อย่าสวดมนต์กันผี ให้สวดบูชาพระพุทธเจ้า

อย่าสวดมนต์กันผี ให้สวดบูชาพระพุทธเจ้า
หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ อย่างบท วิปัสสิสสะ เราจะสวดแค่ไหนดีคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ก็สวดหมดนั่นแหละ แต่อย่าไปสวดกันผีนะ เพื่อกันผีไม่ได้ เราสวดเพื่อความเคารพพระพุทธเจ้า”

ผู้ถาม :- “ที่อยากสวดบทนี้ก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องกันผีค่ะ เพราะกลัวผี”

หลวงพ่อ :- “ถ้าไปสวดเพื่อกันผีน่ะ อาจารย์สำราญโดนมาแล้ว ที่เขาวงพระจันทร์แน่ะ เขาลือกันถ้าสวดได้ยินเสียงที่ไหนผีเข้าไม่ได้นะ แกก็สวดทุกวัน เลยบอกอาจารย์ ไม่ดีนะ ถ้าสวดเพื่อพรรณาความดีของพระพุทธเจ้า สวดเพื่อความเคารพพระพุทธเจ้า บทนี้คุ้มครอง ถ้าสวดเพื่อไล่ผีเมื่อไรผีตีเมื่อนั้น แกก็ไม่ฟัง

มีวันหนึ่ง เผลอ…พวกเรากำลังทำงานอยู่ได้ยินเสียงร้อง โอ๊ยๆ พอเราวิ่งเข้าไปดูแล้ว นุ่งแดง ห่มแดงผ้าคาด แหม…หวายเบ้อเร่อ ล่อเสียบวมทั้งตัว พอเราก้าวเข้าไปท่านหันมามอง บอกว่าพี่ชาย…ไปเถอะ ไม่ใช่หน้าที่ของแก นี่อาจารย์สำราญโดนมาแล้ว

ถ้าเรากันผี ไม่ช้าก็ถูกผีกัน เข้าพวกผีไม่ได้ ใช่ไหม…นี่มึงสมัยก่อนมึงกันกูไว้ กูห้ามเข้าพวก เสร็จ ไม่ยอมรับเข้าสมาคมผี กลายเป็นผีจรไป”

ผู้ถาม :- “แล้วจะทำยังไงล่ะคะ จะไม่ให้ผีมาหลอก…?”

หลวงพ่อ :- “ความจริงไม่มีผีคนไหนหลอกคน ฉันถามเขาแล้ว ถ้าเรารู้เรื่องสภาวะของผีจริงๆ ผีนี่เขาไม่หลอกอะไรเลย ไอ้ที่แสดงตนให้ปรากฎ นี่เขาต้องการความช่วยเหลือ เพราะเขาลำบาก นี่เขารู้ว่าคนไหนมีบุญพอที่จะช่วยเขาได้

สมมติว่าคนนี้ถูกรถชนตายตรงนี้ ความจริงเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่เขาจะมาอยู่ที่ตรงนั้นแสดงตนให้ปรากฏ ไอ้เราเลยหาว่าผีหลอก แช่งต่อไปเลย ให้พร ไอ้ผีเป็นไง…ผีก็ร้องไห้ เขาก็เสียใจ เพราะแกอดอยาก ใช่ไหม…

ไปถามเขาแล้ว เขาบอกเวลาที่จะหลอกน่ะไม่มี แต่พวกที่ล้อพวกนี้ก็ไม่ใช่ผี เป็นพวกเทวดา แล้วก็เป็นเทวดาที่เป็นเพื่อนกันมาก่อน ชอบพอกันมาก่อน หมายความว่าเคยเกิดเป็นเทวดามากับเขา หรือว่าเขาไปเกิดเป็นเทวดา แต่เราไม่ได้เกิดเป็นเทวดา เป็นพวกเป็นพ้องกันมาก่อน พวกนี้จึงมาล้อเล่น”

