ปัญหาเรื่องนรก-สวรรค์

ปัญหาเรื่องนรก-สวรรค์
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

ผู้ถาม :- “พระพุทธเจ้าบอกว่า ห้ามการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่การเป็นทหาร จำเป็นจะต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่างนี้จะบาปไหมครับ…?”

หลวงพ่อ :- “คนไม่ใช่สัตว์นี่คุณ คนถ้าถือว่าเป็นสัตว์ คนนั้นจัญไรที่สุด”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “เป็นสัตว์ประเสริฐครับ”

หลวงพ่อ :- “คุณบอกมาซิ…คนเป็นสัตว์ประเสริฐตรงไหน…?”

ผู้ถาม :- “มีความคิดดีกว่าสัตว์ครับ”

หลวงพ่อ :- “แต่ก็มีความโหดร้ายยิ่งกว่าสัตว์ ใช่ไหม…คุณเคยเห็นปลาฆ่าคนตายกี่คน…?”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ)

หลวงพ่อ :- “นี่…ตามศัพท์เขาบอกว่า คนเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่อาตมาถือว่า คนเป็นสัตว์ระยำที่สุด”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ)

หลวงพ่อ :- “คุณเป็นคน…หรือไม่ใช่คน…?”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ)

หลวงพ่อ :- “ถ้าเป็นคน เขาแปลว่ายุ่ง ที่ว่าไม่ใช่คน ก็คือมนุษย์ มนุษย์นี่แปลว่าใจสูง ฉะนั้น พวกที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต พวกนั้นเขาเรียกว่าคน เขาแปลว่ายุ่ง แต่มนุษย์ต่างหาก เขาแปลว่า สัตว์ประเสริฐ

แต่ที่คุณถามนี่ดีนะ ที่คุณถามว่า พระพุทธเจ้าบอกว่า การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นของไม่ดี แล้วก็ทหารเกิดมาต้องฆ่าข้าศึก ทีนี้คุณก็ต้องดูนะว่าทหารที่ไปฆ่าข้าศึก ฆ่าเพราะความโกรธแค้นเป็นส่วนตัวหรือ ไหนตอบมาซิ”

ผู้ถาม :- “ฆ่าตามหน้าที่ครับ”

หลวงพ่อ :- “หน้าที่…เขาบอกว่ายังไง ลองว่าให้ฟังซิ”

ผู้ถาม :- “ป้องกันประเทศชาติครับ”

หลวงพ่อ :- “ถูก…คุณบอกว่าต้องฆ่าตามหน้าที่ แต่ว่าเท่านี้ยังไม่เข้าใจนี่ แต่ความจริงฉันเข้าใจ แต่เพื่อความเข้าใจของคนอื่น ทหารที่จะต้องฆ่าข้าศึก ก็เพื่อรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย ใช่ไหมล่ะ ที่นี้การฆ่าที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้น ต้องฆ่าโดยเจตนา มีจิตโหดร้าย หวังมุ่งทำลายด้วยเรื่องส่วนตัว อันนี้บาปมาก แต่ว่าการฆ่าข้าศึก จะว่าไม่บาปเลยมันก็ไม่ได้ คุณรู้จักไหมว่า บาปเขาแปลว่าอะไร…?”

ผู้ถาม :- (ตอบไม่ได้)

หลวงพ่อ :- “บาป เขาแปลว่า ความชั่ว บุญ เขาแปลว่า ความดี

ทหารที่ต้องฆ่าข้าศึก จะว่าไม่ชั่วเลยมันก็ไม่ได้ มันก็มีชั่ว แต่ว่าการฆ่าสัตว์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสการฆ่าสัตว์ มันก็ฆ่าเขาเหมือนกัน แต่ว่าเจตนาการฆ่าอย่างหนึ่ง แล้วก็สิ่งที่เราฆ่าอย่างหนึ่ง มันบาปมากหรือชั่วน้อย

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าฆ่าสัตว์ตัวเล็ก มีโทษน้อยกว่าสัตว์ใหญ่ เพราะใช้กำลังใจน้อยกว่ากัน และประการที่สอง ฆ่าสัตว์ที่มีคุณ มีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์ไม่มีคุณ

ทีนี้ก็สำหรับทหารฆ่าข้าศึก เราไม่ได้ฆ่าเพื่อส่วนตัว อย่าลืมว่าทุกคนอยากมีความสุข ใช่ไหม ถ้าเรานอนอยู่กับบ้าน เรามีความสุขกว่าที่ไปอยู่ชายแดน ถ้าเราอยู่ชายแดนนอนอยู่เฉยๆ ดีกว่าไปยิงกับข้าศึก นี่ว่ากันตามความรู้สึกของใจ เอาความสบายกันนะ แต่ว่าทุกคนก็เต็มใจทำ ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ประโยชน์ที่พึงได้รับ ก็คือ

– ปวงชนชาวไทย ๔๗ ล้านคน จะได้เป็นเอกราช
– พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ เป็นที่สักการะของปวงชนชาวไทย พระองค์จะทรงมีความเป็นอยู่เป็นสุข
– พระศาสนาจะทรงอยู่ได้
– ชาติจะทรงความเป็นเอกราช

นี่รวมความว่า การที่เราทำนี่ไม่ได้มีเจตนาทำเป็นส่วนตัว ทำเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และเพื่อปวงชนชาวไทย ถ้าจะถามว่า ฆ่าข้าศึกบาปไหม ก็ต้องตอบว่าบาป ถ้าจะถามว่าบาปมากหรือบาปน้อย ก็ต้องตอบว่าน้อย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า

๑.เราไม่มีความโกรธกับเขาเป็นส่วนตัว
๒.เราไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว เราทำเพื่อให้ส่วนรวมอยู่เป็นสุข

เพราะว่าข้าศึกมารุกรานประเทศไทย เราจำจะต้องรักษาเอกราชหรือแผ่นดินของเราไว้ ไทยทั้งชาติอาจจะต้องเป็นทาสเขา ถ้าเราหาความสุขคนเดียว แต่ว่าพี่น้อง ๔๗ ล้านคน จะมีความลำบาก

ทีนี้ทหารที่มีความเสียสละ เป็นบุคคลส่วนน้อย ทหารนี่มีไม่มาก ถ้าใช้กำลังกันจริงๆ ถ้าจะเทียบกับบุคคลชั่วอยู่เบื้องหลังมีมากกว่า แต่ว่าเราทั้งหมดพยายามเสียสละเลือดเนื้อและชีวิต เพื่อปวงชนชาวไทย อันนี้เป็นความดี

รวมความแล้ว ทหารที่ต้องต่อสู้กับข้าศึก บางคราวอาจจะต้องตาย ที่เราทำอย่างนั้น เพราะอาศัยจิตเมตตา ทีนี้ตัวเมตตานี่เป็นตัวดี เป็นตัวบุญ นี่คุณ…เป็นอันว่าทั้งสองอย่างเราทำ มันก้ำกึ่งกัน

๑.เราฆ่าข้าศึก ถือว่าเป็นบาป
๒.เราให้คนไทยที่อยู่เบื้องหลัง ๔๗ ล้านคน เป็นสุขนี่เป็นบุญ

ฉะนั้น การที่ทหารฆ่าข้าศึก จะถือว่าบาปไหม ก็ต้องถือว่าบาป แต่ว่าบาปของทหารมันมีนิดเดียว เพราะไม่ได้โกรธแค้นกันด้วยเรื่องส่วนตัว ถ้าเรื่องส่วนตัวเราคุยกันสบายๆ แต่นี่มาล่วงล้ำอธิปไตยของเรา เรายอมไม่ได้ ในเมื่อเรายอมไม่ได้ เราต้องรักษาอธิปไตยของเรา นี่จะว่าบาปมันก็บาป นี่เป็นเรื่องของทหาร เรื่องของชาติ เรื่องของบ้านเมือง แต่เรื่องของพระศาสนาก็เป็นเรื่องของพระศาสนา”

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อครับ ทหารที่ต้องไปรบกับข้าศึก ถ้าทุกคนตายแล้วจะตกนรก หรือว่าได้ขึ้นสวรรค์ครับ…?”

หลวงพ่อ :- “จะเล่าเรื่องอะไรให้ฟังสักเรื่องหนึ่งนะ จำบาลีไว้ให้ดีนะ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า

จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา
ถ้าเวลาก่อนจะตาย ถ้าอารมณ์ใจเศร้าหมอง มีความกลุ้ม มีความเสียใจ มีจิตกระวนกระวาย อย่างนี้ตายไปแล้วสู่ทุคติ

จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา
เมื่อขณะที่ก่อนจะตาย มีอารมณ์ผ่องใส ย่อมไปสู่สุคติ

ทีนี้สำหรับทหารทุกคน ตายแล้วตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ เราก็ต้องตอบได้เป็น ๒ นัยว่า

