ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

      พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง) ตายแล้วฟื้นรวม ๘ ครั้ง ในที่สุดหลวงพ่อท่านมรณภาพ เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น. ที่โรงพยาบาลศิริราช ได้มีพิธีสวดพระอภิธรรมเป็นเวลา ๑๐๐ วัน พระศพท่านอยู่ในโลงแก้ว ประดิษฐานอยู่ในพระมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร ที่วัดท่าซุงมาจวบจนทุกวันนี้

การตายครั้งที่ ๑

ขณะที่หลวงพ่อฤๅษีฯ อายุ ๒ ปีเศษๆ ย่างเข้า ๓ ปี หลวงพ่อป่วยฉับพลันเป็นโรคท้องร่วง อาศัยคำภาวนาว่า “พุทโธ” โดยไม่ได้ตั้งใจอะไร เป็นการบังคับของท่านแม่ซึ่งเป็นประโยชน์ ตายแล้วฟื้นมาใหม่ ทำให้รู้จักเทวดา รู้จักพระอินทร์ รู้จักนางฟ้า จึงเชื่อว่า เทวดามีจริง ทั้งๆ ที่เวลานั้นยังไม่เคยฟังเทศน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เทวดามีจริง

การตายครั้งที่ ๒

เป็นการตายเมื่อวัยเด็กอายุ ๑๒ ปี ด้วยโรคอหิวาตกโรค หลวงพ่อภาวนา “พุทโธ” เห็นกายเนื้อตัวเองใสเหมือนแก้ว ได้พบเจอขบวนนายนิรบาลที่หลังบ้าน ถามว่าจะไปไหนกัน แต่ถูกบังคับให้เข้าบ้าน หลวงพ่อคิดว่าต้องถามเอาความให้ได้จึงเดินตามออกไป เห็นคนที่เดินผ่านหน้าเป็นคนที่เคยรู้จักกันหลายคนและตายมาหลายวันแล้ว ก็เลยสงสัยว่าเมื่อเขาตายไปแล้ว เขามาเดินอยู่ได้อย่างไร จึงสะกดรอยตามไปดูให้หายสงสัย ไปถึงสำนักพระยายมราช ได้ดูนรกขุมใหญ่ ๑ ขุม พอเวลาหมดแล้ว นายนิรบาลที่คุมท้ายแถวจึงมาส่ง หลวงพ่อจึงฟื้นคืนชีพก่อนสว่าง การตายครั้งนี้ทำให้หลวงพ่อรู้ว่า นรกมีจริง

การตายครั้งที่ ๓

หลวงพ่ออายุ ๑๔ ปี มีอาการท้องถ่ายและอาเจียน รักษาทุกวิธีแล้วก็ไม่ดีขึ้น เพลียจนเคลิ้มหลับ ก็เห็นชายชุดแดง ๔ คน ก้าวขึ้นมาจากเรือ จะมารับหลวงพ่อไป แต่ไม่สามารถเอาไปได้ จะมีโทษ เนื่องจากหลวงพ่อเป็นลูกพระอินทร์ เมื่อชายทั้ง ๔ ไปแล้ว หลวงพ่อก็หลับสบายไม่รู้สึกตัว เมื่อตื่นมาตอนสายๆ อาการปวดเสียดท้องต่าง ๆ ก็หายไปหมด

การตายครั้งที่ ๔

หลวงพ่ออายุ ๒๗ ปี ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลวงพ่อจำพรรษาและเป็นครูสอนบาลีอยู่ที่วัดประยูรวงศาวาส จังหวัดธนบุรี วันนั้นหลวงพ่อฉันยาขนานหนึ่งทำให้ท้องถ่าย และหมดแรง หลวงพ่อเข้าฌานตาย เห็นตัวท่านเองเป็นพรหม ท่านอธิษฐานกับพระพุทธเจ้าอยู่สองสามครั้งว่าจะอยู่ต่อหรือจะไปดี ผลออกมาให้อยู่ต่อ ต่อมาพระอินทร์เอายามาให้ หลวงพ่อฉันยาเสร็จท่านก็ฟื้น ท่านตายไป ๘ ชั่วโมง หลวงพ่อกล่าวว่า การตายครั้งที่ ๔ นี้มีประโยชน์ ที่มีการเข้าใจว่าการเข้าฌานตายเป็นอย่างไร และการตายมันก็เหมือนกับความฝันนั่นแหละ เราอย่าไปนึกกลัวมันเลย ร่างกายมันก็เหมือนเปลือกนอก เมื่อทิ้งอัตภาพแล้วมันก็จะกองอยู่ จิตก็เคลื่อนไปตามวาสนาบารมี

การตายครั้งที่ ๕

ปีพ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงพ่ออายุย่างเข้า ๔๐ ปี หลวงพ่อป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลกรมแพทย์ทหารเรือ ทุกคืนประมาณ ๒ ทุ่ม หลวงพ่อจะมีอาการแน่นท้อง เสียดหน้าอก หายใจไม่ออก พอคืนที่ ๓ หลวงพ่อจับอานาปานุสติกรรมฐานแล้วก็ปลงว่า ขันธ์ ๕ คือร่างกายมันจะพัง เราไม่ต้องการมันอีก ทรัพย์สินของเราไม่มี ญาติพี่น้องไม่มี พ่อแม่ไม่มี ที่พึ่งอื่นของเราไม่มี นอกจากคุณพระรัตนตรัย หลวงพ่อได้พบท่านสหัมบดีพรหม มานิมนต์หลวงพ่อไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่แดนพระนิพพาน การตายครั้งนี้ทำให้หลวงพ่อทราบว่า นิพพานมีสภาพไม่สูญ

การตายครั้งที่ ๖

ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ หลวงพ่อมาอยู่วัดท่าซุงเป็นปีแรก หลวงพ่อมีอาการป่วย เหมือนตอนตายครั้งที่ ๒ ตอนอายุ ๑๒ ปี เมื่ออาการไม่ดีขึ้น หลวงพ่อคิดว่าอาจจะตายวันนี้ จึงเตรียมพร้อมไม่ต้องการร่างกายนี้อีก และได้พบกับพระพุทธเจ้า ทรงสอนให้หลวงพ่อถือกำลังใจ สังขารุเปกขาญาณ เป็นอารมณ์ อะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายก็ถือว่า เฉยไว้ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา คิดว่าร่างกายของเราต้องเป็นอย่างนั้น อย่าใช้อารมณ์ฝืนกฎของธรรมดา เท่านี้อารมณ์จิตจะเป็นสุข

การตายครั้งที่ ๗

วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ การตายคราวนี้ของหลวงพ่อไม่มีโรค อยู่ๆก็มืดไปหมด หลวงพ่อนอนตายหน้าห้องบันทึกเสียง จิตออกจากร่างไปติดอยู่ที่พระจุฬามณีเจดียสถาน หลวงพ่อจะไปพระนิพพาน พระพุทธเจ้าไม่ให้ตาย มีสัญญากันไว้ว่าจะให้หลวงพ่อตายปี ๒๕๒๕ แต่ตอนนั้นปี ๒๕๒๓ พระพุทธเจ้าก็เลยทำให้หลวงพ่อตายชั่วคราวก่อน ให้ถือว่าเป็นการเกิดใหม่ และต่ออายุให้หลวงพ่ออีก ๑๐ ปี

การตายครั้งที่ ๘

วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๓๒ หลวงพ่อปวดอุจจาระ ไปเข้าห้องน้ำ อาเจียนจนหมดความรู้สึกตัวในห้องน้ำ จิตออกจากร่างชั่วคราว พอค่อยรู้สึกตัวก็รวบรวมกำลังใจไปถอดกลอนประตูออกจากห้องน้ำ คราวนี้สลบไปอีกพักนึง ทำเอาทุกคนวิ่งวุ่น หลายคนร้องไห้นึกว่าหลวงพ่อมรณภาพแล้ว

ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง-การตายครั้งที่ ๑

      เวลานั้นฉันอายุ ๒ ปีเศษๆ ย่างเข้า ๓ ปี ตั้งแต่อายุปีเศษๆ พอพูดได้บ้าง ท่านแม่ก็เกณฑ์แนะนำแกมบังคับว่า ก่อนจะหลับต้องภาวนาว่า “พุทโธ” แต่การสอนภาวนาว่า “พุทโธ” ของท่าน ก็ไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก ไม่ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่หายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” ถ้าทำอย่างนั้นเด็กๆ ทำไม่ได้แน่ ท่านต้องการคำเดียวคือว่า “พุทโธ” ก่อนจะหลับ จะต้องภาวนาให้ท่านได้ยิน ถ้าหลับก่อนที่จะพูดว่า “พุทโธ” ให้ท่านได้ยิน ๓ ครั้งไม่ได้ ท่านจะปลุกให้ตื่นให้ว่า “พุทโธ” ตามเดิม คือ ต้องให้ท่านได้ยินว่า “พุทโธ พุทโธ พุทโธ” เพียงเท่านั้นท่านให้หลับได้

พออายุ ๒ ปีเศษๆ ใกล้ถึง ๓ ปี ฉันป่วยฉับพลัน นั่นก็คือเป็นโรคท้องร่วง เมื่อโรคท้องร่วงเกิดขึ้น ท่านแม่ก็บอกให้ท่านลุงมารักษา ท่านลุงท่านเป็นทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ เป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก แต่ว่ายาของท่านสู้โรคไม่ได้ ในที่สุดฉันก็ตาย

การตายคราวนั้นมีญาติอยู่มาก มีท่านย่ามาพยาบาลอยู่ด้วย เมื่อฉันตายเข้าจริงๆ ท่านย่าก็กลับบ้าน เป็นเวลาใกล้จะ ๕ โมงเย็น ที่ฉันรู้ก็เพราะท่านพ่อกับท่านแม่และท่านย่าเล่าให้ฟัง เด็กคงจำอะไรไม่ได้

เมื่อท่านย่ากลับไปบ้าน ท่านก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็จะกินข้าวเย็น อิ่มแล้วจะได้กลับมาฟังพระสวดอภิธรรม แต่พอแต่งตัวเสร็จก็ปรากฏว่า ท่านลงจากบ้านวิ่งตื๋อมาบ้านฉันทันที บ้านไม่ไกลกัน บรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายแปลกใจ ไม่เคยเห็นจริยาของท่านย่าแบบนี้ ทุกคนก็วิ่งตามมา มีความรู้สึกว่าท่านย่าอาจจะเสียใจที่ฉันตาย และเรื่องร้ายอาจจะเกิดขึ้นที่บ้านก็ได้ ท่านจึงวิ่งมา

ท่านย่าขึ้นมาบนบ้านแทนที่ท่านจะนั่งตามปกติ เพราะปกติท่านชอบนั่งพับเพียบ แต่วันนั้นพอขึ้นมาท่านนั่งสมาธิ ๒ ชั้น แล้วก็ถามว่า “ลูกของกูป่วยไข้ไม่สบายเท่านี้ มึงรักษากันไม่ได้หรือ ทำไมปล่อยให้ลูกของกูตาย”

ท่านพ่อบอกว่า “คุณแม่ครับ คุณแม่ก็มารักษาด้วยตนเอง มาพยาบาลด้วยตนเองก็ทราบอยู่แล้ว” เสียงท่านผิดจากเดิม เป็นลักษณะของผู้ชาย พูดจาห้าวหาญ บอกว่า “กูไม่ใช่แม่ของมึง กูคือพระอินทร์ เป็นพ่อของเจ้าเด็กคนนี้ เจ้าเด็กคนนี้เป็นลูกของกูมานับเป็นแสนชาติ ทำไมเท่านี้พวกมึงรักษากันไม่ได้หรือ”

แล้วท่านก็เรียกหมอคือท่านลุงเข้ามาถามว่า “ทำไมโรคแค่นี้ เอ็งรักษาไม่ได้หรือ โรคไม่หนักนัก” ท่านลุงก็บอกว่า “เกินวิสัยของผมแล้วครับ เป็นเร็วเหลือเกิน ยาสู้ไม่ได้”

ท่านก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็เอาน้ำมนต์” เมื่อทำนํ้ามนต์เสร็จ ท่านก็บอกว่า “เลื่อนเด็กเข้ามาใกล้ๆ ข้า”

เขาก็เลื่อนศพไปใกล้ๆ ท่านเอามือลูบไปครั้งหนึ่งพร้อมกับเป่า แล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งแล้วก็เป่า แล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งแล้วก็เป่า พอ ๓ ครั้งท่านก็อมนํ้าประเดี๋ยวก็เป่าพรวด เป่าไปครั้งแรกไม่มีอะไรผิดปกติ พอเป่าไปครั้งที่ ๒ ปรากฏว่าเด็กที่ตายไปแล้วลืมตาขึ้น ขยับมือได้ พอเป่าไปครั้งที่ ๓ ปรากฏว่าเด็กลุกขึ้น พูดจาได้ตามปกติ อาการโรคต่างๆ ที่เป็นหายหมด

หลังจากนั้นท่านก็ประกาศว่า “ต่อแต่นี้ไปถ้าเด็กคนนี้เป็นอะไร ถ้าเห็นว่าจะเกินวิสัยที่จะเยียวยาได้ ให้จุดธูปบอกท่าน ท่านจะมาช่วยรักษา”

แล้วท่านก็มองมาที่เด็ก เรียกเข้ามาใกล้ๆ ให้หันหน้ามาบอกว่า “เจ้าจงจำไว้นะ ว่าพ่อนี้คือพ่อของเอ็ง เอ็งเป็นลูกพ่อมานับเป็นแสนชาติ พ่อนี้คือพระอินทร์ ต่อนี้ไปถ้ามีความกลัวอะไรเกิดขึ้น หรือมีการขัดข้องอะไรก็ตาม จงนึกถึงพ่อ พ่อจะมาหาทันที ถ้ากลัวผีพ่อจะช่วยขับผี ถ้ากลัวหมาบ้าพ่อจะช่วยขับหมาบ้า”

เวลานั้นฉันกลัวทั้งผีทั้งหมาบ้า ปกติกลัวผีมาก สมัยเป็นเด็กๆ อยู่บนบ้านคนเดียวไม่ได้ ถ้านั่งอยู่ข้างล่างก็นั่งอยู่คนเดียวไกลผู้ใหญ่ไม่ได้ กลัว สำหรับสุนัขนี่ ผู้ใหญ่เขาหลอกว่าหมาบ้าจะกัด ก็เลยมีอารมณ์กลัวหมาบ้าอีก

หลังจากนั้นท่านก็ลาไป ปกติฉันเป็นคนกลัวผี บางวันท่านพ่อท่านแม่ พี่ท่านไปข้างล่างท่านบอก “อยู่ข้างบนนะ อย่าไปไหนเลย อย่าเที่ยวไป อย่าเล่นไป จะหล่นใต้ถุนจะเจ็บ” คำสั่งฉันถือเป็นคำสั่ง ถ้าเป็นคำสั่งของท่านผู้ใหญ่ก็ปฏิบัติตาม เมื่ออยู่คนเดียวก็กลัวผี ถ้าจะลงก็กลัวถูกตี

ในที่สุดก็แก้ปัญหาช่วยตัวเองโดยนึกถึง “ท่านพ่อพระอินทร์” ว่า “ขอท่านมาช่วยโปรด เวลานี้กลัวผีแล้ว” พอนึกปั๊บก็เห็นท่านทันที เราเข้าใจกันว่าพระอินทร์ตัวเขียว ท่านก็มาเขียวๆ มาแล้วท่านก็บอกว่า “ไม่ต้องกลัว พ่อมาแล้ว ผีมาไม่ได้ ผีทั้งหมดสู้พ่อไม่ได้”

และในบางครั้งท่านมีภารกิจ ท่านมาแล้ว ท่านก็บอกว่า “พ่อต้องรีบกลับแต่สองคนนี้จะช่วยลูก” สองคนเป็นผู้หญิงสาวและก็สวย ใส่ชฎาด้วย ทั้งตัวและเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเพชรแพรวพราวเป็นระยับ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ท่านบอกว่า “คนนี้เป็นแม่ของเจ้ามาหลายแสนชาติ เพราะเป็นชายาของพ่อ และคนนี้เป็นพี่สาวของเจ้ามาหลายแสนชาติเหมือนกัน ท่านจะช่วยสงเคราะห์ ต่อแต่นี้ไปถ้าพ่อมีธุระ จะให้แม่กับพี่มา”

ก็คุยกันแบบธรรมดา ฉันก็ชอบสวยๆ ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านถามว่า “นี่สวยไหม ตรงนี้สวยไหม เพชรตรงนี้ดีไหม” ท่านก็ชวนคุย ฉันก็มีความเพลิดเพลินมีความสุข แต่คุยไม่นานท่านก็จับไปนอนตัก รู้สึกว่าเนื้อของท่านนิ่มกว่าเนื้อของแม่ในชาตินี้มาก และมีความอบอุ่นเป็นพิเศษ ท่านลูบไปลูบมาประเดี๋ยวเดียวฉันก็หลับ นี่เป็นเรื่องของ เทวานุภาพ

วันต่อๆ มาบางครั้งบางทีฉันอยู่คนเดียว ก็มีความรู้สึกว่า มีลุงคนหนึ่งมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย ลุงคนนี้เป็นลุงในชาตินี้ ท่านตายไปแล้ว สมัยเมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ท่านรักฉันมาก และเคยขอท่านพ่อท่านแม่ว่า “คนนี้ขอเป็นลูกของฉัน” เพราะท่านไม่มีลูก ท่านพ่อท่านแม่ก็อนุญาตยกให้เป็นลูก บางทีฉันนั่งข้างนอก ท่านก็มานอนอยู่ในห้อง มีเสียงกรนให้ได้ยิน จำได้ว่าเป็นเสียงลุง ได้รับกลิ่นตัวก็จำได้ เป็นกลิ่นตัวของท่าน ก็หมดความกลัว

บางขณะเดินไปไหนตอนที่ฉันโตเป็นหนุ่มแล้ว เมื่อเกิดความกลัวขึ้นมา ก็รู้สึกว่ามีคนเดินตามมาข้างหลัง แต่มองไม่เห็นตัว บางทีฉันก็แกล้งบอกว่า “เอ้า เดินข้างหน้าบ้างสิ เดินข้างหลังอย่างเดียวได้ไง” ก็รู้สึกเหมือนคนเดินหลีกไปทางขวา แล้วเดินไปข้างหน้า และก็มีเสียงคนเดินข้างหลัง บางคราวก็มีเสียงคุยกันจ๊อกแจ๊กหัวเราะต่อกระซิก ลักษณะคล้ายๆ เป็นการขบขันเหลือเกินที่กลัว ความจริงฉันเป็นหนุ่มแล้วฉันก็ยังหวาดกลัว แต่ลักษณะของฉันเป็นลักษณะของคนดื้อ ถ้าก้าวเท้าก้าวแรกออกแล้วจะไม่ยอมถอยหลังกลับ จะไปไหนต้องไปให้ได้ มืดค่ำก็ตาม ฉะนั้นเสียงคนติดตามจึงมีอยู่เสมอ

มีคราวหนึ่งฉันเดินไปที่ตรงนั้นมันมืดและก็มีสุมทุมพุ่มไม้ พอเข้าเขตนั้นชักไม่ไว้ใจ ตาก็มองจุดนั้น มือหนึ่งก็ดึงปืนออกจากกระเป๋า อีกมือหนึ่งถือมีด คิดว่าถ้าข้าศึกออกมาก็ต้องยิงกัน ถ้ายิงไม่ออกก็ต้องฟันกัน พอฉันคิดอย่างนั้น ก็มีเสียงหัวเราะครืนทันที จึงถามว่า “ใครมาหัวเราะทำไม ท่านแม่และท่านพี่หรือ” ตอบว่า “น้อง” ถามว่า “น้องมีกี่คน” ตอบว่า “รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร” ทั้งหมดแสดงให้ปรากฏชัด กลางคืนมืดๆ ก็เหมือนไฟสว่าง ๒,๐๐๐ แรงเทียน เห็นชัดมากหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เธอแต่งตัวเป็นนางฟ้าไม่ใช่คน

เป็นอันว่าการตายครั้งแรกของฉัน ฉันเป็นเด็กไม่รู้ภาษีภาษา ก็อาศัยคำภาวนาว่า พุทโธ โดยไม่ได้ตั้งใจอะไร เป็นการบังคับของท่านแม่ซึ่งเป็นประโยชน์ เวลาที่ฉันตายแล้วฟื้นมาใหม่ ทำให้ฉันรู้จักเทวดา รู้จักพระอินทร์ รู้จักนางฟ้า ฉะนั้น ฉันจึงเชื่อว่า เทวดามีจริง ทั้งๆ ที่เวลานั้นฉันยังไม่เคยฟังเทศน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเทวดามีจริง

ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง การตายครั้งที่ ๒

      เป็นการตายเมื่อวัยเด็กอายุ ๑๒ ปี ด้วยโรคอหิวาตกโรค โรคนี้แปลตามศัพท์แปลว่า โรคลมที่มีพิษเหมือนงูพิษ ป่วยก่อนวันตาย ๑ วัน ตอนนั้นอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า

ตอนบ่ายก่อนวันตาย นักเลงสุราเขาหาหอยโข่งจากกลางนามาพล่ากินกับเหล้า เมื่อเขาทำเสร็จเขาก็เรียกฉัน แต่ทว่าฉันไม่ได้กินเหล้า บ้านฉันทั้งหมดไม่มีใครกินเหล้าเลย ชอบกินหอยโข่งพล่า เนื้อออกรสหวานๆ อร่อยมาก เขาพล่าแบบขี้เมา กินเสียจนอิ่มเต็มอัตราศึก เมื่ออิ่มแล้วก็ออกวิ่งเล่น ไม่มีอะไรแสดงว่าท้องจะเสีย แต่ทว่าเวลานั้นชาวบ้านกำลังตายด้วยโรคอหิวาต์กันเกลื่อน กลางคืนหาคนเดินเที่ยวเตร่ไม่ได้ ตำบลนั้นและตำบลใกล้เคียงเงียบสงัด สุนัขหอนตั้งแต่ตอนหัวค่ำเกือบตลอดแจ้ง

วันรุ่งขึ้นตอนเช้าเวลาเกือบ ๙.๐๐ น.ก็เริ่มปวดท้อง แล้วก็ถ่ายแบบไม่มีเสียงสะบัด เป็นสัญลักษณ์ของอหิวาตกโรค เมื่อถ่ายครั้งแรกก็เรียนให้ท่านแม่ทราบ ท่านจัดหายามาให้ และใช้ให้คนรีบไปตามท่านลุงที่เป็นหมอ ท่านลุงเป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก มีความรู้ทั้งแผนโบราณและปัจจุบัน กว่าท่านลุงจะมาท้องก็ถ่ายเป็นวาระที่ ๓ มีอาการเพลียมากแรงไม่มี ท้องก็ปวดมากมาถึงผิวหนัง ภายในมีความร้อนมาก ผ้าที่นุ่งต้องวางทาบไว้ จะขมวดหรือรัดเข็มขัดก็ไม่ได้ เพราะมันปวดเกินกว่าที่จะทำอย่างนั้นได้

เมื่อท่านลุงมาถึงก็ฉีดยาให้ ๑ เข็ม ค่อยมีอารมณ์ใจสบาย เมื่อท่านแม่ให้กินยาแล้ว ท่านก็นำพระพุทธรูปองค์ที่ฉันรักมากที่สุด มาวางไว้ทางขวามือ พอมองเห็นถนัด ท่านจุดธูปที่มีกลิ่นหอมมาก เห็นจะเป็นธูปแขก หอมชื่นใจจริงๆ พอท่านแม่จัดเรื่องพระเสร็จ ท่านก็บอกว่า “ลูกภาวนาว่า พุทโธ นะลูก ภาวนาไว้และจำรูปพระให้ติดตา เมื่อหลับตาจงนึกถึงภาพพระ เมื่อลืมตาก็จงดูพระไว้ ภาวนาไว้ พระจะช่วยให้ลูกหายเร็วๆ และจะไม่เจ็บท้อง”

เมื่อท่านแม่สั่งฉันก็ภาวนา ฉันอยากให้อาการปวดท้องหาย มันทรมานเหลือเกิน ฉันมองดูพระองค์ที่ฉันรัก ฉันรักท่านมาก สีท่านเหลืองอร่ามหน้าก็ยิ้มสวย กลิ่นธูปก็หอมตลบ ฉันสบายใจ เมื่อหลับตาฉันเห็นภาพพระลอยที่หน้าฉัน ภาวนาไปไม่กี่นาที อาการปวดท้องรู้สึกคลายลง พร้อมกับเห็นภาพพระที่ลอยตรงหน้าสวยมากขึ้นทุกที เดิมเป็นสีเหลืองธรรมดา ต่อมาเพิ่มความสดใสขึ้นทีละน้อยจนเห็นชัด ต่อมาเกิดเป็นแสงประกายคล้ายเพชรอย่างดีที่ถูกแสงไฟ และเป็นประกายแพรวพราวไปทั้งองค์ ใจฉันเพลิดเพลินกับความสวยของภาพพระ เลยลืมความเจ็บปวดเสียสิ้น มันไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลย

เวลาผ่านไปประมาณ ๙.๐๐ น.เศษ ฉันลืมตามองดูคนที่มาและภาพต่างๆ สายตามันสั้นเข้ามาทุกที ชั่วเวลา ๒-๓ นาที ก็มองอะไรไม่เห็นเลย แต่ใจสบาย สิ่งที่เสียดายมากที่สุดก็คือฉันมองไม่เห็นพระองค์ที่ฉันรัก ฉันเลยหลับตา ความรู้สึกสมบูรณ์ สติสัมปชัญญะปกติ อาการปวดไม่มี ฉันเลยคิดเอาว่าเมื่อไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ท่านแม่เคยบอกว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าเราภาวนาว่า พุทโธ พระท่านจะไปหาทันที

ฉันคิดได้ฉันก็เลยภาวนาเรียกพระ ขอให้ท่านมาหาฉัน พอภาวนาได้สัก ๓ ครั้ง ปรากฏว่าพระมา ท่านไม่ใช่พระพุทธรูปแต่เป็นพระสงฆ์ มีรูปร่างสวยมาก นิ้ว แขน ขา ทุกส่วนกลมไปหมด ไม่เป็นเหลี่ยมเหมือนของฉัน ริมฝีปากท่านแดงน้อยๆ กำลังน่ารัก เนื้อเต็มไม่มีส่วนบกพร่อง ท่านเห็นฉัน ท่านยิ้มน้อยๆ แต่ท่านไม่พูด ท่านยิ้มตลอดเวลา ปกติฉันชอบคนยิ้ม ฉันเองก็ชอบยิ้มให้คนอื่นที่ฉันพบ แต่ถ้ายิ้ม ๓ คราวเขาไม่ยิ้มรับ ฉันจะไม่ยอมยิ้มให้อีกเลย ตรงนี้ไม่ค่อยดี เป็นเรื่องของคนที่มีกิเลส อย่าเอาไปปฏิบัติตาม

ภาพพระท่านสวยขึ้นเป็นลำดับ ต่อมาท่านมีแสงออกจากตัวมี ๖ สี มองดูคล้ายพระอาทิตย์ทรงกลด แต่สวยมากกว่าจนเทียบไม่ได้ องค์พระแทนที่จะเป็นสีเหลืองกลับมีสีเป็นประกายทั้งองค์ ฉันมองจนลืมตัว มองไปมองมาปรากฏว่าตัวฉันกลายเป็นคน ๒ คน คือคนหนึ่งไปยืนอยู่ข้างคนเดิม ตัวใหม่นี้สวยกว่าตัวเก่ามาก ฉันมองดูเนื้อฉันใสเหมือนแก้ว มีผ้านุ่งเป็นสีทอง เสื้อสีทอง มีแก้วประดับผ้าทั้งผืน มองดูเนื้อฉันสีทองมาจับ แลเป็นสีทองทั้งตัว บนศีรษะมีชฎาทองประดับแก้ว แก้วที่ประดับเสื้อผ้าและชฎามีแสงสว่างออกมาก ฉันลองขยับเขยื้อนตัว มันคล่องแคล่วมีความเบาผิดปกติ การเคลื่อนไหวสะดวกมาก

ดูตัวที่นอน ฉันก็ทราบว่ามันเป็นตัวของฉัน แต่มันไม่สวย น่าเกลียดน่ากลัวมาก ฉันไม่รักมันเลย มันไม่มีลมหายใจ ฉันไม่ชอบ และไม่ห่วงมัน ฉันหันไปดูพระ ท่านหายไปเสียแล้ว เดินวนไปเวียนมาอยู่พักหนึ่ง เห็นมันสบาย ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่เมื่อย มีความสบาย ชักอึดอัดใจที่ยืนอยู่บนบ้าน อยากจะลงไปเดินเล่นหลังบ้าน เพราะที่นั่นเย็นสบายดี

แต่การไปนอกบ้าน ปกติต้องลาท่านแม่ จึงเข้าไปลาท่าน ไปหลังบ้าน ท่านก็ไม่ยอมพูดด้วย ท่านมองแต่เจ้าคนนอน เอามือไปจับตัวท่าน ท่านก็ไม่เหลียวมามอง ไปลาลุง ท่านก็ทำแบบเดียวกัน เมื่อไม่มีใครสนใจ ก็เลยถือโอกาสไม่ลา เดินลงบันไดแล้วไปยืนอยู่หลังบ้าน ได้ยินเสียงบางคนบนบ้านร้องไห้ รู้สึกแปลกใจคิดว่าเขาร้องไห้ทำไม ไม่มีใครตายสักคน

ยืนอยู่หลังบ้านครู่หนึ่ง เห็นคนเดินมาจากทางทิศใต้เป็นแถวยาวเหยียด คิดในใจว่าพวกนี้เขาจะไปไหนกัน เมื่อพวกเขามาใกล้ เห็นชาย ๔ คนคุมมา คน ๔ คนนุ่งผ้าเขียวเหมือนกัน ตัวใหญ่และสูงมาก พวกที่เดินตามมาหัวแค่เอวเขาเท่านั้นเอง ฉันเห็นเขาตัวใหญ่ก็เลยทำตัวใหญ่และสูงเท่าเขามั่ง ชาย ๔ คนนั้น คนหนึ่งเดินนำหน้ามีสมุดข่อยในมือ อีกสองคนเดินขนาบข้าง ๒ ข้าง คนที่ ๔ เดินท้าย แสดงว่าควบคุมกันหนี เมื่อหัวหน้าใหญ่มา ฉันก็เข้าไปยกมือไหว้ถามว่า “คุณลุงจะไปไหนกันครับ”

คุณลุงมองหน้าฉัน แล้วก็เปิดสมุดข่อย แล้วบอกว่า “ชื่อเธอไม่มีในบัญชี เข้าบ้านเถิดหลาน เดี๋ยวแม่จะบ่นหา” แล้วก็จูงมือฉันมาที่บันไดบ้าน และกลับไปนำขบวนเดินต่อไป ฉันแปลกใจว่าตาลุงนี่ท่าจะยังไงเสียแล้ว ถามว่าไปไหน กลับมาบังคับเราให้เข้าบ้าน ต้องถามเอาความให้ได้ จึงเดินตามออกไป เห็นคนที่เดินผ่านหน้าเป็นคนที่เคยรู้จักกันหลายคน และเขาตายไปหลายวันแล้ว ก็เลยสงสัยว่าเมื่อเขาตายไปแล้ว เขามาเดินอยู่ได้อย่างไร พอคนที่ขนาบข้างและคนท้ายมาถึง ฉันก็เข้าไปถามเขาอย่างนั้น เขาก็ทำอย่างเดียวกัน ก็เลยสงสัยใหญ่

เมื่อเขาเดินห่างไปประมาณครึ่งกิโลเมตร ฉันก็สะกดรอยตามเขาไป เดินไปทางทิศเหนือไปไม่ได้ไกลนัก ก็เข้าป่าไผ่ มีทางเล็กๆ เดินคดเคี้ยวไปตามทาง ก็มีเขาต่ำๆ ขวางทางเป็นระยะๆ ข้ามเขาลงเขาไปประมาณ ๑๐ ลูก ในที่สุดก็ถึงเขาใหญ่และสูงมาก หัวหน้าขึ้นไปถึงยอดเขา ก็กางบัญชีออกตรวจพล เมื่อถึงคนสุดท้ายเขาบอกว่าครบ

ก็พอดีฉันโผล่ขึ้นไป ทั้ง ๔ ท่านรู้สึกมีอาการตกใจมาก ถามว่า “พ่อหนูมาทำไม” จึงบอกว่า “เมื่อผมถามคุณลุงว่าไปไหน คุณลุงไม่บอกผม ผมก็ต้องตามมาดูให้หายสงสัย” แล้วถามว่า “พวกนั้นเขาไปไหนกันครับ”

คุณลุงฟังแล้วก็พากันหัวเราะฟันขาว ด้วยตัวแกดำมาก แล้วตอบว่า “ลุงไปรับพวกนั้นเขามาส่งนรก” จึงถามท่านว่า “คนที่เอามาส่งนรก เขาทำความผิดอะไร” เขาตอบว่า “คนพวกนี้เคยถูกลงโทษในนรกมาแล้ว เมื่อหมดโทษ เขาให้ไปเกิดเพื่อทำความดี กลับทำตนเลวทราม ไม่เคารพศีลธรรม ขาดความเมตตาปรานี เมื่อทำชั่วอีก เขาก็นำมาลงโทษอีก”

ไปที่สำนักพระยายมราช

ว่าแล้วก็ชี้ให้ดูทางทิศเหนือ ต้องลงจากเขาไปก่อนจึงจะถึงผืนแผ่นดินใหม่ นรกไม่ได้อยู่ใต้ดิน มีพิภพต่างหากจากมนุษย์ มองตามไปเห็นแผ่นดินใหญ่โตกว้างขวาง มีอาคาร ๓ หลัง มีคนยืนอยู่ทางด้านซ้ายหลายพันคน มีคนตัวโตๆ อย่างพวกคุณลุงมากมาย ยืนถือหอกหน้าถมึงทึง อาคารในจำนวน ๓ หลัง หลังกลางเป็นหลังใหญ่ที่สุด มีคนเข้าออกไม่ขาดสาย มีคนตัวโตเดินนำเข้าไปทีละกลุ่ม พวกที่สวนออกมามีคนตัวโตเดินนำหน้า เมื่อออกจากอาคาร เดินเลี้ยวซ้ายไปทางทิศตะวันออก เรื่องทิศนี้เทียบทางเมืองมนุษย์ สำหรับเมืองนรก สวรรค์ พรหม หรือนิพพาน ไม่มีอาทิตย์เป็นเครื่องวัดทิศทาง