ผู้ถาม :- “ถึงรู้อย่างนี้แล้วก็ยังกลัวอีกแหละค่ะ…ตอนเป็นเด็กๆ เขามักจะพูดว่า เดี๋ยวผีหลอกๆ”

หลวงพ่อ :- “ไอ้ตัวนี้แหละเป็นตัวอุปาทาน อุปาทานมันกิน คิดว่าผีหลอกอยู่เสมอ มันไม่ใช่ของจริง จิตมันข้องอยู่ ก็กลัวอยู่เรื่อย ความจริงผีมันไม่น่ากลัว

แล้วก็ผีที่คอยติดตามเราอยู่ เราก็ใช้ศัพท์ว่าผี คือพวกเทวดาและพรหมที่เป็นญาติ เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นเพื่อน พวกนี้เขาติดตามอารักขา แต่ว่าบางทีมันจะมีอันตรายเกิดขึ้น อาจจะมีคนดักมาทำร้ายบ้าง เขาแสดงตัวให้เราเห็น เราก็เห็นไม่ได้ เขาพูดเราก็ไม่ได้ยิน

บางทีเดินไปใกล้ต้นไม้ เขาอาจจะเขย่าต้นไม้ ไอ้การเขย่าต้นไม้นี่เขาต้องการให้เรารู้สึกตัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เราก็ตกใจ อ๊ะ อะไรไม่มีลม ทำไมต้นไม้เขย่าได้ ถ้าเดินต่อไปก็เกิดการระแวง มองหน้ามองหลังกลัวผีหลอก อันตรายก็จะไม่มี เขาให้เราระแวง บางทีเดินใกล้บ้านก็ทุบฝาเรือนบ้าง อะไรบ้าง ทำให้เรารู้สึกตัว แสดงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น อันตรายก็จะไม่เกิด นี่เขาเล่าให้ฟังแบบนี้นะ ถ้าไม่เชื่อไปถามเขาดู”

ผู้ถาม :- “หนูเคยโดนหลอกมาอย่างหนักค่ะ คือทีแรกนะคะ ไปเยี่ยมเพื่อนค่ะ แม่เขาไม่สบาย บางคืนแกก็ร้องโหยหวน…”

หลวงพ่อ :- “ถ้าร้องก็แสดงว่าเขาไม่สบายมาก เขาต้องการความช่วยเหลือ เขาอยู่ในเกณฑ์ของความทุกข์ อย่างนี้เขาต้องการความช่วยเหลือจากเรา เราก็แอบไปกลัวเสียอีก อีตานั่นก็เลยร้องฟรีไปเลย”

ผู้ถาม :-(หัวเราะ)”แต่หนูก็ยังสงสัย เพราะเห็นมีคนแก่นั่งอยู่ตรงปลายเท้า ถ้าเป็นผีเข้า ทำไมถึงไม่อยู่ในตัวของแม่เพื่อนคะ…?”

หลวงพ่อ :- “คือว่าผีจริงๆ น่ะ เขาไม่ได้เข้าอยู่ในตัว เขาอยู่ข้างนอก เขาใช้กำลังจิตเขาบังคับ คนที่กำลังจิตสู้เขาไม่ได้ เขาจะให้เป็นยังไงก็เป็นยังงั้น

ฉันก็เคยเจอะมาแล้วเหมือนกัน ที่เขาเรียกว่าผีเข้าๆ นึกว่าอยู่ในตัว แต่ความจริงไม่ใช่นะ คืออยู่ใกล้ แต่ว่าใช้กำลังจิตบังคับให้ปฏิบัติตามเขา คนป่วยนี่กำลังสติสัมปชัญญะนี่มันไม่มี เพราะเวทนามาก ใช่ไหม…เขาก็บังคับง่าย

