เรื่องราวของพระปัจเจกพุทธเจ้า

เรื่องราวของพระปัจเจกพุทธเจ้า
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อครับ พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านต้องบำเพ็ญบารมีนานไหมครับ จึงจะตรัสรู้ได้…?”

หลวงพ่อ :- “พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านบำเพ็ญบารมีเท่ากับพระอัครสาวก คือ ๒ อสงไขยกับแสนกัป”

ผู้ถาม :- “ท่านตรัสรู้เองใช่ไหมครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ใช่ ลงคำว่า พุทธเจ้า ต้องตรัสรู้เอง คือไม่ต้องรับคำสอนจากคนอื่น”

ผู้ถาม :- “มีเฉพาะตอนที่มีพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ…?”

หลวงพ่อ :- “เจ๊ง…พระปัจเจกพุทธเจ้าจะมีขึ้น ก็ต่อเมื่อว่างจากพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มีพระพุทธเจ้า อย่างศาสนานี้สิ้นไป ในช่วงว่างก่อนจะถึงพระศรีอาริย์ ในช่วงนี้มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า

สมัยพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเวลานั้นก็ไม่มีสาวก ก็มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้าทั้งหมด เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้บรรลุเพียงองค์เดียวอย่างพระพุทธเจ้า ก็มีได้เป็นหมื่นเป็นแสน แต่ว่าพระพุทธเจ้าจะต้องมีองค์เดียว มีซ้อนไม่ได้”

ผู้ถาม :- “แล้วทำไมพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อท่านตรัสรู้แล้ว จึงไม่สอนเหมือนกับพระพุทธเจ้าครับ…?”

หลวงพ่อ :- “เกิดทันรึ…รู้เหรอว่าท่านไม่สอน เคยพบหรือเปล่า…?”

ผู้ถาม :- ?…?…?

หลวงพ่อ :- “ท่านสอน จะว่าไม่สอนเลยนั้นไม่ใช่ แต่ว่าไม่สอนถึงอริยสัจ ถ้าไปศึกษากับท่าน ท่านก็สอนแค่อภิญญาโลกีย์ ส่วนที่ตัดเข้าถึงมรรคผลนั้นเป็นเรื่องของบุคคลนั้นเอง ปัจเจก เขาแปลว่า รู้เฉพาะตน ความจริง คำว่า เฉพาะ ก็มีเฉพาะส่วนที่เป็นอริยสัจเท่านั้นเองนะ”

ผู้ถาม :- “ถ้าอย่างนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็รู้หมดทุกอย่างใช่ไหมครับ…?”

หลวงพ่อ :- “รู้หมด…พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซิ รู้ไม่หมด”

ผู้ถาม :- “อ้าว…ทำไมยังงั้นล่ะครับ”

หลวงพ่อ :- “ถ้าถามปัญหาพระพุทธเจ้า ท่านรู้ทุกอย่าง รู้ไม่หมดสักที พระปัจเจกพระพุทธเจ้าถามไปถามมา…หมด นี่เขาเรียกว่า รู้หมด”

ผู้ถาม :- “อ๋อ…แหมศัพท์ภาษาไทยนี่ไม่รู้เรื่อง อยู่ห่างวัดก็เป็นอย่างนี้”

หลวงพ่อ :- “เป็นอันว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องสวรรค์ เรื่องพรหม แต่เรื่องนิพพานท่านไม่สอนใคร เพราะไม่ใช่หน้าที่ของท่าน

ฉะนั้น พระ ถ้าเข้าถึงจุดหมายปลายทาง ท่านจะรู้หน้าที่ของท่าน อย่างพระที่ยังไม่เป็นอรหันต์ เป็นหมอดู เป็นหมอรักษาโรค เราใช้ได้ทุกอย่าง ท่านจะทำให้ทุกอย่าง พอถึงอรหันต์ปั๊บ ท่านรู้เลยว่าท่านเกิดมานี่เพื่อทำกิจอะไร…อย่างอื่นที่ไม่ใช่ของท่าน ท่านจะไม่ทำ จะงดหมด ท่านทำเฉพาะกิจ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ท่านสอนเรื่องสวรรค์ เรื่องพรหม แต่เรื่องนิพพานท่านไม่สอน”