เมื่อเห็นคนเข้าคนออกอาคารหลังนั้นก็สงสัย จึงถามคุณลุงว่า “คุณลุงครับ พวกนั้นเขาเข้าไปในบ้านหลังนั้นทำไม และพวกที่ออกมานั้นดูท่าทางอิดโรยหน้าตาเศร้าสร้อย เขาไปทางไหนกัน”

คุณลุงหัวหน้าบอกว่า “เมืองนี้เขาเรียกว่าเมืองนรก” แล้วชี้ไปทางคนที่ยืนคอยอยู่หลายพันคนแล้วบอกว่า “ทุกคนที่ยืนคอยนั้น เขาคอยการตัดสินของพระยายมราช พวกที่เข้าไป เขาถูกพระยายมราชเรียกตัวและชำระโทษตามความผิด พวกที่ออกมาและเดินไปทางทิศตะวันออกนั้น พวกนี้พระยายมราชชำระคดีแล้ว ก็นำไปลงโทษตามความผิด” พูดแล้วก็ชี้มือไปทางทิศตะวันออก

เมื่อมองตามไป เห็นทุ่งกว้างหาที่สุดมิได้ มีแสงไฟพุ่งขึ้นสูง บริเวณแสงไฟก็ไกลแสนไกล ไม่รู้ที่สุดของบริเวณอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าตรงนั้นแหละที่เรียกว่า นรก เป็นสถานที่ลงโทษคนที่ทำความชั่ว เมื่อสิ้นลมปราณแล้ว เขาก็นำมาลงโทษกันที่นี่ ถามว่า “เขาลงโทษนั้น เขาทำอะไรบ้าง” ตอบว่า “โทษที่เหมือนกันหมด ก็คือถูกไฟเผาเหมือนกัน แต่ความร้อนของไฟไม่เท่ากัน คนที่ทำชั่วมาก ไฟมีความร้อนมากกว่าคนที่ทำความชั่วน้อย นอกจากไฟ ยังมีประหารด้วยอาวุธ แต่ทว่าพวกนี้ไม่มีการตาย ต้องเจ็บต้องร้อน ตลอดเวลา เป็นการลงโทษเพื่อให้เข็ดหลาบ”

ฉันขออนุญาตลงไปดู ทั้ง ๔ ท่านต่างแสดงอาการเดือดร้อนมาก ร้องออกมาพร้อมกันว่า “ไม่ได้ ถ้าหลานลงไป ลุงทั้ง ๔ คนจะถูกลงโทษอย่างหนัก” จึงถามว่า “เพราะอะไรคุณลุงจึงจะถูกลงโทษ และใครเป็นคนลงโทษคุณลุง” ตอบว่า “เพราะว่ากฎของเมืองนี้มีอยู่ว่า คนก่อนที่จะตาย ถ้าภาวนา พุทโธ หรือ อรหัง ถ้าลุงอนุญาตให้เข้าไปในแดนนรก ท่านพระยายมราชจะลงโทษลุงอย่างหนัก” จึงบอกว่า “เมื่อคุณลุงไม่ได้จับผมไปเอง ทำไมคุณลุงจะต้องถูกลงโทษ” ตอบว่า “ไม่ได้ เพราะหลานมาขณะที่ลุงนำคนมา ถ้ามาเองและลงไปเอง ไม่เป็นไร”

พอทำท่าจะลุกขึ้นเดินลงไป ก็พากันกั้นไม่ให้ลง แล้วถามว่า “อยากดูนรกขุนไหน” ถามว่า “นรกมีกี่ขุม” ตอบว่า “นรกขุมใหญ่มี ๘ ขุม นรกบริวารมีอีกขุมละ ๑๖ ขุม ยมโลกียนรกมีอีก ๑๐ ขุม” บอกว่า “อยากดูนรกขุมใหญ่ ๑ ขุม จะได้ทราบว่าเขาทำกันอย่างไร” คุณลุงชี้มือบอกว่า “นรกขุมที่ ๑ อยู่ตรงนี้” เห็นชัดเหมือนกับยืนดูอยู่ที่ปากขุม ภาพในนรกขุมนี้ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย คนลงไปนอนอยู่ในทะเลเพลิงไฟสูงกว่าหัวหลายเท่า มีสรรพาวุธนานาชนิดสับฟันตลอดเวลา เสียงร้องระงมไปหมด ไฟก็ไหม้ อาวุธก็ประหาร ตายก็ไม่ตาย ขนาดถูกหอก ๓-๔ เล่มแทงทะลุพรุนไปหมด ไฟก็เผา ก็ไม่มีใครตาย ถูกฟันตัวขาด มันก็กลับติดกันทันที ไม่รู้จักตาย ดูแล้วก็สลดใจ

คุณลุงบอกหมดเวลาแล้ว ทางเมืองมนุษย์เกือบสว่างแล้วหลานต้องรีบกลับ แต่ก็จำทางเดิมไม่ได้ คุณลุงจึงให้คนที่คุมท้ายแถวมาส่ง เขาก็จับขา ๒ ขา เอาตัวเหวี่ยงขึ้นบ่าพาแบกวิ่งขึ้นเขาลงเขา พอมาถึงหน้าประตูบ้านก็เหวี่ยงเข้าประตูไป ก็มีความรู้สึกทางร่างกาย ลืมตาขึ้น เห็นคนเต็มบ้าน รู้สึกกระหายนํ้าจัด เห็นพ่อหนุ่มคนหนึ่งอายุเกือบ ๓๐ ปี นั่งมองอยู่ข้างๆ จึงบอกขอน้ำสักขัน จะกินให้สมกับที่กระหาย พอได้ยินเข้าเท่านั้น ก็กระโดดผลุงข้ามตัวไปร้องเสียงดังว่า “ผีหลอก” ดูเถอะมนุษย์เป็นอย่างนี้ นั่งอยู่ข้างๆ ตั้งนานไม่กลัว พอฟื้นคืนชีพกลับถูกหาว่าเป็นผี

เมื่อทุกคนได้ยินเสียงร้องว่าผีหลอก ก็เข้าใจว่าฟื้นแล้ว เพราะหลังจากตายแล้วไม่นาน พระผู้ทรงคุณธรรมพิเศษได้ฌานสมาบัติมีศักดิ์เป็นลุง ท่านมา ท่านบอกให้ปล่อยร่างกายไว้ตามนั้น เด็กจะฟื้นคืนชีพก่อนสว่าง คนที่อยู่กันเต็มบ้านคืนนั้น เขาอยากเห็นการฟื้น ท่านลุงให้คนเอาน้ำสะอาด(น้ำฝน) ๑ ขันใหญ่มาให้ ฉันก็กินจนหมดขัน เมื่อกินแล้วก็ลุกขึ้นคุย ตามธรรมเนียมของคนตายแล้วฟื้น อาการป่วยที่เป็นก่อนตายไม่มีอาการปรากฏเลย ร่างกายสบาย ทุกคนต่างก็สนใจเรื่องที่ไปพบมา ต่างก็ถามท่านแม่ว่าเรียนมาจากไหน ท่านแม่ก็บอกว่า “เรียนมาจากหลวงพ่อปาน” วันต่อมาพวกกลัวตาย ก็พากันมาเรียนเป็นการใหญ่

เมื่อฟื้นคืนชีพแล้ว ความชินของอารมณ์ ความมั่นใจในพระพุทธคุณ ทุกวันฉันอยากเห็นพระองค์นั้น ฉันรักอารมณ์อย่างนั้น และฉันก็รักษามาจนถึงวันบวชพระ ฉันชอบการท่องเที่ยวอย่างนั้น ฉันรักพระองค์ที่มีรูปร่างสวย มีรัศมีสว่างผ่องใส ฉันต้องเห็นท่านทุกวัน บางวันถ้าฉันว่างฉันเห็นท่านวันละหลายชั่วโมง ท่านเป็นพระใจดี ฉันนึกถึงท่านเมื่อไรท่านมาหาฉันทันที เพียงนึกอยากเห็นท่านเป็นเพชร ไม่ต้องออกปาก องค์ท่านก็เป็นเพชรทันที ฉันรักท่านมาก ทุกวันถ้าถูกใครว่าฉันไม่สบายใจ ฉันก็หาที่ปลอดคน เรียกท่านให้มาหา วิธีเรียก ฉันยกมือไหว้ฟ้าแล้วก็กราบ ภาวนาว่า พุทโธ ๓ ครั้ง ท่านก็มาหาฉันทันที พอมาท่านยิ้ม

เมื่อเห็นท่านยิ้ม ฉันก็หมดความทุกข์ใจ ถ้าฉันอยากไปดูนรก ฉันก็บอกท่านว่า “ผมอยากไปดูนรก” เมื่อบอกท่านแล้วท่านไม่พูด แต่ท่านยิ้ม พอท่านยิ้มฉันก็ไปถึงที่เคยไปกับท่านลุง ๔ คนทันที ไม่ทราบว่าไปได้อย่างไร ฉันคิดว่าอาการยิ้มของท่านเป็นการส่งฉันไป วันเวลาไปไม่แน่นอน จะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ดีไม่ดีเวลาที่ฉันกินข้าวคนเดียว หรือดายหญ้าอยู่ ถ้าฉันอยากไปนรก ฉันก็วางมีดวางงานเสีย ภาวนาว่า พุทโธ ๓ ครั้ง ท่านก็มาหา ฉันก็บอกว่า “ฉันจะไปดูนรก” ท่านก็ยิ้ม ฉันก็ไปนั่งตรงที่ฉันเคยไป เมื่อฉันอยากเห็นนรกขุมไหนเขาทำอะไรกัน ฉันก็เห็นตามใจฉันนึก เหมือนกับฉันไปอยู่ในสถานที่นั้น แต่ทว่าฉันไม่เคยขอให้ท่านพาไปสวรรค์หรือพรหมโลก เพราะฉันไม่มีความรู้ เคยไปนรกก็ไปแต่นรกเท่านั้น แต่เมืองนรกก็มีคนลงไปใหม่ทุกวัน

การไปนรกเป็นปกติของฉัน เมื่อท่านแม่กับท่านยายนิมนต์พระมาเทศน์ ท่านชอบเทศน์เรื่องนรกสวรรค์ เมื่อเทศน์จบแล้วฉันถามท่านว่า “เคยเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า” ท่านบอกว่า “ไม่เคยเห็น” ถามท่านว่า “เมื่อไม่เคยเห็นแล้วเอาอะไรมาเทศน์” ท่านบอกว่า “อ่านจากตำรา” เมื่อพูดเรื่องที่ฉันไปเห็นมา ท่านหาว่าเป็นเรื่องโกหก เลยเกลียดพระ คิดว่าพระพวกนี้หลอกลวงชาวบ้านหากิน มาเล่าเรื่องนรกสวรรค์ให้ฟัง แต่ตัวเองไม่เคยเห็นเลย เรื่องที่เราเห็นมา กลับหาว่าเป็นเรื่องโกหก เลยไม่อยากไหว้พระ ส่วนพระพุทธไหว้ กับพระที่เป็นท่านลุง ท่านรู้นรกสวรรค์ องค์นี้ไหว้ พระองค์ไหนก็ตามถ้ามาที่บ้าน ต้องถามว่าเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า ถ้าบอกว่าไม่เห็น ไม่ยอมไหว้ ของที่เขาจัดถวาย ก็ไม่ยอมประเคนเด็ดขาด

ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง การตายครั้งที่ ๓

      เวลานั้นฉันอายุ ๑๔ ปี ฉันอยู่กับเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเขาอายุ ๑๙ หรือ ๒๐ ปี เขาเป็นหนุ่มแล้ว ตอนเด็กๆ ฉันชอบเล่นกีฬา กีฬาบนบก กีฬาในน้ำ นี่ชอบมาก การออกกำลังเป็นปกติ วิ่งไม่พอ กระโดดโลดเต้นไม่พอ คว้าจอบมาฟันดิน ปลูกผัก ปลูกหญ้าแล้วก็ตักน้ำรดเอาทุกอย่าง ให้มีโอกาสได้ออกกำลังก็แล้วกัน ฉะนั้นเรื่องความเข้มแข็งของร่างกายเป็นของไม่หนักใจ

แต่วันนั้นท่านผู้ใหญ่ไม่มีใครอยู่เลย ไปธุระกันหมด เหลือฉันกับเพื่อนรุ่นพี่เพียงสองคนเท่านั้น อยู่ๆ พอตอนเย็น มันท้องถ่าย ทั้งอาเจียน ถ่ายพรืดพราด ถ่าย ๓ ครั้งเริ่มหมดแรง เพราะในท้องไม่มีอะไรจะถ่ายและก็อาเจียนด้วย ท่านแพทย์ผู้ทรงคุณพิเศษ ๒-๓ ท่านก็มาให้การรักษา

ความจริงโรคอย่างนี้ ยาของท่านเคยชะงัด แต่ว่าการรักษาวันนั้นไม่มีผลเลย ยากินก็ดี ยาฉีดก็ดี การนวดเฟ้นคั้นบาทา ทำกันทุกอย่างไม่มีทางฟื้น ไม่มีทางดีขึ้น โรคไม่คลายตัว ฉันก็เพลีย เพื่อนเขาเป็นหนุ่มกว่ารู้สึกกำลังจะดีกว่า เขาก็เพลียเหมือนกัน ฉันก็เคลิ้มหลับ

เวลานั้นเป็นเดือน ๑๑ น้ำนอง ปีนั้นเผอิญน้ำท่วมขึ้นมาใกล้พื้นบ้าน ขณะที่เคลิ้มไปพอเพลียจัดๆ เห็นมีเรือลำหนึ่งเป็นลักษณะเรือเดินทะเล เป็นเรือไม้ใหญ่ๆ หัวสูงๆ ทาสีขาว เทียบท่ามาหน้าบ้าน ฉันก็นึกในใจว่าคลองมันเล็กและทางเข้าบ้านเรา เรือใหญ่ขนาดนี้เข้าไม่ได้ แต่เรือลำนี้เข้ามาได้อย่างไร เข้ามาเทียบติดชานบ้าน

มีคน ๔ คนก้าวขึ้นมาจากเรือ คน ๔ คนรูปร่างหน้าตาดีมาก ผิวพรรณก็ดี เป็นคนหนุ่มแต่ว่าเครื่องแต่งตัวเหมือนกันหมด คือสีแดง กางเกงขายาวสีแดง เสื้อแขนสั้นแค่ศอกก็สีแดง ผ้าโพกศีรษะก็สีแดง แต่ทว่าตอนก้าวขึ้นมาบนบ้าน ผ้าไม่ได้โพกศีรษะ เขาคล้องคอ เป็นผ้ายาวคล้ายๆ ผ้าขาวม้ายาวแบบนั้น แต่พื้นเป็นสีแดงทั้งหมด

พอก้าวขึ้นมาสองคนแรกเข้ามาใกล้ตัว ห่างสัก ๑ วา อีก ๒ คนยืนชิดริมชานบ้าน ชิดเรือ พอ ๒ คนก้าวเข้ามาบอกว่า “พี่นี่สองคนนี่หว่า” อีกสองคนข้างหลังบอก “รับมาได้เลย ไม่มีพิษไม่มีสงอะไร ไม่ต้องปลํ้ากันละง่ายๆ”

แต่สองคนที่เข้ามาก่อนมองดูอย่างพินิจพิจารณาสัก ๑ นาทีเห็นจะได้ เขามองดูฉัน และก็มองดูเพื่อนรุ่นพี่ มองไปมองมา ก็บอกว่า “เอาไม่ได้แล้วเราสองคนนี่” อีกคนที่ยืนข้างๆ ถามว่า “เพราะอะไร” เขาเปิดบัญชีปั๊บ “คนนี้เป็นลูกของพระอินทร์ ใครมันวางยาไม่ดูหน้าคน ลูกพระอินทร์นี่เอาไปไม่ได้ ถ้าขืนเอาไปเรามีโทษ”

ก่อนที่เขาจะกลับ เขาก็ยกมือไหว้และค้อมหัวลงคล้ายๆ แสดงความเคารพ ฉันก็ไม่สนใจเขาจะไหว้หรือไม่ไหว้ก็ตาม ฉันก็เพลียแหงแก๋อยู่แล้ว พอเขาหันหลังกลับก็วิ่งขึ้นเรือ บอกสองคน “เร็ว พวกเราจะมีโทษ” อีกสองคนกระโดดขึ้นเรือตาเหลือกลาน ร้องถามว่า “มีโทษอะไร” คนนั้นก็บอก “คนนั้นลูกพระอินทร์ แล้วใครมันวางยาไม่ได้ดูหน้าดูตาคน นี่เราจะมีโทษกัน คนนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเขาได้เลย” แล้วเรือลำนั้นก็วิ่งจู๊ดหายวับไปกับตา ฉันก็หลับสบายไม่รู้สึกตัว

ตอนหลับนั้นประมาณ ๒ ทุ่มเศษๆ ตอนสายประมาณสัก ๒ โมงเช้าหรือ ๓ โมงไม่ทราบ ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่า ความปวดเสียดท้องมันหายไปหมด อาการต่างๆที่เป็นอยู่หายหมด ท้องโล่ง มีอาการคล้ายๆ กับถ่ายยาอย่างดี มีความรู้สึกอยากจะกินแกงเผ็ดไก่และต้องเผ็ดมากๆ

ต่อมาท่านแม่ป่วย ก็ไปพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านน้าพลอย ซึ่งเป็นน้องสาวของท่านแม่ ก็ใช้รดน้ำมนต์บ้างกินยาบ้าง ในที่สุดท่านแม่ก็เสียชีวิตเมื่อฉันอายุได้ประมาณ ๑๔ ขวบ พี่สำเภา พี่วงษ์ และท่านพ่ออยู่ป่าที่จังหวัดชัยนาท แล้วนำศพท่านแม่มาเผาที่วัดสาลี ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี

หลังจากนั้นฉันก็มาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร ในคลองบางระมาด อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ในสมัยนั้นท่านยายปลูกบ้านใหม่สองห้องให้อยู่ตามลำพัง ช่วงนี้เป็นช่วงที่ฉันฝึกฝนตนเอง เป็นช่างไฟฟ้าและช่างเครื่องยนต์กลไกต่างๆ จนบ้านที่อยู่รกไปหมด และเวลาว่างก็ไปเรียนระนาดเอก กับคุณหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ก็เลยเป็นนักระนาดกับเขาด้วย

ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง การตายครั้งที่ ๔

      เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๘๗ ฉันอายุ ๒๗ ปี ตอนนั้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ จำพรรษาและเป็นครูสอนบาลีอยู่ที่วัดประยูรวงศาวาส จังหวัดธนบุรี วันนั้นวันที่ ๒ มกราคม ขณะนั้นอากาศหนาวจัด ก็มีพระท่านทำยาขนานหนึ่ง ทุกองค์ฉันแล้วก็รู้สึกว่าสบาย ฉันก็อยากจะมีกำลังร่างกายปลอดโปร่งอย่างเขาบ้าง เพราะเป็นนักเทศน์แล้วด้วย ก็ขอท่านฉัน

พอฉันเข้าไปเดี๋ยวเดียว ท้องก็ถ่าย ๓ ครั้ง หมดแรง คราวนี้ตามันเริ่มสั้นเข้ามาทีละหน่อยๆ สายตามองไกลๆ มันเห็นสั้นเข้ามาๆ จนกระทั่งพระกับเณรนั่งข้างๆ ๒-๓ องค์ ไม่เห็น พอไม่เห็นก็หมดความรู้สึกภายนอก ใครจะไปใครจะมาก็ไม่เห็นหมด ใครพูดก็ไม่ได้ยินหมด แต่ความรู้สึกในขณะนั้นมันเป็นความรู้สึกแตกต่างกับที่ตายมาแล้ว คือมันยังไม่ตายจริงอย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกว่าสลบ แต่ความจริงสลบมันไม่มีความรู้สึก

ฉันเข้าใจว่ากำลังจิตเป็นฌานมากกว่า เพราะพอตามองไม่เห็น ฉันก็เริ่มจับพระกรรมฐาน คือเริ่มจับอารมณ์ตามเดิม พอจิตเป็นสมาธิ จิตมันก็โปร่งสบาย ฉันนึกถึงพระพุทธเจ้าของฉันก่อน เราจะไปสวรรค์ได้ ไปพรหมได้ ไปพระนิพพานได้ ก็เพราะอาศัยพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า แล้วเราจะรู้ธัมมะธัมโมได้อย่างไร ฉะนั้นเราต้องเกาะต้นเค้ากันไว้ก่อน ฉันยึดพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์

ปกติฉันเห็นพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา คือพระพุทธรูปทองคำที่ฉันชอบ และก็กราบพระพุทธเจ้าที่ท่านมาปรากฏพระองค์หลังจากการตายครั้งที่ ๓ ท่านสวยมากจับจิตจับใจ เพราะฉันชอบพระพุทธเจ้าสวยๆ เห็นท่านทุกเวลา เดินบิณฑบาตฉันเห็นตลอด นั่งอยู่ไม่มีใครกวนเห็นตลอด เวลาดูหนังสือเห็นท่านอยู่บนศีรษะเลย จิตใจสว่างจำอะไรได้ดี เวลาป่วยไข้ไม่สบาย ท้องถ่ายครั้งแรกฉันก็นึกในใจว่า อาการอย่างนี้มาอีกแล้ว ก็เลยจับอารมณ์เบาๆ ฉันไม่ได้ทำอารมณ์หนัก ฉันภาวนา “พุทโธ” หายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” ใจก็จับพระรูปพระโฉมของพระพุทธเจ้าที่เคยเห็นชัดเจนมาก และพระองค์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์แต่ไม่เคยพูด

ต่อมาความรู้สึกภายนอกหมด อารมณ์ภายนอกดับ ร่างกายไม่รู้สึก ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน แต่มีความรู้สึกว่า ฉันนั่งอยู่ในโพรงๆ หนึ่งซึ่งมีความสว่าง ฉันพิจารณาว่าถ้ำหรือโพรงๆนี้มันคืออะไร ก็ปรากฏว่าเป็นร่างกายฉันเอง เหมือนกับถ้ำหรือโพรงที่ใหญ่มากขนาดยืนต่อตัว ๒-๓ คนก็ไม่ถึง ฉันไปนั่งตรงกลางของส่วนอก สภาพของตัวเองเป็นพรหม ใสชัดเจนมาก สวยสดงดงามมากกว่าการตายครั้งก่อน

ฉันนึกในใจว่าไอ้ถ้ำนี้หรือว่าเปลือกๆ นี้เราอาศัยมันมานานแล้ว เราควรจะอยู่หรือว่าควรจะไป ก็คิดอีกทีว่า ถ้าอยู่ดีกว่าเก่าเราก็จะอยู่ ถ้าอยู่แล้วไม่ดีกว่าเดิมเราจะไม่อยู่ เสียเวลาเปล่าๆ จึงนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ข้าพระพุทธเจ้าควรจะอยู่หรือควรจะไป” ก็เห็นวิมานบนพรหมชั้นที่ ๑๑ ชัดเจน และบนอากาศมีเทวดากับพรหมและพระอริยะเต็มไปหมด แพรวพราวเป็นระยับ สดชื่นเหลือเกิน แต่ว่าทุกท่านไม่มีใครกวักมือเรียก เพียงแต่ยิ้ม

