หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง) ท่านกล่าวไว้ในหนังสือ ตายแล้วไปไหน ตายแล้วไม่สูญ ถึงทาง ๕ สาย คือ อบายภูมิ มนุษย์ สวรรค์ พรหม และพระนิพพาน ที่ทุกคนต้องไป เมื่อตายจากโลกนี้ ขึ้นกับกฏของกรรม หรือความประพฤติดีหรือชั่วในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) ท่านกล่าวไว้ในหนังสือ ตายแล้วไปไหน ตายแล้วไม่สูญ ถึงทาง ๕ สาย ที่ทุกคนต้องไป เมื่อตายจากโลกนี้ (สรุปย่อจากหนังสือ)
๑.อบายภูมิ ได้แก่ เกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน
๒.เกิดเป็นมนุษย์
๓.เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์
๔.เกิดเป็นพรหม
๕.ไปพระนิพพานท่านที่ตายแล้ว จะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าทรงตรัสบอกเหตุที่จะไปเกิดไว้ครบถ้วน ตามกฏของกรรม คือ การกระทำ ได้แก่ ความประพฤติดีหรือชั่ว ในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี่เอง
กฏของกรรมหรือการทำดีหรือชั่ว ที่จะพาไปเกิดในที่ใดที่หนึ่งในทาง ๕ สาย ดังนี้
แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรก เป็นต้น
เป็นผลจากการประพฤติชั่วจากการละเมิดศีล ๕ คือ
๑. ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
๒. ลักขโมยของบุคคลอื่น
๓. ละเมิดบุตร, ภรรยา, สามี และคนในปกครองของคนอื่น
๔. พูดโกหกทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
๕. ดื่มสุราเมรัยแดนเกิดสายที่สอง คือ เกิดเป็นมนุษย์
คนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องเป็นคนมีศีล ๕ กรรมบท ๑๐แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่ สวรรค์
คนที่ตายแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดา-นางฟ้าได้ ต้องเป็นคนที่มี หิริ-โอตัปปะ คือ ละอายต่อความชั่ว ไม่ทำความชั่วในที่ทุกสถาน และเกรงกลัวต่อผลของความชั่วจะทำให้เกิดความเดือดร้อน ทำความดีทุกอย่าง บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนาแดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่ พรหมโลก
คนที่ตายแล้วไปเกิดในพรหมโลกได้ ท่านว่าต้องเป็นนักเจริญกรรมฐานและมีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย เป็นอารมณ์จิตที่ทรงฌานที่เรียกว่าเข้าฌานตายแดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่ พระนิพพาน
คนที่ตายแล้วไปพระนิพพานได้ ต้องตัดสังโยชน์ ๑๐สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมอยู่ในวัฏฏะสงสาร ๑๐ อย่างคือ
๑.สักกายทิฏฐิ
มีความเห็นว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ เป็นเรา เป็นของเรา
เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเรา๒.วิจิกิจฉา
สงสัยผลของการปฏิบัติ
สงสัยในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
และไม่เคารพในพระรัตนตรัยด้วยความจริงใจ๓.สีลัพพตปรามาส
ถือศีลไม่จริงไม่จัง สักแต่ว่าถือตามๆ เขาไป
รักษาศีลได้ไม่บริสุทธิ์๔.กามราคะ
มีความกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ คือ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย และยินดีในการถูกต้องสัมผัสกับเพศตรงข้าม๕.ปฏิฆะ
มีความไม่พอใจกับอารมณ์ที่มากระทบ อันนี้เป็นโทสะแบบเบาๆ๖.รูปราคะ
พอใจในรูปธรรม คือความพอใจในวัตถุ หรือรูปฌาณ๗.อรูปราคะ
พอใจในอรูป คือเรื่องราวที่กล่าวถึง หรืออรูปฌาณ๘.อุทธัจจะ
มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน คิดนอกลู่นอกทาง๙.มานะ
ความถือตัวถือตน โดยมีความรู้สึกว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา๑๐.อวิชชา
ความโง่ คือ หลงพอใจในกามคุณ ๕ และกำหนัดยินดีในกามคุณสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อนี้ ถ้าท่านปฏิบัติพระกรรมฐานแล้ว พิจารณาจนจิตละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ อย่าง โดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านผู้นั้นเป็นผู้บรรลุอรหัตตผล เมื่อตายแล้วก็เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน เป็นแดนเอกันตบรมสุข ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารอีกต่อไป
ท่านจะเลือกว่าท่านจะไปทางสายใด ท่านก็ต้องสร้างเหตุด้วยการประพฤติปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ท่านต้องการความสุข
ท่านก็ต้องบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนาถ้าต้องการความทุกข์
ท่านก็ทำแต่ความชั่ว ทานไม่ต้องทำ ศีลไม่ต้องรักษา
ท่านจะพบแต่ความทุกข์แน่นอนแล้วท่านจะเลือกทางสายไหน ???