ทหารคนใดที่มีอารมณ์กลุ้ม มีอารมณ์เสียใจ มีความเร่าร้อน ไร้สติสัมปชัญญะในด้านของความดี พวกนี้ตายแล้วไปสู่อบายภูมิ

ถ้าหากว่าทหารคนใดที่ไปรบกับข้าศึก ก่อนจะตายมีอารมณ์ผ่องใส ก็จะต้องไปสู่สุคติ คือไปสวรรค์ก่อน

ทีนี้วิธีจะไปสวรรค์เขาทำยังไง จะเล่าเรื่องให้ฟังเรื่องหนึ่ง

เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่ญวนเหนือกับญวนใต้ตีกัน ตอนนั้นญวนใต้ใกล้จะแตก รู้สึกว่าทั้งสองฝ่ายตายกันมาก มีวาระหนึ่งรู้สึกว่า ผู้ที่ได้อภิญญาสมาบัติต่างคนต่างไปนั่งดักผีที่ทางสี่แพร่ง จุดนั้นถ้าถึงแล้ว ทางซ้ายไปสวรรค์ ทางขวาไปพรหม เดินตรงไปนรก

คนที่ตายทั้งหมดเขาทราบจำนวน แต่ทว่าจำนวนที่ผ่านไปมันไม่ครบ พวกที่ได้อภิญญาสมาบัติพวกนั้นจึงไปสำนักพระยายม ไปถามพระยายมว่า วันนี้คนตายมากและตายด้วยการรบ ทำไมจึงมาสำนักของท่านน้อย มันน้อยเกินกว่าที่เราคิดว่ามันจะน้อย

พระยายมท่านก็เลยบอกว่า ทำไมไม่ดูต่อไปว่า ก่อนที่มันจะตายมันทำอะไร พวกนั้นก็บอกว่า ก่อนที่มันจะตายมันรบกัน มันยิงกัน ท่านก็ถามต่อไปอีกว่า ไอ้ตอนก่อนที่มันจะยิงกัน มันทำอะไร

พวกที่ได้อภิญญาย่อมมีจิตเป็นทิพย์ ก็ทราบว่า พวกที่ไม่มานั้น ก่อนที่จะไปยิงกัน เขาปลุกพระก่อน การที่เอาพระห้อยคอ เพราะต้องเข้าไปยิงกันก็กลัวตายเป็นธรรมดา ยึดถือพระเป็นที่พึ่งเพื่อให้คุ้มครองชีวิต แต่ทว่าในเมื่อชีวิตของเขาจะต้องถึงอายุขัย พระก็ช่วยไม่ได้ แม้พระเองถ้าถึงอายุขัย ก็ช่วยตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

ฉะนั้น ท่านจึงบอกว่า ก่อนที่มันจะยิงกันมันปลุกพระก่อน จิตมันนึกถึงพระ นี่เป็นมหากุศล คนพวกนี้จึงไม่ไปสู่อบายภูมิ

นี่เป็นอันว่า เหตุที่เล่ามานี่ ก็เพื่อให้ทราบว่า ท่านทั้งหลายที่เป็นทหารคิดว่าจะต้องฆ่าคน และทางคติของพระพุทธศาสนานี่ ไอ้คนฆ่าคนไม่ใช่ว่าจะเลวไปทุกๆคน พระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวอย่างนั้น พระองค์กล่าวว่า อาศัย จิต เป็นสำคัญ ถ้าเราจะทำความชั่วใดๆ ก็ตามที ในเวลาที่ก่อนจะตาย บังเอิญจิตไปยึดความดีเข้าก่อน เราก็สามารถไปสวรรค์ได้”

ผู้ถาม :- “เมื่อไปสวรรค์ได้ ก็ไม่ต้องตกนรกอีก ใช่ไหมครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ถ้าเราไปสวรรค์ก่อน ถ้าเราเป็นเทวดาแล้ว ทะนงตนว่าเป็นเทวดามีความสุข มีร่างกายเป็นทิพย์ มีทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทิพย์หมด แต่ประมาท ไม่ปฏิบัติความดีต่อ อย่างนี้ถ้าหมดบุญบารมี ก็ต้องลงนรก”

ผู้ถาม :- “แล้วจะทำอย่างไร จึงจะไม่ต้องลงนรกล่ะครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้ว อดีตเราจะมีความชั่วอย่างไรก็ตาม พระโสดาบันจะไม่ตกนรก จะไม่เกิดเป็นเปรต จะไม่เกิดเป็นอสุรกาย ไม่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ก็มีมากท่านด้วยกัน ที่สร้างความชั่วไว้ในสมัยเป็นมนุษย์ แต่ก่อนจะตายสร้างความดีนิดหน่อยไปสวรรค์”

ผู้ถาม :- “จะรู้ได้อย่างไรว่าตายแล้วเกิดใหม่ครับ…?”