ทิพจักขุญานไม่เสมอกัน

หลวงพ่อ :- “พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็คือพระอรหันต์ มีคุณธรรมพิเศษยิ่งกว่าพระอรหันต์ธรรมดา ยิ่งกว่าพระอัครสาวก เพราะสามารถบรรลุได้ด้วยตัวเอง และความเป็นทิพย์ ความสว่าง สว่างกว่าพระอัครสาวกมาก ความสว่างในด้านทิพจักขุญานของท่าน ท่านเปรียบเหมือนพระจันทร์เต็มดวงที่ไม่มีเมฆบัง

ส่วน พระอัครสาวก ความสว่าง ทิพจักขุญานของท่าน เปรียบเหมือนคบเพลิงไปจุดในที่มืด ต่างกันเยอะ

พระอรหันต์ปกติ ความสว่างของทิพจักขุญาน เหมือนเอาตะเกียงรั้วไปตั้ง

ถ้าหาก พระโสดา สกิทาคา ความสว่างของทิพจักขุญาน เหมือนกับเอาเทียนไปตั้ง

พวกฌานโลกีย์ ก็เหมือนกับเดินไประหว่างเดือนมืด แต่เดือนมืดใหม่ๆ มองเห็นดำ นี่เปรียบเทียบกำลังของความสว่าง

แต่สำหรับของ พระพุทธเจ้า นั้น ความสว่างของทิพจักขุญาน เหมือนกับพระอาทิตย์ในเวลาเที่ยงวัน

ฉะนั้น พระอรหันต์ท่านจึงไม่ไช้กำลังของท่านเอง เพราะท่านรู้ว่ากำลังของท่านไม่ละเอียดพอ”

ผู้ถาม :- “อย่างนี้ก็แสดงว่าพระอรหันต์มีความสามารถไม่เท่ากันสิครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ใช่ อรหันต์ฝ่าย สุกขวิปัสสโก ความรู้น้อยเต็มที ผีเผอ…ท่านบอก ไม่เห็นเลย เทวดาเป็นยังไง…กูไม่รู้ กูไม่เห็น แต่ท่านตัดกิเลสได้

เตวิชโช มีทิพจักขุญาน ระลึกชาติได้

ฉฬภิญโญ มีฤทธิ์ได้ เหาะเหิรเดินอากาศได้

ปฏิสัมภิทัปปัตโต รวบเลย วิชชาสามด้วย อภิญญาหกด้วย ฉลาดด้วย เหนือกว่าใครหมด และปฏิสัมภิทาญานยังแบ่งออกเป็น ๓ ขั้น

ปฏิสัมภิทาญาน ขั้นปกติสาวกอย่างหนึ่ง
ปฏิสัมภิทาญาน ขั้นมหาสาวกนี่อย่างหนึ่ง
ปฏิสัมภิทาญาน ขั้นอัครสาวกอีกอย่างหนึ่ง

และอัครสาวกก็ยังแบ่งเป็นซ้าย-ขวา ความสามารถก็ไม่เท่ากัน
อัครสาวกเบื้องขวามีความสามารถยิ่งกว่าใครทั้งหมดด้านปัญญา แต่ก็สู้พระพุทธเจ้าไม่ได้”

พระพุทธเจ้าถามปัญหาที่สังกัสนคร

หลวงพ่อ :- “มีคราวหนึ่ง…ตอนที่พระพุทธเจ้าลงจากดาวดึงสเทวโลก ตอนเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดา ลงที่ประตูเมืองสังกัสนคร พอถึงปั๊บ

พระพุทธเจ้าท่านก็ถามปัญหาวิสัยที่เป็นปุถุชน พระที่เป็นปุถุชนก็ตอบได้

พอถามปัญหาวิสัยของพระโสดาบัน เจ๊ง…อ้าปากหวอ แต่พระโสดาบันตอบได้

พอถามปัญหาวิสัยของพระสกิทาคามี พระโสดาบันตอบไม่ได้ พระสกิทาคามีตอบได้

พอถามปัญหาวิสัยของพระอนาคามี พระสกิทาคามีตอบไม่ได้
ตอบนี่มันถูกต้อง ไม่ใช่พูดส่งเดช

พอถามปัญหาวิสัยของพระอรหันต์ พระอนาคามีตอบไม่ได้

ถามปัญหาวิสัยของพระอัครสาวกเบื้องซ้าย พระโมคคัลลาน์ตอบ

ถามปัญหาวิสัยของพระอัครสาวกเบื้องขวา พระโมคคัลลาน์เงียบ พระสารีบุตรตอบ

ถามปัญหาของพระพุทธเจ้า พระสารีบุตรเงียบ พระพุทธเจ้าถามอีกทีให้ง่ายเข้า พระสารีบุตรตอบได้

อันนี้จะนึกว่าพระอรหันต์เหมือนกัน จะมีความสามารถเท่ากันไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทุกองค์ท่านจึงยอมโง่ ถามพระพุทธเจ้าดีกว่า ของเราก็เหมือนกัน ถ้าเกินวิสัยปั๊บ ถามพระพุทธเจ้าดีกว่า มันไม่ปวดหัวใช่ไหม…ถ้าจะปวดหัวในด้านความคิด ด้านประสาท พระอรหันต์ไม่มีเลย ถ้าจะปวดหัวก็ต้องเป็นกฏของกรรม

ถ้ากฏของกรรม มันอาจจะปวดหัวมัวตาบ้าง แต่ปวดหัวในเรื่องความคิดไม่มี เพราะฉะนั้น พระอรหันต์จึงไม่มีคำว่ากลุ้ม ถ้ามีก็ไม่ใช่พระอรหันต์ เป็นกังหัน คือหันเหมือนกัน หันไปหันมา เวียนหัว ใช่ไหม…ไม่เชื่อลองหันดูซิ”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “แล้วคนที่เป็นพระอริยเจ้านี่เสื่อมไหมครับ…?”

หลวงพ่อ :- “น่ากลัวจะเป็นพระอริยะศาสนาอื่น ไม่มี…พระอริยะนี่ไม่มีเสื่อม ถ้าเสื่อมก็ต้องเป็นศาสนาอื่น”

เรื่องศาสนาเชน

ผู้ถาม :- “แล้วศาสนาเชน…นี่เป็นยังไงครับ…?”

หลวงพ่อ :- “โอ…ต้องไปอินเดีย ศาสนาเชน ในสมัยพระพุทธเจ้า เรียกว่า อเจลก แต่ว่าเขาก็มีวิธีปฏิบัติของเขานะ เขาเคร่งเครียดเหมือนกัน คือว่าพวกนี้ก็หนักไปในด้านสมาธิ แล้วก็ถือว่าที่พระสมณโคดมประกาศตนว่าเป็นอรหันต์ ไม่ติดในลาภสักการะ ยังมีผ้านุ่งอยู่ แต่เขานี่แน่กว่า”

ผู้ถาม :- “ในหนังสือเล่มหนึ่งเขียนบอกว่า ศาสนาเชนเป็นนิกายหนึ่งของพระพุทธศาสนา…”

หลวงพ่อ :- “เอาเข้าแล้ว ใครเขียนนะ เชนเขาเกิดก่อนศาสนาพุทธ เขาเกิดก่อนมาก ไม่ใช่เกิดทีหลัง ฉะนั้นเป็นศาสนาที่พระพุทธเจ้าเราหักล้างเขาไม่ได้ แต่ว่าพระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องการหักล้าง

ในสมัยที่พระพุทธเจ้าอยู่ คนนับถือศาสนาเชนมากกว่าศาสนาพุทธ เพราะเขาเก่าแก่มานาน และของเขาก็มีเหตุผลพอว่า เขานี่ไม่ติดทรัพย์สินทรัพย์สมบัติ ไม่มีแม้แต่เสื้อ กางเกง เขาก็ไม่มี เขาแน่ดีเหมือนกัน คุณจะปรารถนาไปเป็นเชนก็ได้นะ แต่ต้องแก้ผ้าหมด”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “ไม่ล่ะครับ”

ทำไมพระพุทธเจ้าประสูติแล้วเดินได้ ๗ ก้าว

ผู้ถาม :- “ทีนี้มีอีกข้อครับ คนบางคนเขาสงสัยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าประสูติแล้วเดินได้ตั้ง ๗ ก้าว รู้สึกว่าจะเหลือเกินไปเสียแล้ว…?”

หลวงพ่อ :- “ไม่เหลือ นี่ยังน้อยนา นี่แค่เดินย่อๆ นะ ท่านเกรงใจชาวบ้าน ไม่งั้นเดินทั่วโลกเลยนะ อย่าลืมว่า อัจฉริยะมนุษย์ ไม่งั้นจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ยังไง ใช่ไหม…พระพุทธเจ้าท่านเกิดมาพูดได้ทันที ถ้าท่านมีความสามารถเท่าเรา เราก็เป็นพระพุทธเจ้าได้หมดเลย ไม่ต้องมีสาวกกันละ ใช่ไหม…

อัจฉริยะ แปลว่า อัศจรรย์ คือต้องบำเพ็ญบารมีมา ๔ อสงไขยกับแสนกัป ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างต้องแตกต่างกว่าคนธรรมดา การบรรลุอภิเษกสัมโพธิญาน ก็ต้องอาศัยการบรรลุด้วยตนเอง ไม่ได้มีครูสอนใชไหม…”

ท่านเมณฑกเศรษฐี

ผู้ถาม :- “คนที่นำข้าวสารหรืออาหารต่างๆ มาถวาย อยากจะเรียนถามว่า ได้อานิสงส์เป็นประการใดครับ…?”

หลวงพ่อ :- “อานิสงส์เหมือนกับ ท่านเมณฑกเศรษฐี…”

ผู้ถาม :- “เรื่องเป็นอย่างไรครับ…?”

หลวงพ่อ :- มีสมัยหนึ่งท่านเมณฑกเศรษฐี ท่านเกิดมาเป็นเศรษฐีเหมือนกัน ตอนเช้าเวลาจะเฝ้าพระราชา ท่านก็เจอะปุโรหิต

ถามว่า “ท่านปุโรหิต ท่านดูบ้างหรือเปล่าว่า บ้านเมืองจะเป็นเช่นไร…?”

ท่านปุโรหิตก็เลยบอกว่า “เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของเรา เราต้องดูทุกวัน”

ถามว่า “ต่อไปบ้านเมืองจะเป็นเช่นไร”

ท่านบอกว่า “ตั้งแต่ ๓ ปีนี้เป็นต้นไป ประชาชนจะเป็นโรคชนิดหนึ่ง คือโรคหิว หมายความว่า ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์จะทำไม่ได้”

ท่านทราบแล้วก็กลับมาบ้าน จัดการทำนาเป็นการใหญ่ เงินมีซื้อข้าวใส่ฉางหมด ข้าวล้นฉางก็ใส่ตุ่ม ข้าวล้นตุ่มก็ผสมกับดินเหนียวทาฝา

ทีนี้บ้านเศรษฐีมีคนมาก กินไปกินมาไม่ถึง ๓ ปี ข้าวก็หมด ท่านก็เลยปล่อยทาสทั้งหลายเป็นอิสระ ไปไหนก็ได้ ไปหากินตามลำพัง ขืนอยู่ก็อดตาย

ท่านจึงเหลืออยู่ด้วยกัน ๕ คน มีทาส ๑ คนไม่ยอมไป คือนายบุญ ที่บ้านก็มีตัวท่านและภรรยา แล้วก็ลูกสะใภ้คนหนึ่ง เป็น ๕ คนด้วยกัน มีข้าวเหลือทะนานเดียว วันนั้นท่านไปเฝ้าพระราชา กลับมา ก็ถามแม่บ้านว่า “ยาย มีข้าวไหม…?”

