกว่า แคล้ว ถึงเวลาแล้ว ไปเถอะไปด้วยกัน
แกบอกว่าคำสั่งของเขามีอำนาจมากไม่สามารถจะต้านทานได้ ก็ต้องเดินตามเขาไป พอเขานำไปสำนักพระยายม พระยายมก็บอกว่า คนที่ไปเอาน่ะชื่อแคล้ว แต่ว่าหัวไม่ล้าน แต่ไอ้แคล้วนี่หัวมันล้าน มันคนละคนกันเอามาผิดตัว
ก่อนที่จะนำมาส่ง พระยายมก็บอกว่า ประเดี๋ยวก่อน เวลายังไม่ถึงยังไม่สว่างไม่เป็นไร เขายังไม่จัดการศพ พามันไปดูก่อน มันทำบุญไว้มาก
เขาก็พาไปดูวิมานของตาแคล้ว วิมานน่ะสวยมาก ข้าวของในที่นั้นมีเยอะทุกอย่าง อาหารการบริโภคที่ทำไป ขนมก็ดี แกงก็ดี กับข้าวก็ดี ข้าวปลาก็ดี ทั้งหมดมีเต็มเพียบไปหมดในห้องอาหาร ขาดแต่น้ำอย่างเดียว แกมีความรู้สึกอยากน้ำมาก อยากจะดื่มน้ำ
แกก็ชะโงกหน้าไปดูวิมานข้างๆ เห็นวิมานข้างๆ มีเจ้าของเป็นผู้หญิง ในวิมานของเขามีตุ่มน้ำเต็มเปี่ยม น้ำใสสะอาดมาก ก็ยกมือไหว้เป็นประเพณีของแก แกเห็นคนแกก็จะต้องยกมือไหว้ และบอกว่า “แม่คุณ ขอน้ำดื่มสักอึกเถอะจ๊ะ”
เจ้าของวิมานตอบยังไงทราบไหม ท่านบอกว่าที่นี่ไม่มีการแบ่งให้กัน เมื่อไม่ทำมาก็อย่าแดก ตาหง่าฟังให้ดีนะ เมื่อไม่รู้จักทำบุญด้วยน้ำก็จงอย่าแดก ที่นี่ไม่มีการแบ่งกัน ของใครของมัน
ตาแคล้วเจ็บใจ บอกคนที่นำไปบอกรีบไปส่งเถอะ อยากน้ำเหลือเกิน พอกลับมา พอฟื้นขึ้นมา แกเล่าความเป็นมาให้ทราบ
ต่อมาแกก็ถามฉันว่า ท่านจะไปสร้างถังน้ำที่ไหนบอกผมด้วยนะครับ ถามว่า ทำไม ผมอดน้ำน่ะซิ บ้านผม(วิมาน) ไม่มีน้ำ
ก็เป็นอันว่าเวลาจะสร้างถังน้ำให้แก่วัด ตาแคล้วก็ร่วมด้วยหนึ่งพันเสมอ และถ้าไปไหนด้วยกันก็ตามทีเถอะ เราขึ้นไปบนวัดไปหาเจ้าอาวาส แต่ตาแคล้วแกไปดูตุ่มน้ำ เห็นตุ่มน้ำพร่องก็จ้างเด็กตักน้ำใส่ทันที ฉันเข้าใจว่าถ้าตายไปคราวหลังนี่ตาแคล้วจมน้ำตาย เพราะน้ำ มันมากเกินไปนะ
ก็เป็นอันว่าวันนี้แปลก ยกทรงเขาถวายน้ำขวด ฉันคิดว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่ถวายน้ำขวดนี่ ตายไปแล้วจะมีขวดโบกขรณี ไม่ใช่สระ ขวดปากมันเล็กลงอาบไม่ได้
ก็รวมความว่า การบำเพ็ญกุศล บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ผลบุญจริงๆ ย่อมได้ในปัจจุบัน แต่เราอาจจะไม่ได้สังเกตกัน เพราะอะไร เพราะว่าผลของบาปมันมีมาก
คำว่า บุญ กับ บาป, บาป นี่เขาแปลว่า ความชั่ว, บุญ เขาแปลว่า ความดี
บางรายก็วันพระหนึ่งทำบุญครั้งหนึ่ง แต่หลายๆ รายก็ทำบุญทุกวัน อย่างเช้าใส่บาตรกับพระ และบูชาพระ นี่ก็เป็นการทำบุญ
และไอ้บาปที่มาริดรอนเรา อย่างยุง อย่างมด เป็นต้น บี้มดตายมันก็บาป ตียุงตายมันก็บาป บาปมันมากจึงให้โทษเป็นทุกข์.
