หลวงพ่อฤๅษีฯ สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน ๑๓

หลวงพ่อฤาษีฯ สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน
ตอนที่ ๑๓ พระสกิทาคามีมรรค-โทสะ ๒

      วันนี้ก็จะว่ากันถึงเรื่องพระสกิทาคามี ในด้านการตัดความโกรธ พระสกิทาคามีนี่ยังไม่ตัดแท้นะครับ เป็นการบรรเทาความโกรธ วิธีบรรเทาความโกรธได้พูดมาแล้วในวันก่อน ถึงกสิณ ๔ อย่าง แต่ทว่าสำหรับท่านที่หนักใจเรื่องกสิณ ก็มาว่ากันใหม่ จะบรรเทาความโกรธ ก็ต้องใช้พรหมวิหาร ๔

ถ้าอารมณ์พรหมวิหาร ๔ ประการมันประจำอยู่ในใจเป็นปกติ แล้วความโกรธมันจะโผล่มาตรงไหนล่ะ มันจะยื่นหน้าเข้ามาในช่องไหน คิดแล้วคิดไปด้วยว่า โกรธก็ตาย ไม่โกรธก็ตาย เราตายอย่างคนไม่โกรธดีกว่า ใจเรามีความสุข

 

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน
ในระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑

ตอนที่ ๑๓ พระสกิทาคามีมรรค-โทสะ ๒

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับเวลานี้ ท่านทั้งหลายได้สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว แล้วต่อไปขอให้ท่านทั้งหลาย พยายามตั้งใจสดับคำแนะนำในการเจริญพระกรรมฐาน วันนี้ก็จะว่ากันถึงเรื่องพระสกิทาคามี ในด้านการตัดความโกรธ พระสกิทาคามีนี่ยังไม่ตัดแท้นะครับ เป็นการบรรเทาความโกรธ วิธีบรรเทาความโกรธได้พูดมาแล้วในวันก่อน ถึงกสิณ ๔ อย่าง

เมื่อพูดถึงเรื่องกสิณนี่ ความจริงมันก็เหมาะสำหรับบุคคลบางคน บางคนที่ไม่พอใจในกสิณก็มี เพราะบางท่านเห็นว่ากสิณนี่มีความเข้มแข็งเกินไป เห็นว่าเป็นการไม่เหมาะไม่สมกับใจของตนเอง และบางท่านก็กลัวกสิณ เพราะความจริงคำว่ากสิณ ผมฟังมาเยอะ นักปฏิบัติพระกรรมฐานบางคนพอบอกว่าเจริญกสิณเท่านั้นแหละ ทำท่าตาพอง ทำตาพอง ทำตาใหญ่ เอะอะโวยวาย เห็นว่าหนักเกินไปสำหรับจิตใจคน นี้มันก็เป็นของแปลก

สำหรับพระกรรมฐานนี่ ขอประทานอภัยนะครับ ที่ผมต้องปรารภตัวสักนิดหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านห้าม ว่าการเทศน์นี่จงอย่าปรารภตนเองหรืออย่าปรารภบุคคลที่ฟัง แต่นี่เรื่องนี้เป็นเรื่องปฏิบัติและพูดกันตรงไปตรงมา

สำหรับเรื่องกรรมฐาน ๔๐ ผมเคยลองฝึกมาทั้งหมด แล้วก็มหาสติปัฎฐานสูตรทั้งหมด ผมฝึกทั้งหมด กรรมฐาน ๔๐ นี่ผมฝึกครบ ๔๐ ตั้งแต่พรรษาที่ ๒ มหาสติปัฏฐานสูตรนี่ พอทำกรรมฐาน ๔๐ มาจับมหาสติปัฏฐานสูตร ก็เลยเป็นของง่ายไปหมด ทำเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ คำว่าเสร็จก็คืออารมณ์จบ แต่ว่าผมไม่ได้หมายว่าผมเป็นพระอรหันต์นะครับ

ตอนนั้นเป็นเรื่องของการฝึก ฝึกจุดใดที่ในพระกรรมฐาน ๔๐ ที่ท่านว่าไว้ ว่าถึงฌานไหนเป็นสำคัญ เอา จะหาว่าอวดอุตริมนุสสธรรมก็ยอม อุตริมนุสสธรรมถ้าไม่มีในตน อวด ท่านปรับเป็นอาบัติปราชิก ถ้ามีในตน ไม่เห็นพระพุทธเจ้าปรับตรงไหน นี่ผมพูดกับท่านที่เป็นนักปฏิบัติด้วยกัน คนนอกทุ่งนอกท่าผมไม่ได้พูดด้วย

