หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
ความจริงเวลานี้ (พ.ศ.๒๕๒๗) ทางคณะสงฆ์ได้ประกาศ ให้ทุกวัด เจริญสมาธิกรรมฐาน จะเป็นสมถะ-วิปัสสนาก็ได้ เป็นการเจริญสมาธิ แต่ความจริงผมก็ดีใจ ที่ผมไม่ต้องรอให้คณะสงฆ์ประกาศ ผมทำของผมมาแล้วเป็นสิบ ๆ ปี หลังจากที่หลวงพ่อปานฝึกให้ผมได้บ้างเป็นแบบเป็ด ๆ คือ ผมมีความรู้ในพระกรรมฐานแบบเป็ด และเป็ดก็ไม่ใช่เป็ดเทศ เป็นเป็ดไทย บินไม่เก่ง ร้องไม่เก่ง เดินไม่เก่ง เตาะแตะ ๆ ไปตามเรื่องตามราวของผม
ผมก็อุตส่าห์นำประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผมได้จาก มโนมยิทธิ มาแนะนำบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร และก็บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อุบาสก อุบาสิกา ความจริงด้าน วิชชาสาม หรือด้าน มโนมยิทธิ ผมปลุกปล้ำมาเป็นสิบๆ ปี ญาติโยมก็สนใจบ้าง ไม่สนใจบ้าง ผมก็ไม่ว่า ผมไม่เคยว่า ผมไม่เคยเบื่อ
และโดยเฉพาะด้าน สุกขวิปัสสโก ญาติโยมสนใจมาก ผมก็เอา ญาติโยมชอบอะไรผมก็ไปแบบนั้น ที่ไหนญาติโยมชอบ สุกขวิปัสสโก ผมก็แนะนำด้าน สุกขวิปัสสโก ญาติโยมที่ไหนต้องการด้าน เตวิชโช ผมก็แนะนำด้าน เตวิชโช ญาติโยมพวกไหนต้องการ ฉฬภิญโญ อันนี้ผมสอนไม่ได้ ผมสอนได้แต่ มโนมยิทธิ แบบเป็ด ๆ เรียกว่าพอไปถึงสวรรค์-นรกได้ ด้วยกำลังของใจ ไม่เอากายเนื้อไป เอากายในไป
ผมก็ดีใจ กว่าคณะสงฆ์จะแจ้งมานี่ ผมทำมาแล้ว แนะนำมาแล้วเกิน ๔๐ ปี ก็รวมความว่า ผมก็ดีใจที่คณะสงฆ์ท่านเห็นชอบด้วย เพราะการเจริญพระกรรมฐานได้ประโยชน์ใหญ่จริง ๆ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ท่านมาสัมมนาพระสังฆาธิการที่วัดนี่ ผมก็บังเอิญได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสังฆาธิการ คือเป็นเจ้าอาวาสเป็ด ๆ อีกนั่นแหละ ไม่กี่วัน… ความจริงตำแหน่งนี้ผมโยนทิ้งมาทีหนึ่งแล้ว และตำแหน่งต่าง ๆ ที่พึงได้ผมโยนทิ้งหมด ผมไม่เคยสนใจเพราะมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ แต่นี่เป็นการบังเอิญว่า “วัดนี้ผมสร้าง ผมหนีไม่ได้ ถ้าวัดนี้ผมไม่ได้สร้างนะ ผมหนีไปแล้ว”
แต่ความจริงวัดนี้เดิมทีมันมีสภาพเป็นวัดร้าง ออกพรรษามีเจ้าอาวาสอยู่องค์เดียว วัดก็มีแต่ทรุดโทรมมาตามลำดับ ไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่หายไป พระพุทธรูปก็หมดไป ฝากุฏิดี ๆ ก็หมดไป กุฏิดีๆก็หมดไป ของดี ๆ มีไม่ได้ ก็หมดไปทั้งนั้น ก็รวมความว่า มันมีสภาพจะถึงวาระร้างอยู่แล้ว
ผมก็โด๋เด๋ ๆ มาตามเรื่องตามราว แต่บังเอิญญาติโยมมาสนับสนุน ทีแรกคิดว่าจะทำนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วเปิดเข้าถ้ำเข้าป่าไปเลยดีกว่า ผมว่าอย่างนั้น แต่มาญาติโยมหลายท่านได้สนับสนุน เอาสตางค์มาให้ ผมไปก็ไม่ได้ ไปก็เป็นขโมยเงินเขาละซิ ถ้าจะวางให้คนอื่นก็มีหวัง…ไม่รู้จะวางให้ใคร ดีไม่ดีไปวางให้โจรเข้าปล้นเงินบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ผมก็พลอยตกนรกไปด้วย
ทีแรกก็ตัดสินใจว่า ทำแค่นั้นเสร็จ แค่นี้เสร็จ ก็จะไป ในเมื่อไปไม่ได้ก็สู้ คำว่า สู้ นี่ ไม่ใช่ไปสู้ไปตีกับเขา สู้กับกำลังศรัทธาของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เอาไงก็เอากัน วัดนี้ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้นี่ อาศัย มโนมยิทธิ ช่วย อาศัย กรรมฐาน ช่วย อันนี้เป็นตัวอย่าง
และก็มีหลายวัดที่พระท่านมาฝึกได้ออกไป มีคนเขามาแจ้งให้ทราบว่า พระองค์นั้นพระองค์นี้มาฝึก มโนมยิทธิ จากหลวงพ่อแล้ว ไปถึงวัดท่านรุ่งเรืองจริง ๆ วัดของท่านสง่างาม คนเข้าช่วยเหลือในการก่อสร้าง เพราะ พระกรรมฐาน เป็นปัจจัย
นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร ผมว่าความสะอาดของจิตของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไปไหนท่านไม่เคยอด พระพุทธเจ้ามีพระมากเท่าไร ก็มีที่พักมีอาหารฉัน เพราะจิตของท่านสะอาด พวกเราความสะอาดของจิตไม่เท่าพระพุทธเจ้า
โดยเฉพาะอย่างผมก็ไม่สะอาดสะเอิด น่ากลัวจะลูบพอลื่น ๆ กระมั้ง จิตคงจะไม่มีสภาพจิตแจ่มใสเป็นดาวประกายพรึก ถ้าจิตเป็นดาวประกายพรึกนี่เป็นจิตของพระอรหันต์ ผมก็ไม่รู้ จิตผม ผมไม่ค่อยสนใจจิตใจของใคร เวลานี้ผมไม่สนใจใครทั้งหมด
เมื่อก่อนนี้ ผมก็แบบเดียวกับเลขานุการเอกสิงคโปร์ ที่ประจำประเทศไทย ลูกศิษย์พลเอกทวนทอง สุวรรณทัต นั่นแหละ ปรากฏว่าเจอะใคร ได้ยินชื่อใครไม่ได้ ล่อปั๊บทันที ได้ยินชื่อปั๊บอันดับแรกใช้ เจโตปริยญาณ ก่อน ดูจิตของคนนี้มีสภาพเป็นอย่างไร ดูไปดูมา…
อย่าลืมว่าในเวลานั้น ผมก็เป็นเป็ดตัวเล็ก ๆ เวลานี้ตัวใหญ่ก็เป็นเป็ดไทย ไม่ใช่เป็ดเทศ เป็นเป็ดตัวเล็ก ๆ ไปเจอะเอาพระองค์สำคัญเข้า พระองค์นี้สำคัญจริง ๆ พอเขาบอกชื่อปั๊บ ผมก็จับจิตปุ๊บ โอ้โฮ…องค์นี้ประวัติเบื้องหลัง ใช้ อตีตังสญาณ ยาวเหยียด ยาวนี่ไม่ใช่เลวเหยียดนะ ดีเหยียด ตั้งแต่บวชมาธุดงค์ตลอด เวลาที่ใกล้พรรษาที่ไหนขออาศัยวัดจำพรรษา พอออกพรรษาแล้วก็เดินธุดงค์ต่อไป และกำลังใจของท่านเวลานั้นท่านสูงกว่าผมมาก
ความจริงเวลานั้น ผมยังหนุ่มอยู่ และผมก็ยังเป็นเป็ด ที่เดินตัวเล็กๆ เดินเตาะแตะ ๆ เดินก็จะชนจะล้ม ไปดูใจท่านเข้าปั๊บ ท่านปิดปุ๊บทันที มืดตื้อเลย อันนี้เป็นเครื่องวัด ผมเชื่อมั่นเลยว่าพระองค์นี้ดีจริง ๆ ถ้าไม่ดีจริงปิดไม่ทัน อารมณ์ใจนี่ มันรู้กันได้ง่าย ๆ เมื่อไร ใครเขานึกอะไรมานี่ใครจะรู้ นี่เราพอนึกปั๊บท่านปิดปั๊บ หันมาเลย ยิ้ม ท่านพูดเรื่องอื่นอยู่ หันมาพูด “คนเรามันก็แปลกนะ ไอ้คนอื่นเขาได้ คิดว่าตัวจะได้บ้าง มันไม่มีทางจะทำกันได้”
คำว่า ไม่มีทางทำกันได้ หมายความว่า รู้ไม่ได้แน่ ฉันจะปิด … เท่านี้ผมชื่นใจ ผมกราบได้ทันที กราบด้วยความสนิทใจว่าท่านเก่งจริง ