หลวงพ่อฤาษี ถูกลองดี ต่อหน้าหลวงพ่อปาน

หลวงพ่อฤาษี ถูกลองดี ต่อหน้าหลวงพ่อปาน

      หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านไปเที่ยวสวรรค์-นรกเป็นปกติ ท่านชอบปฏิปทาของพระโมคคัลลาน์และพระมาลัย พบเทวดาองค์ไหน ท่านก็จะสอบถามประวัติความเป็นมาของเขา เลยเป็นเหตุให้ท่านถูกลองดีต่อหน้าหลวงพ่อปาน

 

ทีนี้ก็มาคุยถึงปฏิปทาที่อยู่ที่วัด หลวงพ่อปานท่านก็คุยแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทฟังว่า
“พระ ๓ องค์นี่เขาเก่ง เขาฝึกธุดงค์เข้าไปอยู่ในป่า กินข้าวกับเทวดา กับนางฟ้า เขาสามารถทำได้”

แล้วความจริงก็เปิดเผยขึ้นมา เพราะว่าเวลาที่อาตมาไปบิณฑบาต ตั้งแต่เริ่มห่มผ้า ก็ว่า อิติปิโส ภควาฯ เรื่อย และเวลาบิณฑบาตก็ว่าเรื่อยไป จนกว่าจะกลับ ทำอย่างนี้เป็นปกติ

หลวงพ่อปาน ท่านก็คุยกับบรรดาชาวบ้านให้เขาฟัง บอกว่า
“พระ ๓ องค์นี่เขาไปบิณฑบาตมา แต่เขาไม่กินหรอก เขาถวายพระหมด ก็เป็นสังฆทานไป แต่เขาเอง เขาก็อยู่ในที่ของเขาในป่าช้า เขาก็บิณฑบาตของเขากินตอนเพล เขาทำอย่างนี้เป็นปกติ ก็ถือว่าเขาตั้งใจจริง”

แล้วท่านก็คุยต่อไปว่า
“๓ องค์นี่ เขาคุยกับเทวดา คุยกับนางฟ้า คุยกับพรหมเป็นปกติ”

ญาติโยมที่ได้ฟัง ก็ต่างคนต่างมอง ต่างคนต่างสนใจ เป็นกรณีพิเศษ

อาตมาบางเวลาก็คุยกัน ๓ องค์ บางเวลาก็แยกกันคุยกับเทวดาบ้าง พรหมบ้าง นางฟ้าบ้าง ภุมเทวดาที่เป็นท่านเจ้าที่บ้าง ท่านท้าวมหาราชบ้าง ใครต่อใครตามเรื่องตามราว บางคราวเราก็ย่องไปเที่ยวนรกบ้าง ย่องไปเที่ยวสวรรค์บ้างตามความพอใจ เพราะว่าชอบใจในปฏิปทาของท่านพระโมคคัลลาน์ และพระมาลัย

ทีนี้การย่องไปเที่ยวนรก-สวรรค์ มันก็ไม่พ้นสายตาของหลวงพ่อปาน พอตอนเช้าที่มานมัสการท่าน ท่านมักจะถามว่า
“เมื่อคืนนี้ไปที่นั่นมาใช่ไหม? ไปที่นี่มาใช่ไหม?”

เป็นอันว่าหลวงพ่อปาน ท่านรู้ทุกขณะ ก็ถามท่านว่า
“หลวงพ่อทราบได้อย่างไร? ครับ”

ท่านก็บอกว่า
“ฉั้นไม่ได้สนใจเธอ ฉันก็สนใจในเรื่องของฉัน แต่ว่าเทวดาเขาบอก”

คือว่า ท่านเจ้าที่ เทวดาที่อารักขาวัด มีทั้งภุมเทวดา มีทั้งอากาศเทวดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทวดาชั้นจาตุมหาราชมีมาก เทวดาชั้นสูงก็มีเยอะ เขาก็รายงานให้ท่านทราบว่า ๓ องค์ไปพบคนนั้นบ้าง ไปพบคนนี้บ้าง

ทีนี้การไปพบของพวกเรา บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่พบเฉยๆ ชอบถามประวัติความเป็นมาของเขา และเรื่องนี้เป็นเหตุอีกอันหนึ่ง ที่หลวงพ่อปาน ท่านก็ชอบคุยกับแขกที่มารักษาโรคบ้าง แขกที่มาคุยกับท่านบ้าง ท่านบอกว่า
“๓ องค์นี่ เขาชอบปฏิบัติตามแบบปฏิปทาของ พระโมคคัลลาน์ กับ พระมาลัย ชอบถามโน่น ถามนี่”

ทีนี้บรรดาญาติโยมทั้งหลายก็อยากจะถามบ้างว่า พ่อฉันตายแล้วไปไหน แม่ฉันตายแล้วไปไหน แต่เมื่อเขาถามอย่างนี้ก็ไม่ตอบ หลวงพ่อปาน ท่านก็บอกว่า
“ถ้ารู้ก็ตอบเขาเถอะ”

ก็เลยบอกว่า
“ผมยังดีไม่พอ ผมยังมีความเลวอยู่มาก ผมยังตอบเวลานี้ไม่ได้ ถ้าจะให้ตอบ ผิดหรือถูกไม่รับทราบ ไม่ยืนยัน แต่ก็ขอบรรดาญาติโยมทุกท่านที่ต้องการรู้ ไปจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยก่อน และเขียนคำถามมาได้อย่างมากคนละไม่เกิน ๓ ข้อ แล้วมารับได้ในวันรุ่งขึ้น หรือวันต่อไป”

หลวงพ่อปาน บอก “เออ.. ก็ดี”

เป็นอันว่าเมื่อเขาเขียนมา เราก็ต้องถามว่า รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ผิวพรรณเป็นอย่างไร ต้องซักกันก่อน แต่ความจริงถ้าจะบอกเวลานั้นก็บอกได้ แต่มันก็ไม่แน่นอนนัก เพราะจับได้ว่าบางคนนี่ยังไม่ตาย ก็ย่องมาถามว่า เวลานี้เขาตายแล้วไปไหน ตอนนี้นิวรณ์มันก็เกิด บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่มันยังเลวอยู่นะ

ก็มีอยู่คนหนึ่งเขาถามว่า
“ญาติของผมที่ตายแล้ว รูปร่างเป็นอย่างนี้ ชื่อนี้ เวลานี้อยู่ที่ไหน?”

อาตมาก็มองหน้าหลวงพ่อปาน หลวงพ่อท่านก็ยิ้ม ในเมื่อท่านยิ้มแสดงว่าท่านไม่ขัดคอ ก็เลยบอกว่า
“โยม ถ้าโยมมีนิสัยโกหกแบบนี้ อย่าพูดกับอาตมาต่อไปนะ เพราะอาตมานี่เพิ่งบวช น้อยพรรษา กิเลสในความเป็นฆราวาสยังมีมาก ในสมัยเมื่อเป็นฆราวาสนั้น ถ้าไม่ชอบใจใครมักจะเตะทันที แต่เวลานี้เกรงใจผ้าเหลืองนะโยมนะ ถ้าไม่เกรงใจ ประเดี๋ยวเตะแล้ว”

หลวงพ่อปานท่านก็หัวเราะกั้กๆ แล้วบอกว่า
“เออ..ไอ้ลิงดำมันพูดตรงไปตรงมาดี หลวงพ่อชอบ”

ท่านก็เลยไปสวดอีตาคนนั้นว่า
“ทำไมต้องมาลองพระแบบนี้ ไอ้แกนี่เลวขนาดนี้เชียวหรือ นี่ต่อหน้าคนประมาณ ๒ – ๓๐๐ คน แกยังโกหกพระ ไอ้คนที่แกถาม มันยังเลี้ยงควายอยู่ เวลานี้ที่แกถามนี่ มันเลี้ยงควายอยู่ มันตายที่ไหน”

เล่นเอาตานั่นแกกราบ แกก็จำใจกราบขอขมาโทษ ก็บอกว่า
“โยม การกราบของโยมนี่ไม่ใช่ศรัทธาแท้นะ มันเป็นการจำใจกราบ อาตมาไม่รับหรอก ไอ้กราบเลวๆ แบบนี้”

เห็นไหมญาติโยมพุทธบริษัท ความเลวของอาตมายังมีอยู่มาก มันมีอารมณ์ไม่พอใจ ในที่สุดก็ต้องหันไปจับภาพพระพุทธเจ้า เมื่อจับภาพพระพุทธเจ้า ท่านมีสภาพแจ่มใสดี จิตใจก็ชุ่มชื่น เห็นท่านยิ้มก็ชุ่มชื่น