คือผมจะบอกว่ากรรมฐานทุกกอง ที่ท่านทำว่าจบจุดไหน ผมพยายามทำจบจุดนั้น และก็มหาสติปัฏฐานสูตรท่านว่าทำจบจุดไหน ผมทำจบจุดนั้น จนกระทั่งมีอารมณ์ชิน ก็ไม่เห็นว่ากรรมฐานกองไหนที่มีความสำคัญกว่ากัน ไม่ต้องไปทำตาใหญ่ตาโต เราแก้แค่อารมณ์ให้ทรงสมาธิให้เป็นปัญญาเหมือนกัน

ในเรื่องความจริงมันเป็นอย่างนี้ แต่ทว่าสำหรับท่านที่หนักใจเรื่องกสิณ ก็มาว่ากันใหม่ จะบรรเทาความโกรธ ก็ต้องใช้พรหมวิหาร ๔ ใจของท่านทรงอยู่ในพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ ความจริงคนที่มีกำลังใจทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปกตินี่ เป็นคนที่มีใจสบายมาก มันมีความสุขแบบบอกไม่ถูกหรอกคุณ นี่มันมีความสุขจริงๆ ครับ ไม่เชื่อท่านลองทำดูเถอะ

หากว่าท่านจะย้อนถามว่า แล้วก็หลวงตาที่พูดนี่ทำแล้วหรือยัง ก็อย่าลืมว่า ทำครับ พรหมวิหาร ๔ ก็อยู่ในกรรมฐาน ๔๐ คนที่ไม่มีพรหมวิหาร ๔ ประจำใจ ศีลมันก็ไม่มี สมาธิมันก็ไม่มี ปัญญามันก็ไม่มี จะว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ มีปัญญาเหมือนกัน แต่ปัญญามันเลว คือปัญญาคิดไปในด้านเลว ไม่ได้คิดดี คิดชั่ว คิดหาความทุกข์

สำหรับคนที่ทรงพรหมวิหาร ๔ นี่จิตใจจะทรงด้วยความปกติ ถ้าเราเป็นปุถุชนคนธรรมดาผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส มีพรหมวิหาร ๔ เล็กน้อย ใจก็เป็นสุข อย่างพ่อแม่ทุกคน ครูบาอาจารย์ทุกคนของศิษย์ พ่อแม่ของลูก ครูบาอาจารย์ของศิษย์ นี่ทุกท่านมีพรหมวิหาร ๔ ทั้งหมด ถ้าไม่มีพรหมวิหาร ๔ ท่านก็เลี้ยงเรามาไม่ได้ ท่านก็สอนเรามาไม่ได้

เว้นไว้แต่เราจะเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคนเท่านั้น ที่จะหาว่าครูบาอาจารย์อคติบ้าง รักลำเอียงไม่เที่ยงธรรม์บ้าง ถ้ามันจะเป็นยังงั้นล่ะก็ ต้องมองดูตัวเรา ว่าเราเลวหรือเราดี ไม่มีครูคนไหน ไม่มีอาจารย์คนไหน ไม่มีพ่อแม่คนไหน ที่จะอคติกับลูกหรือลูกศิษย์ ครูบาอาจารย์ทุกคนต้องการให้ลูกศิษย์ได้ดี เว้นไว้แต่ว่าลูกศิษย์มันจะเป็นเผ่าพันธุ์ของเทวทัตเท่านั้น ที่มีจิตมุ่งมองเห็นคนอื่นเป็นคนเลวไปหมด

ถ้าเลวอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านก็ขับ อย่างพระเทวทัต พระพุทธเจ้ามีพระมหากรุณาธิคุณ ท่านบอกว่าเรารักราหุลลูกชายของเราเท่าใด เราก็รักเทวทัตเท่ากับราหุล เห็นมั้ย แต่ทว่าเมื่อเทวทัตทำผิดก็ต้องลงโทษ นี่เป็นเรื่องธรรมดา จะปล่อยให้คนชั่วทรงตัวอยู่ได้ยังไง

ในสำนักของเรามีมั้ย คนอกตัญญูไม่รู้คุณคน มีมั้ย ถ้าจะมีหรือไม่มี คุณสังเกตดูก็ได้ คนอกตัญญูไม่รู้คุณคนน่ะ มีแต่ความเร่าร้อน หาความสุขกายสุขใจไม่ได้ มีความทะเยอทะยานผิดปกติ อยากจะทำอะไรให้มันดี อยากจะทำอะไรให้มันเด่น ให้ดีกว่าเขาเด่นกว่าเขา นั่นน่ะคนระยำ

ถ้าว่าถึงพรหมวิหาร ๔ เหมือนของง่ายๆ นิครับ ไม่ยาก ผมขึ้เกียจพูดมาก พูดให้มันยากก็พูดได้ แต่มันจะเกิดประโยชน์อะไร ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของไม่ยาก

ใจเรา เราคิดอยากให้ชาวบ้านเขารักเรา หรือว่าเราอยากให้ชาวบ้านเขาเป็นศัตรูกับเรา เราเอาใจของเราเป็นที่ตั้ง ผมว่าถ้าคนไม่บ้า นี่ผมใช้ศัพท์ธรรมดานะ ภาษาไทยแท้ๆ ไอ้แบบใช้สำบัดสำนวนนี่คนฟังยากๆ ผมไม่อยากจะพูด เพราะพ่อผมก็เป็นคนไทย แม่ผมก็เป็นคนไทย ผมก็เกิดในประเทศไทย ผมขอพูดอย่างคนไทย ผมคิดว่าคนนั้นถ้าไม่บ้าล่ะก็ ทุกคนมีความรู้สึกว่า เราต้องการเป็นที่รักของคนทั้งโลก อย่าลืมนะ ผมว่าคนไม่บ้านะ เขามีความรู้สึกอย่างนี้

และพรหมวิหาร ๔ ข้อที่ ๒ ท่านบอก กรุณา ความสงสาร ปรารถนาในการเกื้อกูลให้มีความสุข นี่คุณลองคิดดูว่า คุณมีความรู้สึกเป็นยังไง ว่าคุณต้องการให้คนในโลกนี้เขาสงเคราะห์คุณ หรือว่าต้องการให้คนในโลกนี้เขาตัดขาดจากคุณ เอ๊ะถ้าผมต้องพูดใหม่ ผมก็ต้องพูดเหมือนเก่าน่ะสิ ผมคิดว่าถ้าคุณไม่บ้า คุณก็ต้องการ ให้คนทุกคนในโลกนี้เกื้อกูลซึ่งกันและกัน แม้แต่ตัวเรา แล้วเราสำหรับเขา

ประการข้อที่ ๓ ลองนั่งนึกดูว่า ถ้าเราได้ดีแล้ว ต้องการให้พวกมาอิจฉาริษยาเรามั้ย หรือว่าให้เขาสนับสนุนความดีของเรา ตอนนี้ก็ต้องขอตอบว่า ถ้าคุณไม่บ้า คุณก็ต้องคิดว่า ถ้าเราได้ดี เราก็ต้องการให้เพื่อนเห็นความดีของเรา ว่ามีประโยชน์ และก็สนับสนุนในความดี แล้วก็อยากให้เพื่อนทำความดีตามเรา นี่หมายถึงว่าถ้าคุณไม่บ้า ถ้าคุณบ้าผมก็หมดทางแก้

ประการที่ ๔ อุเบกขา วางเฉย คืออารมณ์ที่มันเกิดขึ้นมากับกฎธรรมดา สิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ

หนึ่ง ชาติปิทุกขา ความเกิดขึ้นมาแล้วมันต้องทุกข์ เพราะการทำมาหากิน จะต้องทำกินกันเป็นปกติ เพราะการทำกินมันต้องเหนื่อย ไม่ทำกินมันไม่มีกิน

สอง ชราปิทุกขา เมื่อความเกิดขึ้นมาแล้วมันต้องแก่ ถ้าไม่แก่มันก็เป็นเด็ก คลานไม่ได้ พลิกไม่ได้น่ะสิ มันต้องแก่ เกิดนานวัน แก่นาน แก่มาก เกิดน้อยวัน แก่น้อย มันก็แก่กันทุกเวลา ทุกวินาที

มาความป่วยไข้ไม่สบาย เกิดมาแล้วมันก็ต้องป่วย ร่างกายเป็น โรคนิทธัง พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ร่างกายเป็นรังของโรค ในเมื่อร่างกายมันเป็นรังของโรค มันก็ต้องป่วย ปภังคุณัง ท่านบอกว่า ร่างกายของเราจะต้องเปื่อยเน่าเป็นธรรมดา มรณังปิทุกขัง เกิดมาแล้วมันก็ต้องตาย

นี้ต่อมาเราก็มานั่งนึก ว่าอารมณ์ของโลก คนที่เกิดมาในโลก นอกจากเกิดแก่เจ็บตายแล้ว มันยังมีอะไรอีก ก็มีอารมณ์ที่ขัดคอขัดใจ ที่คนเขาทำไม่ถูกใจเรา วัตถุธาตุที่เป็นของใช้สอย เครื่องอุปโภคบริโภคที่ไม่ถูกใจเรา มันแก่คร่ำคร่า บ้านใกล้จะพังเพราะมันเก่า เสื้อกางเกงมันจะขาดเพราะมันเก่า สตางค์ที่มีไว้มันใกล้จะหมดเพราะเราใช้มันไปมาก อันนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก

แล้วคนถ้ามีลาภ ลาภเกิดขึ้น ลาภมันก็เสื่อม หมด มันหมดไปเพราะใช้มัน เขาตั้งให้เรามียศได้เขาก็ถอดได้ คนเขานินทาเราได้เขาก็สรรเสริญได้ เรามีสุขของโลกีย์วิสัย มันก็มีทุกข์ได้

อาการทั้งหลายแหล่ที่พูดมาแล้วนี้ทั้งหมด ถ้ามันเกิดขึ้นกับใจ ขอพูดใหม่ดีมั้ย ว่าคุณไม่บ้า คุณจะไม่หนักใจมันเลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นของธรรมดา ถ้าเราเกิดมาในโลกแล้ว เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนที่ต้องการฝืนไม่ให้อาการอย่างนี้ปรากฎ ก็คือคนบ้า ฝืนยังไงมันก็ฝืนไม่ได้

ความจริงนี่คุณจะคิดว่า เอ ผมก็คงจะบ้ามากนะ ขึ้นท้ายก็บ้า ลงท้ายก็บ้า ถ้าคุณพูดอย่างนี้ผมยอมรับคุณ ว่าผมนี่เป็นคนบ้ามาแล้ว สองแบบ คือเมื่อตอนหนุ่มๆ ผมยังไม่บวชคือว่าบวชใหม่ๆ ตั้งแต่วันเกิดก็แล้วกัน

ตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันบวช บวชแล้วยังไม่แก่นัก ตอนนั้นผมก็บ้า ผมบ้าเกาะ ผมเกาะดะ ผมเกาะพ่อ เกาะแม่ เกาะพี่ เกาะน้อง เกาะญาติผู้ใหญ่ เกาะทรัพย์สิน ดีไม่ดีย่องเข้าไปเกาะลูกสาวชาวบ้านเขาเข้าให้ ไม่ใช่ย่องหรอก บางทีวิ่งไปเลย เห็นเขาแต่งตัวชอบใจ ทรวดทรงดี วิ่งตามส่ง มันย่องๆ ค่อยยังชั่วหน่อย อันนี้ไม่ย่อง ย่องไปทำไม ย่องจะไปเกาะเขาน่ะสิ ดีไม่ดีพอทันกันเข้า ก็หันมาตบหน้าเข้า ด่าเข้ามั่ง สบาย กลับบ้านสบาย ชื่นใจนิดนึง

นั่นเพราะผมบ้า ตอนนั้นบ้าอย่างมาก พวกคุณที่ว่าบ้าน่ะนี่ ไม่ทันผมหรอก ไม่ใช่จะเอาแก่มาอวด ผมรู้พวกคุณนี่ บ้าๆ บอๆ บ้ารัก บ้าโลภ บ้าโกรธ บ้าหลง บ้าไม่ทันผมหรอก

ไอ้ผมนี่มันบ้ารัก รักนี่บ้ามาก ถ้าโลภไม่ค่อยบ้าแฮะ เพราะชอบแจกเพื่อน ขโมยปลาหมึกแจกเพื่อนมาตั้งแต่เด็ก มีอะไรกินนิดกินหน่อย กินคนเดียวไม่ได้ จนกระทั่งญาติผู้ใหญ่บางคนท่านตำหนิว่าไอ้นี่กินคนเดียวไม่ได้ ต้องเผื่อหมาอยู่เรื่อย

แต่คุณพ่อคุณแม่ท่านไม่ดุ บอกว่าช่างมัน สิทธิของมันมีเท่านั้น มันจะไปแบ่งกับใครก็ช่าง ของกินมีท่านแบ่งเป็นส่วน เอ้า ขนมเอาไปคนละถ้วย ถ้วยเท่ากันหมด เล็กโตกินเท่ากัน คำว่าเท่ากันนี่หมายถึงว่าต้องพออิ่ม แต่ส่วนใหญ่ท่านจะทำให้เกินไว้เสมอ

ผมมีผมก็ไปแจกเพื่อนในสิทธิ ในส่วนที่เป็นของผม ญาติผู้ใหญ่บางคนท่านว่าเอา ท่านว่าไอ้นี่กินต้องเผื่อชาวบ้าน ตัวเองก็ไม่ทันจะอิ่ม คุณแม่ท่านบอกช่างมันๆ ของของมัน มันมีสิทธิเท่านั้น มันมาเอาอีกไม่ได้ จะแบ่งกับใครก็ช่าง มันจะไม่กินเลย ให้เพื่อนกินทั้งหมดก็ช่าง นี่ว่าเรื่องความโลภนี่ผมบ้าน้อยไปนิดนึง เรื่องความรักนี่บ้ามาก

มาถึงด้านความโกรธ ว้า บ้าพอกับความรัก นี่ผมเกาะมันมานะ บ้าพอกับความรัก ผมบ้าจริงๆ ความโกรธนี่ผมบ้าเต็มขั้นเลยคุณ ถ้าใครทำให้ผมโกรธโดยไร้เหตุไร้ผล โดยที่ผมไม่มีความผิด ผมจะต้องหาทางตอบสนองให้ได้ ที่เรียกกันว่าพยาบาท ถ้าทำไม่ได้ผมจะยอมตายเสียดีกว่า

นี่ความโกรธผมเต็มขั้นเลยคุณ เต็มจริงๆ ผมว่าไอ้บ้าตัวนี้พวกคุณมันบ้าน้อยกว่าผมนะ ผมยิงคนกลางคืนไม่ได้ ผมต้องยิงกลางวัน ยิงลับหลังไม่ได้ ผมต้องยิงต่อหน้า ยิงนอกบ้านไม่ได้ ผมต้องขึ้นไปยิงบนบ้าน นี่ คุณอย่ามาเลียนตามผมนา นี่ผมเอาเลวอวดคุณ ว่าผมน่ะมันบ้ามาพอ

และก็ไอ้บ้าโมหะ ความหลง ก็ไม่ต้องพูดล่ะ ถ้ามันรักได้ มันโกรธได้ มันก็มีโมหะ มันก็หลง นี่บ้า ถ้าใครว่าผมบ้า ผมรับ

ผมเจ้าชู้มาพอ เจ้าชู้จนเบื่อ เวลานี้นึกถึงภาพนั้นขึ้นมาเมื่อไหร่ มันอยากจะอาเจียน เห็นคนแต่งตัวสวยๆ ผิดปกติแล้วใจสะอึกมาทันที มันชักจะติดคอ มันจะอาเจียน เพราะอะไร? มันร่างกายของคนทุกคน ที่เรานึกว่ามันดี ปัดโธ่เอ๊ย สกปรกบอกไม่ถูกเลยคุณ เหม็นห่งเหม็นห่าง…ไม่ได้ความ ไอ้เวลาตอนใหม่ๆ พูดกับแก แกพูดอ่อนหวาน หนักๆ เข้าเจอคำสำรากเข้าให้แล้ว ผมเปิด เพราะผมต้องการของดี นี่มันไม่ดีผมก็เปิดน่ะสิ

ไอ้ที่ไปทำร้ายคน เพราะเขาโกงผมก่อน ผมไม่กินเหล้าเมายา ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเบียร์ อะไรผมก็ไม่กิน คุณแม่ให้ภาวนาว่า พุทโธ เป็นปกติ ผมก็ทำ ถึงวันพระท่านรักษาศีลอุโบสถ ผมก็รักษา แต่ทว่าอย่าโกงผมก่อนนะ ผมไม่โกงใคร แต่ใครอย่าโกงผมก่อน ถ้าโกงแล้วในตอนก่อนผมจะนิ่งเฉย ทำเหมือนกลัวเขา แต่ถ้าถึงที่สุดเมื่อไหร่ คนนั้นต้องจมดินเมื่อนั้น นี่ ผมบ้าเต็มที่นะ มาบ้าตอนนี้ บ้าไปบ้ามา มันบ้าเต็มภาคภูมิ

ในที่สุด มาบวชแล้วเจอหลวงพ่อปานท่านสอน ก็เลยบ้าใหม่ ทีนี้มาบ้าละความรัก บ้าละความโลภ บ้าละความโกรธ บ้าละความหลง จนกระทั่งเดี๋ยวนี้มันก็ละยังไม่หมด แหม มันละกันมาหลายสิบปีแล้ว ๔๐ ปีกว่านี่ยังไม่หมดเลยคุณ มันจะหมดได้ยังไงในเมื่อขันธ์ ๕ ยังมีอยู่

โห ละยังไงล่ะคุณ เห็นมั้ยล่ะวัดวาอารามไม่กี่ปี ล่อซะหรูหราไปหมด พอตั้งกองทุนเข้าหน่อยจะแจกของเป็นสาธารณประโยชน์ โห ข้าวของเครื่องมือเครื่องใช้เต็มวัดเต็มวา ยังงี้เขาเรียกว่าบ้าหรือดี นี่มันจะหมดได้ยังไง ในเมื่อมันมีขันธ์ ๕

ถ้าเมื่อขันธ์ ๕ หมดเมื่อไหร่ ผมอาจจะหมดก็ได้ ไม่หมดก็ได้ ตายแล้วผมอยากไปนรกผมก็ไปนรก อยากไปสวรรค์ผมก็ไปสวรรค์ อยากไปพรหมผมก็ไปพรหม อยากไปนิพพานผมก็ไปนิพพาน สุดแล้วแต่มันอยากตอนนั้น มันอยากไปทางไหนก็ไปทางนั้น

นี่พูดวันนี้เลยไม่ต้องรู้เรื่องกัน นี้มาถึงเรื่องตัดความโกรธ วันนี้ โกรธ โกรธแล้วก็ทรงพรหมวิหาร ๔ ที่ผมพูดมานี้น่ะพูดให้เข้าใจ ว่าอารมณ์ใจของคนมันบ้ามาแล้วเหมือนกัน

ตอนนี้มาพูดถึง ตัดความโกรธ มันง่ายๆ นิดเดียวล่ะคุณ ถือคาถาไว้ตัวหนึ่ง ช่างมัน ช่างมัน ช่างมัน มันด่าก็่ช่างมัน มันว่าก็ช่างมัน มันชมก็ช่างมัน มันสรรเสริญก็ช่างมัน เขาเอาอะไรมาให้ก็ช่าง เขาไม่เอาอะไรมาให้ก็ช่าง ไอ้คำว่า “ช่าง” ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าอกตัญญู คือว่าถือว่าเขาให้ก็ดี ไม่ให้ก็ดี หมดเรื่อง ไม่ใช่โกรธ ที่บอกว่าช่างมัน แล้วดันไปโกรธเขา ไม่ถูก

เป็นอันว่า อันดับแรกเราก็ทรงพรหมวิหาร ๔ ลืมตาขึ้นมากว่าจะหลับ จิตคิดไว้เสมอว่า เราจะเป็นมิตรที่ดีสำหรับคนทั้งโลก เห็นมั้ย ไม่คิดเป็นศัตรูของใครทั้งหมด เห็นหน้าใครก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เขาแยกเขี้ยวเข้าใส่ เราก็นึกว่าเราไม่ใช่หมาไม่มีเขี้ยว ช่าง เห็นหน้าคนก็ยกมือไหว้ รักหมด แต่ไม่รักด้วยกิเลสนะ รักด้วยความปรานี

ข้อที่สอง กรุณา สงสาร คิดว่า เออ เราเกิดมาในโลก อย่าทำตนให้เป็นคนรกโลกไร้ประโยขน์เลย เกิดมาแล้วก็ทำความดีมันเสียบ้าง นั่นก็คือหาทางเกื้อกูลแก่บุคคลที่ควรจะให้ ให้ดูคนหน่อยนะ พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างนั้น อันดับแรกสำหรับคนชั้นต่ำ ใจยังต่ำที่เป็นปุถุชน เลือกคนเฉพาะคนที่ควรให้

ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงให้ดะ ท่านเลือกคนให้ ท่านคิดว่าสิ่งที่ท่านให้เขารับไปแล้ว จะมีประโยชน์มั๊ย ถ้ามีประโยชน์กับเขาท่านให้ ถ้าให้แล้วไม่มีประโยชน์ไม่ควรให้

อย่างหนังสือผมเป็นหลวงพ่อปาน เมื่อก่อนนี้ผมแจกเขาเหมือนกัน ของแจกไปเป็นวัตถุเสียเยอะ ไปวางทิ้งกัน เราทำเกือบตาย หนังสือของหลวงพ่อปานผมเคยแจกคนใกล้วัด ๒๐๐ เล่มเศษ ผมจำได้ แจกฟรี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นต้นมาหรือ ๑๖ จำไม่ได้นะ

จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ผมเคยไปถาม บางคนบอกยังไม่ได้อ่านเลย บางคนบอกอ่านไป ๒-๓ หน้า ไม่มีเวลาอ่าน เห็นมั้ย ว่าคนที่ไม่ควรจะให้เนี่ย แต่ขืนให้ไป สภาพมันเป็นอย่างนี้ เราต้องลงทุนลงแรง ต้องใช้ปัญญา ต้องใช้เงินใช้ทอง กว่าของมันจะเกิดขึ้นมาได้ แต่ให้ไปแล้ว เขากลับไปทิ้งให้มันไร้ประโยชน์

หนังสือเล่มนี้ มีครั้งหนึ่งขึ้นราคาถึงร้อยบาทในเวลาที่ขาดไม่มีจำหน่าย ในที่สุดก็ต้องรีบทำขึ้น มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง ผมลืมชื่อเสียแล้ว แต่จดหมายเขาเพราะ แกจดหมายมาบอกว่าต้องรีบพิมพ์ ไม่งั้นจะแย่ เวลานี้ เขาขึ้นราคาเล่มละ ๑๐๐ บาทแล้ว เราขายยี่สิบสามสิบบาท เจ๊กมานั่งด่าว่าห้าสิบบาทยังไม่แพง ทำไมขายถูก หาว่าตัดราคาเขา เราก็บอกว่าเราต้องการแต่ทุนเท่านั้น ให้มันหมุนเวียนได้ ไม่ต้องการไปสร้างตึก

อันนี้ต่อไป เรามีความสงสาร เกื้อกูล นี้เราคิดหรือเปล่าว่าไอ้การสงสารทำยังไง เราเป็นคนไม่รกโลก อะไรที่เราจะช่วยเขาได้ เราคิดไว้ พอลืมตาขึ้นมายันหลับ คิดไว้เลยว่าอะไรที่ช่วยได้เราจะช่วยทุกอย่าง ถ้าไม่เกินวิสัยของเรา อย่าให้อารมณ์ความรัก ความสงสารมันขาดจากจิต

แล้วก็ มุทิตา จิตอ่อนโยน มองความดีของคนอื่น อย่ามองความชั่ว แต่ตัวเองมองความชั่วของตัว คนอื่นน่ะมองความดี ว่าคนนี้เขาดียังไง เขาจึงมีความสุข คนนี้เขาทำยังไง เขาจึงร่ำรวย คนนี้เขาทำยังไง จึงเป็นที่รักของคนทั้งหลาย คนนี้เขาทำยังไง ร่างกายถึงไม่มีโรค อะไรก็ตาม เห็นเขาดีตรงไหนตามดีด้วย ยินดีกับความดี ทำตามไปเลย ตั้งอกตั้งใจทำความดีตามเขา แต่เขาโกงรวย อย่าไปโกงตามเขานะ นั่นมันชั่ว