ยายก็บอกว่า “มี ๑ ทะนานเจ้าค่ะ”

ท่านก็บอกว่า “ฉันหิว”

ยายก็ถามว่า “จะหุงหรือต้ม เพราะข้าวกินเวลาเดียวหมด ๕ คน แต่ต้มข้าวต้มเรากินได้ ๒ เวลา”

ท่านก็เลยบอกว่า “หุงก็แล้วกัน กินเวลาเดียว ตายก่อนตายหลัง มันก็ไม่ช้าเท่าใดนัก”

พระปัจเจกพุทธเจ้าเสด็จมาโปรด

หลวงพ่อ :- “พอหุงข้าวเสร็จ พอเริ่มทำท่าจะกิน เวลานั้นเป็นเวลาพอดีที่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ท่านออกจาก นิโรธสมาบัติ ร่างกายที่อยู่ในนิโรธสมาบัติมันไม่หิว มันไม่ต้องการอาหาร พอเลิกแล้วร่างกายต้องการอาหาร

ท่านก็ใช้ทิพจักขุญานดูว่า วันนี้ใครจะสงเคราะห์เราบ้าง ก็ทราบว่า บ้านเศรษฐีเวลานี้ มีข้าวอยู่ ๑ ทะนาน หุงเรียบร้อยแล้ว ถ้าเราไปที่บ้านนั้น เราจะได้อาหาร ท่านก็เหาะมา แล้วยืนรอบิณฑบาต

มหาเศรษฐีทราบ ก็วิ่งไปนิมนต์ ก็ตัดสินใจว่า เพราะการเป็นเศรษฐีของเรามันไม่คุ้มครองตัว ถึงอดอยากจะไม่มีข้าวกิน มื้อนี้เป็นมื้อสุดท้าย หมดแล้วเราก็จะตาย ถ้าเราตายต้องตายอย่างประเภทไม่ผิดความหวัง คือชาติหน้าเราจะต้องไม่จนอีก

ก็เลยนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าให้ยืนอยู่ก่อน แล้วกลับมาเอาข้าวไปทั้งหม้อเลย ให้คดหมดหม้อ ตั้งใจไปถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าหมด

พอใส่บาตรไปครึ่งหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เอามือปิดบาตร บอกว่า “พอแล้วโยม ครึ่งหนึ่งจะได้กินกัน เพราะว่ามันมีทะนานเดียว มันหมดเท่านี้” ท่านรู้

ท่านมหาเศรษฐีก็เลยบอกว่า “ขอพระคุณเจ้าโปรดผมเถอะครับ ที่มันยากจนไม่มีกินเวลานี้ เพราะชาติก่อนทำทานไม่ดี บกพร่องในทาน ผมขอตายในชาตินี้ ชาติหน้าขอรวย”

พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็เปิดมือ เศรษฐีก็เลยใส่บาตรหมด ท่านอธิษฐานว่า “ต่อไปชาติหน้า คำว่า ยากจน ขัดสน จะต้องการอะไรไม่มี ขออย่าไปปรากฏ ให้มีทุกอย่าง”

ลูกก็ดี ลูกสะใภ้ก็ดี ต้องการเหมือนกัน แต่แม่บ้านต้องการต่างจากเขา คืออธิษฐานว่า “ต่อไปเบื้องหน้า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอผลบุญที่ข้าพเจ้าทำ มีข้าวในหม้อ ขอให้ข้าวสุกเต็มอยู่เสมอ ถ้าตักลงไปจะแจกคนเท่าไรก็ตามที ข้าวให้แหว่งแค่ทัพพีเดียว” ขอให้เต็มปกติน่ะ

สำหรับทาส นายบุญ แกมีหน้าที่ไถนา ก็อธิษฐานว่า “ผลบุญนี่ เวลาผมไถนาไปรอยกลางรอยเดียว ให้มีรอยข้างซ้าย ๓ รอยด้วย ข้างขวา ๓ รอย รวมเป็น ๗ รอย ให้ปรากฏ”

ก็เป็นอันว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า ฟังคำอธิษฐานแล้วก็ให้พรว่า “เอวัง โหตุ” แปลว่า “เจ้าปรารถนาสิ่งใด ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา”

หลังจากนั้นท่านก็คิดว่า เราก็ควรจะแสดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฎ ท่านลากลับแล้วก็เหาะไป คนส่วนมากเห็นท่านเหาะไปถึงยอดเขาคันธมาทน์ และมีพระปัจเจกพุทธเจ้าประมาณสามหมื่นรูป แล้วท่านก็เอาข้าวทะนานเดียวนั่นแหละ ไปแจกพระปัจเจกพุทธเจ้า สามหมื่นรูปเต็มบาตรหมด”

อานิสงส์ของทาน

หลวงพ่อ :- “เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าต่างองค์ต่างฉัน ฉันไม่หมด ก็ต้องเทกอง ชาวบ้าน ๕ คนเห็นก็ชื่นใจ ว่าข้าวของเราทะนานเดียว สามารถเลี้ยงพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ถึงสามหมื่นรูป จากนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็คลายฤทธิ์ เขาก็ไม่เห็นอีก

ต่อมาพอไม่เห็น ท่านมหาเศรษฐีก็หิวใหม่ ถามใหม่ว่า “ยาย ไอ้ข้าวตังก้นหม้อมีไหม…?” คราวก่อนยอมตายใช่ไหม… “ถ้าข้าวตังก้นหม้อมี เอาน้ำใส่ก้นหม้อ กลั้วๆ ให้ฉันดื่มหน่อยเถอะ”

ท่านยายก็เปิดหม้อ บอก “มีจ๊ะ…ข้าวตัง”

พอเปิดหม้อข้าวปั๊บ ปรากฎว่าไม่ใช่ข้าวตังน่ะซิ มันเป็นข้าวสุกร้อนเต็มหม้อเลย ก็เลยเรียกท่านตามา เรียกลูกชาย ลูกสะใภ้ ทาส ต่างคนต่างกินกัน กินเท่าไรก็ตาม ข้าวแหว่งแค่ทัพพีเดียว อัศจรรย์ไหม…

แล้วต่อมาท่านก็ประกาศว่า “ใครอดจงมาที่นี่” มันอดกันทั้งเมืองใช่ไหม…ยายก็เลยตักกันวันยังค่ำ ข้าวก็เต็มและร้อนเป็นปกติ แหว่งแค่ทัพพีเดียวตลอดเวลา

เพราะผลบุญอันนี้ เกิดมาในชาติหลัง (ชาติปัจจุบันสุดท้ายนี้นะ) ท่านเกิดใหม่จากเทวดามาเป็นคน ก็มาเกิดเข้าท้องแม่ลูกคนจนในป่า หน่อไม้รอบบ้านเป็นทองคำหมด

พอคลอดจากครรภ์มารดา ไอ้พวกแพะโตเท่าช้าง เป็นพันๆ ตัว ยืนรอบบ้าน แล้วก็มีสายไหมในปาก ใครต้องการขนมดึงขนมออก ใครต้องการไอศกรีมๆ ออก ใครต้องการผ้าผ่อนท่อนสไบ ต้องการแก้วแหวนเงินทองออก ก็เลยดึงกันใหญ่

แล้วเวลานั้นเขาก็อธิษฐานว่า ถ้าเกิดชาติใหม่ ภรรยาเป็นภรรยาคนเดิม ลูกเป็นลูกคนเดิม เป็นลูกสะใภ้ก็เป็นลูกสะใภ้ตามเดิม นายบุญก็อธิษฐานเป็นทาสตามเดิม

เป็นอันว่าทั้ง ๕ ท่าน เป็นมหาเศรษฐีหมด และเป็นมหาเศรษฐีที่มีกำลังใหญ่มาก ท่านเมณฑกเศรษฐี ก็คือ ปู่ของนางวิสาขานั่นเอง…”

หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๘-๑๘ (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

เรื่องนี้ถูกเขียนใน หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม และติดป้ายกำกับ คั่นหน้า ลิงก์ถาวร