หลวงพ่อ :- “อ้าว…คุณยังไม่มั่นใจเหรอ เอาอย่างนี้นะ ใครมีมีดไหม มาเชือดคอคนคนนี้เหอะ จะได้รู้กันเดี๋ยวนี้”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “ไม่เอาครับ”

หลวงพ่อ :- “ไม่เอา…จะรู้ได้อย่างไรล่ะ ต้องเอาซี

ใช่…ตายแล้วเกิดใหม่ ฉันขอยืนยัน จะเกิดเป็นคน เป็นสัตว์นรก เกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือจะเกิดเป็นเทวดา พรหม หรือไปนิพพาน ย่อมได้ทั้งนั้น สุดแล้วแต่ความดีความชั่ว”

ผู้ถาม :- “เมื่อคนตายแล้ว ก็ไปเกิดทั้งในนรกและสวรรค์ แต่มีบ้างไหมครับที่ตายไปแล้ว ไม่เกิดทั้งในนรกและสวรรค์”

หลวงพ่อ :- “มี…มีเยอะ ตายแล้วไปสวรรค์ก็ไม่ไป พรหมก็ไม่ไป ไปนิพพานเลย”

ผู้ถาม :- “และอีกอย่างครับ คนตายแล้วต้องมาเกิดอีก และมีไหมครับ ที่ตายแล้วไม่ต้องเกิด…?”

หลวงพ่อ :- “ก็พระอรหันต์ไงล่ะ ตายแล้วไปนิพพานเลย ไม่ต้องมาเกิดอีก”

ผู้ถาม :- “ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ถ้าตายไปแล้ว จะไปนรกหรือสวรรค์หรือเปล่าครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ไปทุกศาสนานะคุณ คือว่าสวรรค์หรือนรกนี่ก็มีเหมือนกัน เรือนจำนี่เขาขังเฉพาะผู้ที่นับถือพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่นด้วยล่ะ เขาขังทุกศาสนาใช่ไหม…นั่นฉันใด นรกหรือสวรรค์ก็เหมือนกัน ถ้าทำความชั่วก็ไปนรกแห่งเดียวกัน”

ผู้ถาม :- “ถ้าผมทำความดี ผมจะได้เกิดมาในศาสนาพุทธไหมครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ถ้าคุณทำความดี อีกกี่ชาติๆ คุณก็พบศาสนาพุทธตลอด”

ผู้ถาม :- “อย่างนี้ก็หมายความว่า ศาสนาอื่นไม่ดีเท่าศาสนาพุทธซิครับ…?”

หลวงพ่อ :- “เราจะว่าเขาไม่ดีก็ไม่ได้ ศาสนาทุกศาสนาเขาดีเหมือนกันแหละ แต่ว่าคุณปฏิบัติตามแนวทางศาสนาพุทธ คุณก็เกิดในเขตของศาสนาพุทธ ถ้าคุณปฏิบัติในเขตของศาสนาอื่น เพราะจิตมันจับอยู่ในศาสดาองค์นั้น ก็ต้องไปเกิดในศาสนานั้น

นี่เราจะไปถือว่าศาสนาอื่นไม่ดีไม่ได้ ศาสดาทุกองค์เขาต้องการให้คนเป็นคนดีทั้งหมด เขาจึงได้บัญญัติกฎปฏิบัติขึ้นมา แต่ว่าถ้าจะถือคุณธรรมของศาสนากันจริงๆ แล้วละก็ ของเรามีต่างกับเขาอยู่นิดหนึ่ง ที่เรามีอริยสัจ ศาสนาอื่นเขาไม่สอนด้านอริยสัจ ของเรามากกว่าเขาหน่อย จะดีกว่าหรือไม่ดีกว่า ก็เป็นเรื่องของการพิจารณาของคนนะ อาตมาเป็นพระในศาสนาพุทธ จะมายกย่องศาสนาพุทธมากเกินไป มันก็ไม่ดี ดีหรือไม่ดี พระพุทธเจ้าบอกว่า เชิญมาพิสูจน์เอง”

ผู้ถาม :- “แล้วศาสนาคิด…มีการตกนรกหรือเปล่าครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ศาสนาคิด…ถ้าคิดดีๆ ก็ยังไม่ตกนะ คิดหรือคริสต์ ถ้ามันยังคิดอยู่ ยังไม่ตาย ตกได้ยังไง”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ)

หลวงพ่อ :- “เอาแล้วไง…นี่เป็นคนไทย ยังพูดไทยไม่ชัดเลย มันตกเหมือนกันไม่ว่าศาสนาไหนก็ตกเหมือนกัน เพราะว่านรกไม่ใช่ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง คำว่า นรก มันเป็นแดนสำหรับการลงโทษสัตว์ เพราะว่าคนที่ทำความชั่ว จะเป็นชาติใดหรือศาสนาใดก็ตาม ถ้าหากว่าทำความชั่ว ก็ต้องไปเหมือนกันหมด”

ผู้ถาม :- “แล้วเวลาที่ไปปรากฏกายในนรก สัตว์นรกจะแตกต่างกันด้วยผิวพรรณ เป็นไทย เป็นฝรั่งไหมครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ที่นั่นมันเป็นผิวนรกทั้งหมด รูปร่างก็เป็นรูปร่างของนรกทั้งหมด ถ้าไม่เชื่อคุณก็ลองไปดูซิ เอาขุมไหนก็ได้”

ผู้ถาม :- “กระผมยังไม่มีความสามารถจะฝึกได้ครับ”

หลวงพ่อ :- “ไม่ใช่…ลงไปอยู่เลย”

ผู้ถาม :- “โอ้โฮ ไม่ไหวล่ะครับ แล้วทำไมมนุษย์เราจึงมากขึ้นครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ก็ตายแล้วเกิดใหม่นี่ ถ้าไม่เกิด มันก็ไม่มากใช่ไหม ไอ้ที่เกิดใหม่ หรือมนุษย์มากขึ้น คุณอย่าลืมว่า ไอ้พวกสัตว์นั่นก็คือมนุษย์นะ ที่ทำความชั่วไปแล้วเกิดเป็นสัตว์ เปรต เป็นอสุรกาย สัตว์นรก ทั้งหมดก็คือมนุษย์ เทวดาหรือพรหมก็มนุษย์ เพราะรักษาความดี ถ้าหมดความดี ก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ พวกสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ถ้าหมดอำนาจความชั่ว ก็มาเกิดเป็นมนุษย์

ทีนี้ไอ้สัตว์ต่างๆ ที่คุณกินเข้าไปทุกวันๆ นะ คุณมั่นใจหรือว่าจะไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ เข้าใจหรือยัง…อย่าลืมนะว่า สัตว์ทุกประเภท ก็คือมนุษย์ที่สร้างความชั่วนั่นเอง”

ผู้ถาม :- “ครับ…เข้าใจแล้วครับ ผมเรียนถามอีกอย่างนะครับคือว่า…เมืองนรกอยู่ที่ไหนครับ…?”

หลวงพ่อ :- “เมืองนรก เขาก็อยู่ที่เมืองนรก เมืองนรกจะไปอยู่ที่เมืองมนุษย์ไม่ได้ คุณอยากจะไปดูไหมล่ะ…?”

ผู้ถาม :- “อยากครับ”

หลวงพ่อ :- “เอาอย่างนี้ซินะ ถ้าคุณเป็นคนไม่มีมานะทิฏฐิ คุณถือว่าคำสอนเป็นคำสอน คุณจะยอมรับปฏิบัติตามคำแนะนำของครู ถ้าคุณอยากจะรู้จักนรก สวรรค์ พรหมโลก หรือนิพพาน ไปพิสูจน์ได้ที่วัดท่าซุง ถ้าคุณมีความมั่นใจจริงๆ ไม่เกิน ๓ วัน ไปเที่ยวได้

แต่ว่าคุณจะต้องเชื่อครูนะ ไม่ใช่จิตของคุณมีมานะทิฏฐิอย่างนี้ไม่ได้ เหมือนกับคุณมาเป็นนักเรียนนายร้อย ถ้าคุณเรียนมาจากสถาบันอื่นแล้ว แต่ทว่าคุณมาโรงเรียนนี้เขาสอนวิชาทหารคุณถือว่าไม่ใช่ ฉันเคยเรียนมาอย่างนี้ อย่างนี้คุณก็ไม่มีโอกาสจบหลักสูตรนี้ได้ ถ้าคุณต้องการฝึกอภิญญาสมาบัติ คุณไปวัดท่าซุงได้ เขามีฝึกกันทุกวัน”

ต่อไปเป็นคำถามของผู้หญิงบ้าง

ผู้ถาม :- “คำถามนี้ฉันรู้สึกว่าจะเป็นคำถามของทารกหน่อยนะคะ แต่ว่าดิฉันสงสัย จึงขอกราบเรียนถามหลวงพ่อค่ะ…?”