แต่ก็น่าสงสัย เพราะว่าอาการเป็นยังงั้น มันมีอาการ ๒ ประเภท คือถ้าเป็นคนตายที่ไม่ใช่เทวดา ก็ต้องเป็นสัมภเวสี ถ้าสัมภเวสีเขามาเข้าแบบนั้น พวกนี้ต้องการความช่วยเหลือ ถ้าเป็นเทวดาเขาไม่กวนแบบนั้น ที่บอกว่ามีเสียงร้อง ก็ต้องเป็นสัมภเวสีมากกว่า”

ผู้ถาม :- “แล้วเราจะทำอย่างไรดีคะ ถ้าเขาต้องการความช่วยเหลือ”

หลวงพ่อ :- “ก็อุทิศส่วนกุศลโดยเฉพาะเลย ต้องตรงเขานะ ให้ตรงแล้วก็ไม่แบ่งคนอื่น อย่างนี้เขาจึงจะได้

ไม่เหมือนพวกปรทัตตูปชีวีเปรต พวกนี้เราให้แล้วเราก็ให้คนอื่นต่อไป แต่ว่าสัมภเวสีนี่เขาต้องบอกว่า เขาต้องการอะไร เมื่อให้แล้วก็ให้ตรงโดยเฉพาะเขาจึงจะมีส่วนได้รับ เพราะเขายัง (บาป) หนาอยู่มาก”

ผู้ถาม :- “ที่โค้งบางปิ้ง เมื่อก่อนมีผีเยอะครับ ตั้งแต่หลวงพ่อลีไปทำบุญแล้วค่อยหายไป พวกนี้คงเป็นพวกสัมภเวสีนะครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ถ้าทำบุญแล้วหายไป แสดงว่าเป็นพวกสัมภเวสี หรือปรทัตตูปชีวีเปรต แต่อย่าลืมนะว่าที่เขาแสดงภาพให้ปรากฎน่ะ แสดงว่าคนที่เห็นน่ะมีบุญพอที่จะช่วยเขาได้ มันเป็นลักษณะแบบขอทานเข้าบ้าน เรานึกว่าเป็นโจรน่ะ เสร็จ เขาหิวเกือบตาย เราคิดว่าเป็นโจรเสียได้ อย่างที่หลวงพ่อลีทำบุญให้แล้วหายไป พวกนี้ถ้าเขามีความสุขแล้ว เขาไม่มากวนอีก

มันมีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง ตอนนั้นฉันอยู่ที่วัดบางนมโค มีคนไข้คนหนึ่งมารักษา หลวงพ่อปานท่านก็ดู แล้วท่านก็บอกว่า รักษาด้วยยานี่มันไม่หาย เพราะเป็นอำนาจของความกลัวผี

ฉันก็เลยไปถามแกว่า ก่อนที่จะป่วยมันเป็นยังไง แกบอกว่า วันหนึ่งตอนกลางวัน นั่งไปในเรือกันหลายคน แกเห็นว่ามีคนบรรเลงปี่พาทย์อยู่บนยอดไผ่ ต้นไผ่มันมาก ตั้งวงปี่พาทย์บรรเลง แกเห็นคนเดียว คนอื่นไม่เห็น ก็เกิดความกลัวเลยป่วย อย่างนี้ผีเขาบันดาลให้เห็นคนเดียว แต่ไปกลัวเสียนี่”

ผู้ถาม :- “บางคนเขาก็บอกว่า ถ้าสวดมนต์บท วิรูปักเข แล้วไม่มีอันตราย เพราะบทนี้เป็นการแผ่เมตตา อันนี้ถูกไหมครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ใช่…วิรูปักเข นี่แผ่เมตตาตั้งแต่สัตว์ไม่มีเท้า สัตว์มีเท้าน้อย จนกระทั่งสัตว์มีเท้ามาก เรียกว่าแผ่เมตตาไปในสัตว์ทั้งหมด”

จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ หน้า ๗๔-๗๘ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

เรื่องนี้ถูกเขียนใน หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม และติดป้ายกำกับ , คั่นหน้า ลิงก์ถาวร