ก็เลยคัดเอารายชื่อที่เขาเขียนถามมาแบบตรงไปตรงมา แล้วแบ่งกัน ๓ องค์

เมื่อถึงเวลากลางคืน เวลาที่เจริญพระกรรมฐาน เราก็ทำตามเรื่องตามราวของเราให้มันเสร็จ ไม่ไปห่วงงานของเขา เขาจะให้มาขนาดไหน นี่มันเรื่องของเขา เราจะรู้หรือไม่รู้ พบหรือไม่พบ ไม่มีความจำเป็น เพราะไม่ได้บวชมาเป็นทาสคนประเภทนี้

แต่ว่าพอวาระจะเลิกจริงๆ ก็ลองคิดดูว่า คนนี้เวลานี้อยู่ที่ไหน ก็ปรากฏว่าภาพคนนั้นปรากฏขึ้นมาข้างหน้า ก็ถามความเป็นมาของเขาว่า เมื่อสมัยมีชีวิตอยู่ มีจุดอ่อนตรงไหนบ้างที่ลูกหลานมีความเบื่อ หรือว่าเวลาเมื่อป่วย ก่อนจะตายมีอาการอย่างไร ที่ลูกหลานเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จำได้ชัดๆ

เมื่อเขาบอกแล้ว ก็ถามว่า เวลานี้อยู่ที่ไหน เขาก็บอกที่อยู่ของเขา ถ้าหากว่าเขาอยู่ในนรก เขาจะบอกว่า เขาทำกรรมประเภทนั้น ประเภทนี้ ที่ลูกหลานเห็นชัด และกรรมประเภทนี้ทำให้เขาลงนรกขุมนั้น ขุมนี้ แล้วก็ดูนรก เขามีทุกขเวทนาขนาดไหน

ถ้าเขาเป็นเทวดา เขาเป็นนางฟ้า เขาจะบอกว่า ก่อนจะตาย เขานึกถึงบุญอย่างนี้ บุญประเภทนี้ บางคนลูกหลานรู้ บางคนลูกหลานไม่รู้ เขาก็เลยบอกว่า บุญที่ลูกหลานรู้เป็นอย่างนี้ เขาเคยทำอย่างนี้

แต่ว่าเวลาจะตายจริงๆ ส่วนใหญ่คนที่ไปสวรรค์ มักจะใช้คำภาวนาว่า “พุทโธ” บางรายปากก็ขยับไม่ได้ แต่ใจยังนึก “พุทโธ” อยู่ แล้วเขาก็ตายไป เขาก็ไปสวรรค์กัน

เมื่อทราบเหตุผลดีแล้ว ก็จดบันทึก ตามที่เขาบอกมา ตอนเช้าก่อนจะไปบอกกับบรรดาเจ้าของปัญหาที่ถาม อาตมาก็ต้องไปอ่านรายงานให้หลวงพ่อปานทราบก่อน แล้วก็ถามท่านว่า
“แบบนี้ถูกต้องไหมครับ”

บางรายหลวงพ่อปานท่านก็ตอบว่า “ถูกต้องแล้ว”
บางรายท่านก็บอกว่า “เดี๋ยวก่อน เรียกเขามาก่อน”

ท่านเรียกเขามาแล้ว ท่านก็สอบถาม ตามความเป็นจริง แล้วท่านก็ยืนยันว่า
“ถูกต้อง ให้เขาได้”

อาการอย่างนี้ก็ทำเฉพาะกิจ ไม่มากมายนัก มีบางรายที่เขาเชื่อ เขาก็ถาม ที่เขาไม่เชื่อ เขาก็ไม่ถาม แต่ถ้าไปถามหลวงพ่อปานเข้า ท่านก็บอกว่า ไม่มีเวลาจะบอก แต่เวลาที่อาตมา หรืออีก ๒ องค์เขียนไปให้เขา ท่านบอก ท่านยืนยันว่าตรงตามความเป็นจริง…

เรื่องนี้ถูกเขียนใน ปกิณกะธรรม และติดป้ายกำกับ , , คั่นหน้า ลิงก์ถาวร