หลวงพ่อ :- “เอาเลย…ทารก หรือ ทาเตียน ก็ได้”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “คือว่าดิฉันเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่า มีสวรรค์ มีเทวดา ทีนี้ได้ยินเขาพูดถึง จูปีเตอร์บ้าง ซีอุสบ้าง จึงมีความสงสัยว่า เวลาที่หลวงพ่อขึ้นไปสวรรค์ เคยเจอพระฝรั่งพวกนี้ บ้างไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “บนสวรรค์ไม่มีฝรั่ง ไม่มีเจ๊ก ไม่มีไทย ไม่มีมอญ เขามีเทวดาอย่างเดียว เขาแบ่งชาติกันเฉพาะชาติมนุษย์เท่านั้น ถ้าขึ้นไปบนโน้น เขาไม่มีการแบ่งชาติ มีสภาวะเสมอกัน รูปร่างหน้าตาก็ไม่ผิดกัน บนโน้นต้องมีบุญกุศลเสมอกัน จึงจะอยู่ร่วมกันได้ แต่ที่เราลงมาเป็นมนุษย์นี่ เพราะความดีความชั่วบุญกุศลไม่เสมอกัน”

ผู้ถาม :- “อย่างนี้สภาวะของท่านเหล่านั้น แบ่งเป็นชั้นๆ เหมือนอย่างเราอยู่เหมือนกัน ใช่ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “เหมือนกัน ความดีเสมอกันจึงขึ้นสวรรค์ได้ มีความดีเท่ากันจึงไปพรหมได้ อย่างพวกฝรั่ง เขาไม่ได้นับถือพุทธศาสนาก็จริง แต่ฝรั่งเขาก็ให้ทานเป็น เขาช่วยเหลือคนเป็นใช่ไหม…”

ผู้ถาม :- “ก็หมายความว่า ทางเราทางเขาก็ต้องเจอกัน และลักษณะก็เหมือนกันด้วยใช่ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “เจอกัน ลักษณะก็เหมือนกัน ไม่ใช่เทวดาฝรั่งมีผิวขาว จมูกโด่ง เทวดาไทยผิวดำแดง จมูกบี้ ไม่ใช่อย่างนั้น”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “แล้วภาษาเขาใช้กันอย่างไรคะ…?”

หลวงพ่อ :- “เราเป็นไทยก็พูดภาษาไทย ถ้าเป็นแขกก็พูดภาษาแขก แต่ที่จริงไม่ใช่ภาษาไทยภาษาแขก สภาวะเป็นทิพย์เข้าใจกันได้”

ผู้ถาม :- “เข้าใจแล้วค่ะ ตอนแรกก็เคยคิดเหมือนกันว่า เทพหรือเทวดาเป็นความเชื่อของคนที่เล่าต่อๆ กันมา แต่ตอนหลังเชื่อว่ามีจริงๆ ค่ะ”

หลวงพ่อ :- “ฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องพระเยซู ประมาณเมื่อ ๑๐ ปี เกือบ ๒๐ ปีแล้ว ได้ไปที่บางนกแขวกที่วัดคริสต์นั่นนะ คือว่าบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ แล้วก็ชอบๆ กัน เพราะสมัยนั้นฉันเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ไอ้ที่เรียนคริสต์ ไม่ใช่ไปเรียนที่โรงเรียน แต่คุยกัน ตอนนั้นพวกกุลีจีน เขามาคุยแลกเปลี่ยน แต่ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกันนะ

ต่อไปก็ไปที่โน่นไปเยี่ยมเขา คุยไปคุยมาเขาถามว่า ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ไหน บอกว่า รู้ ถามว่า เคยคุยไหม ก็บอกฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน

ก็ถามเขาว่า แล้วพระเจ้าของแกอยู่ที่ไหน เขาบอก ไม่รู้ ถามว่า เคยเห็นไหม บอก ไม่เคยเห็น เลยบอกว่า แหม…ไอ้คนโง่ๆ ประเภทนี้ก็มีด้วย ก็คุยสนุกๆ ก็บอก ไอ้นั่งอยู่ที่นี่ ๕-๖ คน มันโง่ทั้งนั้น นับถือส่งเดชไม่มีหลักฐาน เขาบอกมีคำสอน ใครสอนก็ไม่รู้ บอกต้องหาตัวคนสอนให้ได้ ก็คุยสนุกสนานไป เขาเลยถามว่าท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ บอกว่า ไม่เคยสนใจ แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป

แล้วต่อมาก็กลับมาที่พัก ธรรมดาของพระ พระก่อนจะนอนก็ทำงานของพระก่อน ทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่งั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดเลยพอโผล่พลุ้บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่องระหว่างพระจุฬามณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปเดินป๋อที่นั่น

พอขึ้นไปเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางมา เดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า พระเยซูใช่ไหม…? ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์มันจะบอกชัด จะไปสงสัยไม่ได้เลย

ท่านก็บอก ใช่ครับ ถามว่า ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ละ บนสวรรค์เขาแต่งตัวแบบนี้เรอะ ท่านบอกว่า เอ้า…ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้จะสงสัย ถ้ายังงั้นสภาพความจริงของท่านเป็นยังไง ท่านก็ทำให้ดู ภาพนั้นก็หายไป กลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวแพล้บ เรียกว่าจับตาเลย เป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ ถามว่า อยู่ที่ไหน บอกว่า อยู่ชั้นดุสิต

พอบอกอยู่ชั้นดุสิตเราตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แหงๆ เขาไม่ใช่ต่ำนะ ก็คุยไปคุยมา บอกว่าคำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ ถามว่า ผิดยังไง ก็บอกว่า ไอ้ล้างบาป ถ่ายบาป ซื้อบาป จำนำบาปนั่นนะ ไอ้คนที่มันทำความชั่วแล้ว มันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเรา ถูกตัดเฉือนไปเป็นแผลนี่ เราจะเอาเงินไปแลกเนื้อใครเขาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขา แล้วแผลมันหายหรือ

ท่านบอกว่าความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ความจริงที่ผมสอนนั้น สอนให้สารภาพบาป แบบกับพระแสดงอาบัติน่ะ อาการสารภาพบาป คือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป นี่คำสอนเขาแบบนี้นะ นี่ตอนหลังเขามาเซ็งลี้กัน พอล้างบาป สารภาพบาป พอจ่ายสตางค์แล้วบาปหายเลย บาปทั้งสองคน ไอ้คนก่อนก็ไม่หมดบาป ไอ้คนหลังบาปเพราะโกหก โกงสตางค์เขาอีกด้วย ก็เลยเข้าใจ

พอกลับมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูนี่เป็นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นดุสิต ต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นนี้เข้าได้ ๓ พวก คือ พุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว แล้วก็พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จึงจะอยู่ชั้นนี้ได้ สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ว่าใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น

ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมมาอยู่ชั้นดุสิตได้ เขาต้องเป็นพระโพธิสัตว์ มาดูอารมณ์ของท่านตอนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่าไม้กางเขนน่ะ คือไม้กางแขน สระแอหายไป เหลือสระเอ มันลด คือกางแขนถูกตะปูตอก ถ้าจิตไม่ดีพอเขาจะเป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่า ถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตายไป ก็ต้องลงอบายภูมิ นั่นเขาถูกเจ็บขนาดนั้น เขายังไม่โกรธ

คุณลองคิดดูให้ดี ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ เขาใหญ่มาก ใช่ไหม…ไอ้จิตเศร้าหมองนิดเดียว ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยก็ต้องลงนรกหน่อย อย่างพระนางมัลลิกาเทวี นั่นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษแกไม่มี ถ้าจิตไม่เศร้าหมองก็ไม่ลง แต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วันในมนุษย์ ต้องคิด ถ้า ๗ วันแรกนรกก็ซวยเลย”

หลวงพ่อได้เล่าเรื่องพระเยซูมานี้ทำให้ได้รับความรู้มากทีเดียว เมื่อพูดถึงเรื่องตาย ก็มีคนถามว่า

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ อย่างเวลาที่คนจะถึงกับความตายนี่นะคะ หากว่าจะบอกทางเขา บอกว่าภาวนา สัมมาอรหังๆ ไว้นะคะ ถ้าหากว่าคนที่จะตายนี่ไม่มีสติ แต่จุดธูปไว้ที่หัวนอน ให้เขาได้กลิ่นธูป เขาจะได้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างนี้จะช่วยได้มั้ยคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ก็ต้องลองดูก่อน ลองตอนที่คุณจะตาย”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ)

หลวงพ่อ :- “ฉันเคยเจอะเคยได้ยิน “ยาย…ภาวนาพุทโธนะ” ยายบอก “พุทโธ โคตรพ่อโคตรแม่มึง” นี่แน่ะ ไม่มีทางหรอกที่จะไปนึกเวลาตายน่ะ อย่าลืมว่าคนมันจะตาย ทุกขเวทนามันบีบคั้นขนาดไหน