นี้อารมณ์ความวางเฉย เฉยยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ตามที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น อุเบกขาน่ะ วางเฉย เอ้า ใครเขาอยากจะด่าก็เฉย เขาจะชมก็เฉย ยิ้มๆ ด่าก็ยิ้ม ชมก็ยิ้ม ยิ้มเป็นเครื่องปลอบใจ แก่ก็ยิ้ม ป่วยก็ยิ้ม ของรักของชอบใจพลัดไป ก็ยิ้ม ความตายจะมาถึงก็ยิ้ม ยิ้มเพราะอะไร เพราะเรามีอุเบกขา วางเฉย รู้อยู่ว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น

รวมความว่า เราจะตัดความโกรธ ก็ต้องอาศัยพรหมวิหาร ๔ ประการ ถ้าอารมณ์พรหมวิหาร ๔ ประการมันประจำอยู่ในใจเป็นปกติ แล้วความโกรธมันจะโผล่มาตรงไหนล่ะ มันจะยื่นหน้าเข้ามาในช่องไหน

คิดแล้วคิดไปด้วยว่า โกรธก็ตาย ไม่โกรธก็ตาย เราตายอย่างคนไม่โกรธดีกว่า ใจเรามีความสุข ถ้าเราไปตายอย่างคนที่มีความโกรธ เราก็พังน่ะสิ พังเพราะอะไร เพราะไอ้ความโกรธมันเป็นของไม่ดี ถ้าเราโกรธขึ้นมามันก็ไม่ดี เพราะโกรธไม่ดีนี่ เราเป็นคน ก็เป็นคนไม่ดี ถ้าเราจะตายเป็นผี ก็กลายเป็นผีไม่ดี เราไม่เอา เป็นคนดีตามคติของพระพุทธเจ้าดีกว่า แต่จงอย่าเป็นคนดีตามคติของคนเลว

ท่านทั้งหลายทรงอารมณ์ใจไว้ได้อย่างนี้เป็นปกติ ชื่อว่า มีฌานในพรหมวิหาร ๔ แต่ก็ต้องมี พื้นฐานอานาปานุสสติเป็นพื้นไว้ อย่าปล่อยใจให้มันลอย เห็นใจมันเฟื่องก็จับ อานาปานุสสติ กับ พุทธานุสสติ ควบคุมใจ วิธีการระงับความโกรธเท่านี้ล่ะคุณ พอ เหลือแหล่ ทำได้น่ะเหลือ เหลือกินเหลือใช้

เอาล่ะท่านทั้งหลาย มองดูเวลาที่จะแนะนำท่านก็หมดเสียแล้วนี่ ต่อแต่นี้ไปขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าเวลานั้นท่านจะเห็นสมควรว่าเลิก สวัสดี

— จบ ตอนที่ ๑๓ พระสกิทาคามีมรรค-โทสะ ๒ —

 

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน
ในระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑ มีทั้งหมด ๑๘ ตอน

ตอนที่ ๑ อานาปานุสสติกรรมฐาน
ตอนที่ ๒ ขณิกสมาธิ
ตอนที่ ๓ อุปจารสมาธิ
ตอนที่ ๔ อารมณ์ของฌาน
ตอนที่ ๕ วิปัสสนาญาณ
ตอนที่ ๖ อารมณ์พระโสดาบัน (๑)
ตอนที่ ๗ อารมณ์พระโสดาบัน (๒)
ตอนที่ ๘ พระสกิทาคามีมรรค
ตอนที่ ๙ พระสกิทาคามีมรรค-ราคะ ๑
ตอนที่ ๑๐ พระสกิทาคามีมรรค-ราคะ ๒
ตอนที่ ๑๑ พระสกิทาคามีมรรค-ราคะ ๓
ตอนที่ ๑๒ พระสกิทาคามีมรรค-โทสะ ๑
ตอนที่ ๑๓ พระสกิทาคามีมรรค-โทสะ ๒
(รออ่านต่อ)
ตอนที่ ๑๔ พระสกิทาคามีมรรค-โมหะ
ตอนที่ ๑๕ พระอนาคามีมรรค ๑
ตอนที่ ๑๖ พระอนาคามีมรรค ๒
ตอนที่ ๑๗ พระอรหัตตมรรค
ตอนที่ ๑๘ พระอรหัตตผล (ตอนจบ)

 

ฟังเสียงธรรม-หลวงพ่อฤาษีฯ สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน ๑๘ ตอน

เรื่องนี้ถูกเขียนใน หลวงพ่อสอนอานาปานสติ และติดป้ายกำกับ คั่นหน้า ลิงก์ถาวร