สวรรค์-นรก เป็นสิ่งที่มีจริง และสามารถพิสูจน์ได้หลายวิธี อาทิ
๑.ปฏิบัติพระกรรมฐาน มโนมยิทธิ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน แต่เมื่อไปฝึกแล้ว ฝึกไม่ได้ก็อย่าหาว่าไม่มีนะครับ เพราะคนที่เขาฝึกได้มีมากมาย
๒.ศึกษาจากเรื่องราวของคนที่ตายแล้วฟื้น ซึ่งมีมากมายหลายเรื่อง อย่างเช่น เรื่องการตายแล้วฟื้นของตาแคล้ว ทายกวัดบางนมโค และที่น่าจะศึกษา คือ เรื่องการตายแล้วฟื้นของ พลโทสมาน วีระไวทยะ,ครูบุญชู ศรีผ่อง จ.อ่างทอง ทั้งสองท่านนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีเคยพูดถึง และอีกท่านที่เป็นข่าวโด่งดัง คือ พ.อ.เสนาะ จินตรัตน์
๓.ศึกษาจากเรื่องราวของคนระลึกชาติได้
๔.ที่แน่นอนที่สุด ในตอนที่ท่านไปพิสูจน์ด้วยตนเองตอนตาย คนไม่เชื่อและปรามาสพระรัตนตรัย คงพิสูจน์ได้อย่างเดียว คือ นรกภูมิ
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
เป็นคำที่คนที่ไม่เชื่อเรื่องสวรรค์-นรก น่าจะนำไปพิจารณา โดยเฉพาะการลบหลู่ต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นการปรามาสพระรัตนตรัย โทษหนักนะครับ
อย่าเชื่อหรือปฏิเสธอะไรในทันทีที่เราได้รู้ได้เห็น
อย่างเรื่องสวรรค์-นรก เรื่องกฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าเราปฏิเสธทันที โดยไม่พิจารณาหาเหตุหาผล เราก็จะเสียโอกาส ที่จะได้รับรู้ในสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิต เพราะเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต ว่าเราจะเป็น สัมมาทิฏฐิ หรือ มิจฉาทิฏฐิ มันจะไปกันคนละทางนะครับ ระหว่างดำกับขาว ดีกับชั่ว และบุญกับบาป
คนที่ไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่าย ๆ ก็ถือว่าดี เมื่อไม่เชื่อแล้วก็ควรจะพิสูจน์ ด้วยการหาเหตุหาผล จากการศึกษาในพระไตรปิฏก หรือสอบถามผู้รู้ แล้วนำข้อมูลมาพิจารณา
แต่การพิจารณาหาเหตุหาผลจากสิ่งที่มองไม่เห็น ก็คงจะเกินวิสัย ที่จะคิดเอง พิจารณาเองได้อย่างถ่องแท้ ก็ต้องใช้เครื่องมือ
ถ้าในทางโลก ยังมีสิ่งที่เรามองไม่เห็นอีกมากมาย ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็เชื้อโรค พวกไวรัสต่าง ๆ ที่คนทั่วไปยอมรับว่ามีจริง แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้เครื่องมือช่วย คือ กล้องจุลทัศน์
แต่เครื่องมือในทางธรรม ก็คือ ต้องพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติ ทำสมาธิจนจิตเราเข้าถึงอุปจารสมาธิ จิตเริ่มเป็นทิพย์สามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ตาเนื้อมองไม่เห็นได้ เช่น สัมภเวสี โอปปาติกะ ฯลฯ
ทิพยจักขุญาณ นี้ได้แค่เห็นนะครับ ยังไปดูด้วยตัวเองไม่ได้ ถ้าจะไปดูภพภูมิต่าง ๆ ด้วยตนเอง ต้องฝึกกรรมฐานในแนว มโนมยิทธิ ถ้าฝึกได้ก็สามารถใช้ จิต หรือ อทิสสมานกาย ไปพิสูจน์สิ่งที่เราสงสัย ในเรื่องภพภูมิต่างๆ นรก สวรรค์ พรหม และพระนิพพานได้
มโนมยิทธิ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
สาธุค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