ขนาดทำจิตเป็นฌาน มันยังเข้าฌานไม่ทันเลย จิตเขาทรงฌาน ๔ เป็นปกตินะ เวลาจะตายปั๊บจิตจับฌานไม่ทัน แต่เวลาจะตายจิตเป็นกุศลก็ไปเกิดเป็นเทวดา ไปเป็นพรหมไม่ได้ แต่ถ้าหมดอายุเป็นเทวดาเมื่อไร เขาไปเป็นพรหมทันที เพราะกำลังฌานให้ผล

นี่มันต้องซ้อมกันไว้ก่อน เวลานี้มีเวลาก็ทำเสียซิ ถ้าไปทำเวลานั้นก็เตรียมตัวไปอยู่กับพระยายม พระยายมพร้อมรับ

มีคราวหนึ่งไปดูสำนักงานต้นงิ้ว เห็นมันเต็มพอดี เราก็นึกดีใจ เออ…กูตายแล้วไม่ต้องมาแน่ ไปถามนายนิริยบาล ถ้าคนตายมาอยู่นี่ก็ไม่มีที่ขึ้นซิ แกบอก “ที่นี่ไม่ต้องห่วง ขึ้นพอดีกับคนเสมอ” ไอ้ป่าระยำ เรานึกว่าปลอดแล้วนะ คงไม่ถึงเรา ใช่ไหม…

บางคนบอกว่าเวลานี้ไม่มีแล้ว เขาเอามาทำฟืนรถไฟกันหมด ที่ไหนได้ล่ะ ไปปรากฏอยู่เมืองนรก ต้นงิ้วถูกรบกวนจากเมืองมนุษย์ บอกอยู่ไม่ไหวแล้วไอ้เมืองมนุษย์นี่ มันโกงเหลือเกิน ยืนอยู่ดีๆ มันก็มาตัดมาฟัน เอาต้นไปทำฟืนเสียบ้าง ทำอะไรบ้าง คราวนี้ต้นงิ้วทนไม่ไหว เลยต้องหนีไปเกิดในเมืองนรก ไปคอยอยู่ที่นั่น”

ผู้ถาม :- “ต้นเหมือนกับที่อยู่ในเมืองมนุษย์ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ไม่เหมือนหรอก ต้นงิ้วที่นั่นไม่มีใบ มีแต่กิ่งกับหนาม เป็นต้นงิ้วยักษ์ มีพิษมาก ต้นงิ้วเมืองมนุษย์มีปุ่มเล็กๆ นิดเดียวรอบต้น แต่ว่าหนามงิ้วที่เมืองนรกนี่ยาว ๑๖ องคุลี ไม่ใช่องคุลีมนุษย์นะ เป็นองคุลีนรก ยาวมากใหญ่มาก แล้วมีสภาพเป็นสปริง มันติดอยู่กับต้น มีความคมเป็นกรด

แต่เวลาที่คนมีบาปขึ้นไป มันมีอาการพุ่งตัวแทงให้ทะลุหลังขึ้นไปได้ มันไม่นอนนิ่งๆ มันเด้งได้เหมือนสปริงที่เราทำเก้าอี้ พอเวลานั่งก็ยุบลงไป เวลาลุกก็ฟูขึ้นมา รวมความว่ามันมีสภาพเป็นหนามที่มีชีวิต แต่มันรู้ว่าคนที่บาปขึ้นไป ไปกระทบมันจะพุ่งแทงทันที เลือดก็แดงฉานลงมา

นรกขุมนี้ลงโทษคนที่ชอบเจ้าชู้ เรื่องเจ้าชู้นี่เขาไม่ได้บังคับแต่เฉพาะผัวใครเมียใครเท่านั้น แม้แต่ลูกของเขา ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง คือบิดามารดา แม้ว่าเจ้าตัวเขาจะยินยอมก็ตามทีก็ไม่ได้ ต้องถูกลงโทษมาลงนรกขุมนี้ ถ้าเป็นข้าทาสหญิงชายของบุคคลอื่น หรือบุคคลที่อยู่ในปกครอง ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองแล้ว ไปร่วมรักกันเข้า ท่านกล่าวว่ามีโทษตกนรกขุมนี้ อันนี้ต้องจำกันไว้ให้ดี”

จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ หน้า ๕-๒๐ (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

เรื่องนี้ถูกเขียนใน หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม และติดป้ายกำกับ , คั่นหน้า ลิงก์ถาวร