ท่านสหัมบดีพรหม ยืนข้างหน้าบอกว่า “จงใคร่ครวญให้ดีก่อนว่าจะอยู่หรือจะไป”

ฉันก็เลยนึกถึงพระพุทธเจ้า ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ถ้าข้าพระพุทธเจ้าควรจะอยู่ ขอให้มีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ พุ่งมาบนเพดาน ถ้าหากว่าไม่ควรอยู่ ควรจะไป ขอไม่เห็นอะไรปรากฏเลย”

พออธิษฐานเสร็จก็มีรัศมี ๖ ประการพุ่งมาเป็นแสงรุ้งเต็มเพดาน แผ่อยู่พักหนึ่งก็หายไป ฉันคิดว่าท่านบอกว่าควรอยู่ จึงตัดสินใจว่า “หากฉันจะอยู่ต่อไป ถ้าสมณธรรมของฉันจะดีกว่าเดิม ก็ขอเห็นฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการพุ่งมาแล้ววนเป็นทักษิณาวัตร ถ้าหากว่าอยู่แล้วสมณธรรมของฉันไม่ดีกว่านี้ ก็ขอรัศมี ๖ ประการจงอย่าปรากฏ” พออธิษฐานเสร็จ ก็ปรากฏว่ามีรัศมี ๖ ประการพวยพุ่งมาใหม่ วนเป็นทักษิณาวัตร สวยสดงดงามมาก อยู่ประมาณ ๑๐ นาที ฉันก็ชื่นใจ

พอรัศมี ๖ ประการหายไป ก็ปรากฏว่ามีเทวดาองค์หนึ่ง คือท่านพระอินทร์ ท่านแต่งชุดสีขาว นุ่งผ้าธรรมดาๆ เป็นผ้าพื้น มีผ้าสไบเฉียงออกสีขาว ท่านเอายามาให้ก้อนหนึ่งเหมือนก้อนดิน บอกว่า “คุณฉันยาก้อนนี้โรคจะหาย การที่คุณรับเทศน์ไว้ที่จังหวัดสมุทรสงครามวันมะรืนนี้ ไม่ต้องนิมนต์ใครไปแทน คุณไปเองได้ ร่างกายจะดีเป็นปกติ” รับยามาฉัน รสเหมือนดิน หลังจากนั้นก็มีความรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นคนหลายคน ประเดี๋ยวหนึ่งกำลังก็ปรากฏ หายจากโรคเป็นปลิดทิ้ง แต่ว่าเพื่อนพระบอกว่าเวลาสิ้นไป ๘ ชั่วโมงเศษ ฉันก็รอดตายมาได้

การตายครั้งที่ ๔ นี้มีประโยชน์ ที่มีการเข้าใจว่าการเข้าฌานตายเป็นอย่างไร และการตายมันก็เหมือนกับความฝันนั่นแหละ เราอย่าไปนึกกลัวมันเลย ร่างกายมันก็เหมือนเปลือกนอก เมื่อทิ้งอัตภาพแล้วมันก็จะกองอยู่ จิตก็เคลื่อนไปตามวาสนาบารมี

ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง การตายครั้งที่ ๕

      พอถึงปี ๒๕๐๐ ฉันอายุย่างเข้า ๔๐ ปี บวชพรรษาที่ ๑๙ หลวงพ่อปานท่านมาบอกก่อนว่าอีก ๓ ปีคุณจะป่วยหนัก งานก่อสร้างทั้งหมดขอให้เบาตัว คราวนี้ป่วยหนักเลยเข้าโรงพยาบาลกรมแพทย์ทหารเรือ เพราะหลานชายอยู่ที่กรมแพทย์ทหารเรือและก็มีหลายๆ คนรู้จักกัน เวลานั้นหมอประกอบเป็นผู้อำนวยการ พักอยู่ที่ตึก ๑ เป็นห้องพิเศษ

ทุกวันพอถึงเวลาจวนจะ ๒ ทุ่ม จะมีอาการแน่นท้อง เสียดหน้าอก มันแน่นขึ้นมาๆ จนกระทั่งหายใจไม่ออก แต่ตอนกลางวันไม่เป็นไร ป่วยคราวนี้ฉันรู้ตัวว่าฉันแก่แล้ว คิดว่าคราวนี้ฉันตายแน่ พอถึงคืนวันที่ ๓ ก็คิดว่าคืนนี้มันคงจะเอาอีก ก็ตั้งท่าสู้ พอถึงเวลาใกล้จะ ๒ ทุ่มก็เรียกจ่าพยาบาลมาให้ไขเตียงในท่านั่ง แล้วให้จ่าออกจากห้อง ปิดประตูใส่กุญแจหน้าห้องด้วย

วันนี้ฉันตั้งท่าสู้ โดยเอาสติจับสมาธิ จับอานาปานุสติกรรมฐาน แล้วก็ปลงว่า ขันธ์ ๕ คือร่างกายมันจะพัง เราไม่ต้องการมันอีก ทรัพย์สินของเราไม่มี ญาติพี่น้องไม่มี พ่อแม่ไม่มี ที่พึ่งอื่นของเราไม่มี นอกจากคุณพระรัตนตรัย เวลานี้เราต้องการคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธรรมใดที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นแล้ว เราต้องการเห็นธรรมนั้น คิดในใจเพียงเท่านี้เอง ไม่ได้ทำอะไรมากหรอก

พอเวลา ๒ ทุ่มตรง แทนที่อาการปวดเสียดมันจะมา กลับเห็นมีพรหมองค์หนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้า แสงสว่างมาก มีความสวยสดงดงาม ท่านคือ ท่านสหัมบดีพรหม ท่านบอกว่า “พระพุทธเจ้าให้มานิมนต์ไปเฝ้า” ก็เดินตามท่านไป

เวลาออกจากตัว รู้สึกว่าร่างกายของฉันสวยกว่าการตายทุกครั้งที่ผ่านมา มีความบางกว่า มีความเบากว่า เครื่องประดับประดาก็สวยสดงดงาม ท่านพาเดินลัดเลาะไปตั้งแต่โลกันตมหานรกขึ้นมาถึงอเวจีมหานรก ขึ้นมาเรื่อยๆ เห็นนรกทุกขุม เรื่อยมาถึงแดนเปรต แดนอสุรกาย แดนสัตว์เดรัจฉาน แดนมนุษย์ แดนสวรรค์ตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๖ แดนพรหมทุกชั้นถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ กับอรูปพรหมอีก ๔ ชั้น

ที่ท่านพาผ่านไปอย่างนั้น ท่านต้องการให้ชมว่า คนเราถ้าทำชั่ว ก็ต้องตกนรกแบบนี้ เป็นเปรตแบบนี้ เป็นอสุรกายอย่างนี้ เป็นสัตว์เดรัจฉานแบบนี้ ถ้าทำดีเล็กน้อย ก็เป็นคนบ้าง เป็นเทวดา เป็นนางฟ้าบ้าง เป็นพรหมบ้าง

พอสุดทางพรหมชั้นที่ ๑๖ ท่านสหัมบดีพรหมก็บอกว่า “ผมมีหน้าที่พาท่านมาแค่นี้ ต่อจากนี้ไปไม่ใช่หน้าที่ของผม ท่านต้องไปคนเดียว” ถามท่านว่า “ไปทางไหน” ท่านก็ชี้ทางให้ไป ก็เห็นทางไม่โตนัก พอย่างเท้าก้าวไปสู่ทาง ทางก็ใหญ่พรึบเป็นแผ่นดินๆ หนึ่ง แต่เป็นแก้วผสมทอง สวยสดงดงามมาก

พอออกจากเขตพรหมชั้นที่ ๑๖ ก็รู้สึกว่าหมดแรง เหมือนคนที่เป็นไข้หนักตื่นขึ้นมาใหม่ๆ เดินโผเผๆ ไม่มีแรง เมื่อเดินตรงไปก็พบสถานที่แห่งหนึ่งเหมือนวัด มีกำแพงคล้ายๆ แก้วผสมทอง มีหน้าบันคล้ายคลึงหน้าบันของวัดท่าซุงที่หน้าโบสถ์ แต่สวยวิจิตรพิสดารมากกว่า มีซุ้มประตูเป็นทางเข้า พื้นที่เดินเป็นแก้วผสมทอง

เดินเข้าไปพอเห็นหอระฆังหลังหนึ่ง มีอาคารอยู่ ๓ หลังใหญ่มาก หลังหนึ่งเป็นหลังทึบคล้ายๆ กับวิหารแก้ว อีก ๒ หลังโปร่งคล้ายๆ กับมณฑปหน้าวิหารแก้วทั้ง ๒ มณฑป ไม่เหมือนกันเปี๊ยบแต่โปร่งคล้ายๆ กัน สว่างไสววิจิตรตระการตามาก มองไปด้านทิศตะวันออกเห็นสระโบกขรณีมีนํ้าใส มีแท่นแก้ว มีต้นไม้แก้ว

ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าวัดอะไรสวยจริงๆ ไม่เคยเห็น เงียบสงัดหาคนไม่ได้ เดินไปเดินมาก็หมดแรง จึงไปนอนที่หอระฆังหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ก็เห็นพระองค์หนึ่งมีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการพวยพุ่งออกมาจากกาย ท่านเดินมาทางด้านกำแพงทิศตะวันออกซึ่งไม่มีประตูเข้า พอท่านเดินมาถึงกำแพง กำแพงก็ขาดออกไป พอท่านเดินผ่านเข้ามา กำแพงก็ชนติดกัน

พอเห็นก็จำได้ทันทีว่าพระองค์นี้คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเคยเห็นบ่อย ท่านเดินมานั่งข้างๆ ฉันก็ลงจากพื้นของหอระฆังทองคำผสมแก้ว ท่านก็นั่งบนแท่น ฉันก็ก้มกราบท่านที่พระบาท

ท่านก็ถามว่า “ในชีวิตนี้เธอคิดไหมว่าจะมานิพพาน”

ก็กราบทูลตามความเป็นจริงว่า “ไม่เคยคิดพระเจ้าข้า”

ท่านถามว่า “ทำไม”

ก็ตอบว่า “เขาบอกว่านิพพานสูญ ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบว่านิพพานอยู่ที่ไหน ก็เลยไม่คิดว่าจะไป คิดอย่างเดียวว่า ถ้าตายแล้วไม่ต้องการขันธ์ ๕ ไม่ต้องการความเกิดอีก”

ท่านถามว่า “ที่เธอนั่งอยู่นี่เขาเรียกอะไร”

ก็ตอบว่า “ไม่ทราบพระพุทธเจ้าข้า”

ท่านก็ถามต่อว่า “ตั้งแต่ภูมเทวดา รุกขเทวดา อากาศเทวดาทั้งหมด พรหมทั้งหมด เธอรู้จักไหม”

ก็ตอบว่า “ท่านสหัมบดีพรหมพาผ่านมาแล้วทุกจุด ถึงพรหมชั้นที่ ๑๖”

ท่านถามว่า “ที่นี่เขาเรียกพรหมชั้นที่ ๑๖ ใช่ไหม”

ก็ตอบว่า “ไม่ใช่ เพราะว่าเลยมาแล้วพระพุทธเจ้าข้า”

ท่านจึงบอกว่า “ที่นี่เขาเรียกว่านิพพาน พอเลยพรหมชั้นที่ ๑๖ มาเขาเรียกนิพพาน”

ก็แปลกใจถามท่านว่า “เขาว่านิพพานสูญ ไม่ใช่หรือพระพุทธเจ้าข้า”

ท่านก็ทรงแย้มพระโอษฐ์บอกว่า “ถ้านิพพานสูญ เธอจะนั่งอยู่ได้อย่างไร เธอไปอ่านหนังสือของคนที่เขาไม่รู้จักนิพพาน”

“นิพพาน” ไม่ได้มีศัพท์ว่า “สูญ” อย่างเดียว มีศัพท์ว่า “สุข” ด้วย

“นิพพานัง ปรมัง สุขขัง” แปลว่า “นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง”

และ “นิพพานัง ปรมัง สุญญัง” แปลว่า “นิพพานเป็นธรรมอันว่างอย่างยิ่ง” หมายความว่า “สูญจากกิเลส”

“สูญ” แปลว่า “ว่าง” คือ ว่างจากกิเลส ว่างจากความชั่วทั้งหมด ขอให้เธอจงมีความเข้าใจว่า นิพพานไม่มีสภาพสูญ

ท่านถามอีกว่า “เธอคิดจะมานิพพานไหม”

ก็ตอบว่า “ไม่คิดพระพุทธเจ้าข้า”

ท่านถามว่า “ทำไม”

ก็ตอบว่า “เพราะวิปัสสนาญาณยังอ่อนพระพุทธเจ้าข้า”

ท่านก็บอกว่า “จริง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ชาตินี้เธอจะมานิพพานได้หรือไม่ได้ ลองดูก็แล้วกัน”

ท่านก็เนรมิตไม้ขึ้นมา ๑๐ ท่อน ยาวประมาณแค่ศอก เป็นแบบไม้ไผ่แล้ววางไว้ ท่านก็เรียกพระขึ้นมา ๙ องค์ พระไม่รู้มาจากไหน โผล่ผลุบผลับก็มาถึง จำได้ว่าองค์ที่ ๓ คือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แต่ละองค์มาถึง ต่างก็นมัสการพระพุทธเจ้า แล้วก็หยิบไม้ไปคนละอัน

เหลืออีกอันหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “อันนี้เป็นของเธอ เธอยกไม้อันนี้”

ก็นึกในใจว่ายกไม่ไหว แต่ก็เกรงใจท่าน จึงเข้าไปยกไม้ตั้งท่าเต็มที่ แต่พอยกเข้าจริงๆ ปรากฏว่าไม้เบามากเหมือนกระดาษ ฉันมีกำลังขึ้นมาทันที เอาใส่บ่าเดินตามพระไป พอเดินไปได้ประมาณสัก ๑๐ ก้าว ท่านก็เรียกกลับมาบอกว่า “วางไม้เสียก่อน เธอยังไปไม่ได้ วิปัสสนาญาณยังอ่อน”

ก็กราบท่าน ท่านบอกว่า “เธอสนใจสมถภาวนามากเกินไป วิปัสสนาญาณน้อย โดยที่เธอคิดว่าเธอปรารถนาพุทธภูมิ จะปรารถนาพุทธภูมิหรือสาวกภูมิก็ตาม วิปัสสนาญาณต้องควบคู่กับสมถภาวนา คือต้องให้สมํ่าเสมอกัน และอีกประการหนึ่งเธอก็มีความจำเป็นต้องลาจากพุทธภูมิ”

ก็บอกท่านว่า “ไม่ตั้งใจจะลา”

ท่านบอกว่า “เธอตั้งใจจะลาหรือไม่ตั้งใจจะลาก็ตาม ถึงเวลานั้นมันต้องลา”

ก็เลยถามท่านว่า “จะลาเพื่ออะไร”

ท่านบอกว่า “ลาเพื่อช่วยกัน ถ้ายังปรารถนาพุทธภูมิอยู่อย่างนี้ ก็จะสนใจเฉพาะฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์ยังช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะถ้าพลาดเมื่อไรก็ลงอบายภูมิเมื่อนั้น ดูตัวอย่างพระเทวทัต

เธอต้องกลับไปเพื่อปฏิบัติวิปัสสนาญาณให้เต็มขั้น หลังจากนี้เป็นต้นไป เวลา ๔ ทุ่มตรง ถ้ามีแขกอยู่ก็จงเลิกรับแขก เข้าที่นอนบูชาพระ ฉันจะไปสอนอริยสัจ จนกว่าเธอจะได้ผล”

“และจงอย่าลืมนะ อารมณ์ที่เธอคิดนั้นเป็น อารมณ์ของพระอรหันต์ หมายความว่า การที่เธอจะมานิพพานได้นี่ เธอคิดว่าพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ทรัพย์สินต่างๆ ไม่สามารถจะช่วยเธอได้เมื่อเธอจะตาย ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ คือคุณพระรัตนตรัย และเธอไม่ต้องการร่างกาย เพราะมันป่วยไข้ไม่สบาย มีความทุกข์อยู่เสมอ ขึ้นชื่อว่าความเกิดไม่ต้องการอีก อันนี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ ทุกคนถ้าคิดอย่างนี้เป็นอารมณ์ มานิพพานได้ทุกคน

ในที่สุดก็ลาท่านกลับมา พอฟื้น เวลาผ่านไปตั้งแต่ ๒ ทุ่มถึงใกล้สว่าง พอตอนเช้าก็มีจ่าพยาบาลมาเคาะประตู นำอาหารมาให้ กินข้าวกินปลาเสร็จ กำลังจิตก็มีความสุขสงัด ที่เขาเรียกว่าสังขารุเปกขาญาณ คือเจริญวิปัสสนาญาณควบคู่กับสมถภาวนา

การไปพระนิพพานมาแล้วครั้งหนึ่ง ทีหลังนึกถึงพระนิพพานปั๊บก็ถึงเมื่อนั้น พอถึงเวลาเช้ามืดก็กลับลงมา จิตใจก็มีความสุข ไม่มีความห่วงใยในทรัพย์สินแม้แต่ร่างกาย ก็คิดว่าถ้ามันตายเมื่อไร เราก็มีความสุขเมื่อนั้น

ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง การตายครั้งที่ ๖

      การตายครั้งที่ ๖ เป็นปี พ.ศ.๒๕๑๑ ตอนนี้มาอยู่ที่วัดท่าซุงเป็นปีแรก สถานที่อยู่ซึ่งท่านเจ้าอาวาสนิมนต์มาบอกว่าจะสร้างกุฏิให้หนึ่งหลัง ไปๆมาๆกุฏิของท่านมีแต่พื้นกับหลังคา ก็ต้องมาทำเอง เป็นกระต๊อบเพิงหมาแหงน กุฏิเวลานี้นำมาสร้างอยู่ในสระข้างโบสถ์ แต่ขยายกว้างออกไปและสวยกว่าเก่า เดิมทีเดียวทำแค่ปุๆปะๆ แค่พออยู่ได้ยาวแค่ ๖ ศอก กว้าง ๔ ศอก

วันนั้นฉันก็นอนอยู่ที่กระต๊อบโคนโพธิ์ ตอนนั้นมีเตียงอยู่หนึ่งเตียง ก็นอนตะแคงขวา กำลังทางร่างกายก็น้อยลงไปทีละนิดๆ ในที่สุดก็ใกล้จะหมดแรง สายตาที่มองยาวออกไปมันก็เริ่มสั้นเข้ามาทีละน้อยๆ จนกระทั่งเห็นสั้นเข้ามา ห่างจากร่างกายไปประมาณสัก ๒ วา

อาการอย่างนี้มันเคยมีมากับฉันคืออาการเพลีย แต่ว่าอาการป่วยคราวนี้ของฉันไม่ได้ยั้งตัว หมายความว่าฉันเผลอไปเมื่ออายุ ๑๒ ปีมาครั้งหนึ่งแล้ว เกือบจะต้องถูกจับไปสอบสวนที่สำนักของท่านพระยายมราช ฉะนั้น การภาวนาฉันไม่มีหยุด การพิจารณาก็ดี ถือเป็นปกติ เวลาไหนต้องการภาวนาก็ภาวนา เวลาไหนต้องการพิจารณาก็พิจารณา

เมื่ออาการไม่ดีเกิดขึ้น ฉันก็นึกถึงร่างกายว่า ดีไม่ดีมันก็ตายวันนี้แหละ มันจะตายเมื่อไรก็ช่าง เราเตรียมพร้อมไว้เพื่อจิตเป็นสุข มีความรู้สึกว่าร่างกายเราประคบประหงมมันเท่าไร มันก็ดีไม่ได้ เลิกกันเสียทีนะ เอ็งจะตายก็ตายเถอะ ก็เลยบอกว่า

“มึงพังเสียได้ก็ดี กูจะได้มีความสุข เจ้าตัณหาเอ๋ย ฉันเป็นทาสแกมา ๕๐ ปีแล้ว ความดีนิดหนึ่งของแกไม่มีสำหรับฉันเลย ไอ้ร่างกายนี่แกให้ข้ามา และเวลานี้ข้าก็มีความเบื่อหน่ายร่างกายที่แกให้ แกจะต้องการร่างกายของแกคืนไป ก็เชิญ ฉันไม่มีความปรารถนาร่างกายเลวๆ อย่างนี้”

พอจิตคิดเท่านี้ ไอ้ตัวสั้นของสายตามันก็หยุด มันไม่สั้นเข้ามาอีก กายมันเพลีย แต่ใจไม่ได้เพลียไปด้วย กายยิ่งเพลียเพียงใด จิตใจยิ่งแจ่มใสมากขึ้น ความสว่างไสวของจิตมากขึ้นกว่าเก่า แพรวพราวเป็นระยับ

แต่ก็มีแปลกอย่างหนึ่ง ในอากาศไม่เห็นใครเลย ไม่เห็นเทวดา ไม่เห็นพรหม ไม่เห็นใครทั้งหมด ก็มีความรู้สึกว่าถ้าอาการอย่างนี้ มันคงไม่เอาจริง แต่ในใจนั้นอยากให้มันเอาจริง เมื่อสายตายาวออกไป ร่างกายก็เริ่มมีกำลัง จึงคิดในใจว่า

“ตัณหาเอ๋ย เจ้าทำไมถึงหลอกเราอย่างนี้ เจ้าคิดหรือว่าเราต้องการเจ้า เราเบื่อเจ้า เราเกิดมาหลายอสงไขยกัป เพราะเป็นทาสของเจ้า ไม่มีความดีสำหรับเราเลย ความจริงเราไม่ต้องการร่างกายเลวๆ ของเจ้า เมื่อไรเจ้าจะมาทวงเจ้าร่างกายของเจ้าตัวนี้ไป”

มันนึกอยู่คนเดียว พอนึกๆ ไปก็เลยทำใจหยุด จะนึกไปทำไม มันจะอยู่ก็อยู่ มันจะตายก็ตาย มันตายเมื่อไร ไปบ้านของเราเมื่อนั้น ใจฉันก็จับอยู่ที่บ้าน สวยแจ๋ว มีความสวยงามมาก มีความสุข

ในระหว่างนั้นเอง ก็เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระวรกายใหญ่มาก ถ้าพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ต้องถึง ๑๐ องค์ ถึงจะเท่าพระวรกายของพระองค์ เวลานั้นเห็นชัดเจนแจ่มใสแพรวพราวเป็นระยับ ลอยอยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากฉันนัก

ท่านลอยตํ่ากว่าหลังคากระต๊อบหลังนั้น แต่เวลานั้นภาพหลังคาไม่ปรากฏ เห็นแต่พระพุทธเจ้า ทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วก็ตรัสว่า “สัมพเกษี อาการเพียงเท่านี้ เธอเป็นทุกข์มากหรือ”

ก็ตอบพระองค์ว่า “ข้าพระพุทธเจ้า ไม่ทุกข์พระพุทธเจ้าข้า”

ท่านตรัสว่า “ไม่ทุกข์ ทำไมจึงมีการท้าทายกับตัณหา”

ตอบพระองค์ว่า “การท้าทายตัณหา ก็เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่ต้องการตัณหา และก็ไม่ต้องการสมบัติของตัณหา เวลานี้สมบัติของตัณหาแต่ละชิ้นไม่ต้องการเลย มีความต้องการอย่างเดียวคือบ้านหลังนั้น”

พระองค์ก็ทรงยิ้มแล้วตรัสว่า “อาการป่วยเท่านี้ อาการทุกขเวทนาเพียงเท่านี้ จงอย่าบ่นนะ ทำใจให้สบาย จิตไม่ยึดถืออะไรทั้งหมด สลัดทุกอย่าง กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา สลัดให้หมด จงเข้าใจในทุกข์ของโลก คนที่เกิดมาในโลก ใครก็ตาม พระอรหันต์ก็ตาม พระพุทธเจ้าก็ตาม ก็ป่วยเหมือนกัน ร่างกายของพระพุทธเจ้าก็ป่วย ร่างกายของพระอรหันต์ก็ป่วย ร่างกายของเธอจะไม่ป่วยไม่ได้”

หลังจากนั้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “เธอจงรักษากำลังใจอย่างนี้ให้ปกติ เป็นเอกัคคตารมณ์ คือมีอารมณ์อันเดียวที่เราต้องการอย่างนี้ ถ้าพลาดพลั้งลงอบายภูมิ เจ้าหนี้ของเธอที่ยังไม่ได้ชำระหนี้ เฉพาะคน สัตว์ไม่คิด เท่านี้เธอดู” ท่านชี้ไป

ฉันก็เห็นหัวคน เขาตัดเฉพาะหัววางเรียงพื้นที่จากแนวของคลอง วางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย จนสุดของพื้นที่ของวัดท่าซุงด้านเหนือสุดเลย และก็ไม่ได้วางชั้นเดียว เต็มพื้นที่หมด กุฏิอะไรไม่เห็นทั้งนั้น เห็นแต่หัวคนวางเรียงเป็นระเบียบ สูงกว่ายอดโพธิ์หนึ่งเท่า หรืออาจจะเป็นหนึ่งเท่าเศษ

ท่านบอกว่า “คนทั้งหมดนี้เธอฆ่ามาในอดีต และเวลานี้กรรมที่เธอทำกับเขาทุกคน เธอยังไม่ได้ใช้หนี้ เวลานี้เธอกำลังใช้หนี้เศษกรรมส่วนอื่น ส่วนใหญ่นี่ยังไม่ได้ใช้”

จึงได้กราบเรียนถามท่านว่า “การสร้างบาปขนาดนั้น ทำไมไม่ไปอบายภูมิ”

ท่านก็ตรัสว่า “ทุกชาติหลังจากนั้นมาพันชาติเศษ เธอเป็นนักรบก็จริงแหล่ แต่ทว่าก็เป็นนักบุญด้วย”

นักรบก็เป็น นักบุญก็เป็น ดังนั้นเวลายามว่างก่อนรบก็ทำบุญ เวลาไปรบ จิตใจก็นึกถึงพระเป็นที่พึ่ง กลับมาจากการรบก็ทำบุญ และก็ชอบเจริญสมาธิ นักรบต้องใช้อาวุธฟาดฟันกัน โดยเฉพาะใช้มีดใช้ดาบใช้หอก ต้องหนังเหนียวทุกคน จะหนังเหนียวได้เพราะอาศัยคุณพระคุ้มครอง

ฉะนั้นจิตใจจึงนึกถึงพระเป็นปกติ และเวลาจะตาย จิตใจนึกถึงพระเป็นปกติ อย่างนี้เป็นอารมณ์ฌาน อาศัยกำลังของฌานก็หนีบาปไปทุกครั้ง พันชาติเศษ แล้วสมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ก็ทรงให้โอวาทว่า

“นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เธอจงถือกำลังใจสังขารุเปกขาญาณเป็นอารมณ์ อะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายก็ถือว่าเฉยไว้ เขาจะชมก็เฉย เขาจะด่าก็เฉย แล้วร่างกายจะเจ็บไข้ไม่สบาย ก็ทำใจสบายๆ เฉย ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา คิดว่าร่างกายของเราต้องเป็นอย่างนั้น อย่าใช้อารมณ์ฝืนกฎของธรรมดา เท่านี้อารมณ์จิตของเธอจะเป็นสุข

หัวคนที่ปรากฏทั้งหมดนี่นับแสน กรรมอันนี้ไม่สามารถจะตามเธอทัน เธอมีโอกาสจะไป บ้านของเธอตามความประสงค์”

ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง การตายครั้งที่ ๗

      เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ อาการตายคราวนี้แปลกไม่มีโรค ตอนเช้าลงมาจากกุฏิชั้นสอง ตื่นขึ้นมาล้างหน้าเสร็จ ก็หยิบเอกสารสำหรับทำงานลงมาที่ตึกอินทราพงษ์ หวังจะทำงานเมื่อฉันเช้าเสร็จ พอวางเอกสารเสร็จก็อยากเข้าห้องส้วม

พอนั่งในส้วมปั๊บมันไม่ขี้ไม่เยี่ยว มันมืดไปหมด ไม่ใช่หน้ามืดอย่างเดียว มันมืดไปทั้งหมดแม้แต่ยกมือขึ้นก็มองไม่เห็นมือ แต่ว่าจิตใจเป็นสุข ก็คิดว่าอาการอย่างนี้ควรเป็นอาการของความตาย ถ้าตายในเวลานี้ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร จิตใจเป็นสุขเราก็ไปนิพพาน

นั่งอยู่นาน สักครู่ก็คิดในใจว่าในโลกนี้ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าอุบัติมาแล้ว ก็ไม่เคยมีพระอรหันต์องค์ไหนท่านนิพพานบนโถส้วม ถ้าเราตายบนโถส้วมก็จะเก่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหมด และลูกศิษย์ของเราก็มีมาก ถ้าเขาทราบว่าอาจารย์ตายบนโถส้วมก็จะขายขี้หน้าเขา เลยลุกจากโถส้วม ก็มองไม่เห็นอะไรเลย เอามือคลำข้างฝา คลำราวผ้าออกมา

พอถึงหน้าประตูห้องบันทึกเสียง พื้นห้องปูพรมก็เอนกายนอนลงตรงนั้น พอเอนกายลงไปแล้ว จิตก็ออกจากร่างไปติดอยู่แค่พระจุฬามณีเจดียสถาน ในบริเวณสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทั้งหมดเต็มไปทั้งเทวดา นางฟ้า พรหม และพระอรหันต์ทั้งหมด ทะลุไปพระนิพพานไม่ได้ หาทางไปไม่ได้ เห็นพระพุทธเจ้าก็เข้าไปกราบท่าน

ท่านก็ถามว่า “จะไปไหน”

บอกท่านว่า “จะไปพระนิพพานครับ”

ท่านบอกว่า “ฉันให้แกตายปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ปีนี้พ.ศ. ๒๕๒๓ นี่แกตายไม่ได้”

ก็บอกท่านว่า “ตายได้หรือไม่ได้ก็มาแล้ว จะไป”

ท่านก็เลยบอกว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันกลับลงไปก่อน สัญญาเดิมปี ๒๕๒๕ ถ้าฉันปล่อยให้เธออยู่ถึง ๒๕๒๕ ฉันจะเอาเธอไว้ไม่ได้ ฉะนั้น ปีนี้ ๒๕๒๓ ฉันต้องทำให้เธอตายชั่วคราวก่อนให้ถือว่าเป็นการเกิดใหม่”

ไอ้เราก็ยังไม่กลับ ท่านก็มาด้วยก็เลยต้องมา ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านมาด้วยก็ต้องมา เมื่อเข้าในร่างกายก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มันก็ยังมืดอยู่จึงหลับตาต่อไปอีกสักครู่หนึ่ง จึงลืมตาขึ้นก็ค่อยๆ สว่าง

ท่านบอกว่า “ให้ถือว่าวันเกิดใหม่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนะ ฉันต่อให้อีก ๑๐ ปี”

ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง การตายครั้งที่ ๘

      วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ มีอาการผิดปกติ ไปนั่งรับแขก ฉันหมากเข้าไปรู้สึกยัน เวลานั้นเวลาประมาณสักบ่าย ๒ โมง ๓ นาที จำไม่ได้แน่นอนนัก กำลังรับแขกอยู่ก็เกิดปวดอุจจาระ ก็ลุกไปส้วม มันอยากจะอาเจียน ก็หยิบขันน้ำมารองอาเจียน

พออาเจียนเท่านั้น มันหมดความรู้สึกตัว แต่มีความรู้สึกว่าตัวออกไปนั่งคุยอยู่ข้างนอก กับเทวดา ๒ องค์ เป็นท่านอินทกะทั้งสองท่าน คือ ท่านบุเรงนอง กับ ท่านปิยะยาวี คุยกันแบบสบาย ร่างกายเป็นอย่างไรไม่รู้เรื่องเลย ออกไปเมื่อไรก็ไม่รู้

พอกลับเข้ามาในตัวอีกที ก็รู้สึกว่าเสมหะนองเถือกเต็มพื้นไปหมด มันก็ไม่มีแรง นั่งรวบรวมกำลังใจอยู่นิดหนึ่ง ประตูก็ใส่กลอน พอมีแรงนิดหน่อยก็ค่อยๆ เกาะราวผ้าไปถอดกลอน ก็พอดีพระสมุห์บัญชาเรียกพระปลัดวิรัชว่า วิรัชๆ เร็วๆ วิรัช เร็วๆ จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องเลย

ปรากฏว่ามารู้เรื่องอีกทีก็เขานวดมือแล้ว ตอนออกตอนแรกพระท่านบอกว่า “เป็นการออกไปจากร่างกายเพราะร่างกายมันหนัก ถ้าไม่ออกไปจากร่างกาย มันจะหายใจไม่ทัน เสมหะออกมา มันจะขาดใจตายตอนนั้น”

พระท่านกลัวจะตาย ท่านเลยดึงจิตวิญญาณออกไปเสียข้างนอก พอออกตอนหลังท่านเรียกว่า “สลบ” เพราะไม่รู้สึกอะไรเลย ไอ้ตัวสลบกับออกไปข้างนอก มันไม่เหมือนกัน เพราะสลบไม่มีความรู้สึก

ต่อมารู้สึกตัวเห็นเขานวดกันไปนวดกันมา ก็พอดีจ่าปัญญากับคุณบังเอิญ สองสามีภรรยาหวังจะมาเยี่ยม ก็มาพบอาการหนักเข้า ทุกคนก็วิ่งกันวุ่นวาย กำนันสมนึกบอกว่าคนร้องไห้กันหลายคน มันน่าจะร้องไห้เพราะไม่มีความรู้สึกแล้ว พอยกออกไปเหมือนกับคนตาย

แต่พออาการคลายตัวขึ้นมา ก็ปรากฏว่ามีความรู้สึกว่ามีแรงนิดหน่อย มีอาการสดชื่น เขานวดบ้าง เขาบีบบ้าง เขาทำอะไรก็ตาม ความสดชื่นก็ปรากฏ อีกสักครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นเดินได้…

คัดลอกจากหนังสือ “ตายไม่สูญ…แล้วไปไหน” หน้า ๒๓-๔๐
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

เรื่องนี้ถูกเขียนใน ธรรมะหลวงพ่อฤาษีฯ และติดป้ายกำกับ , คั่นหน้า ลิงก์ถาวร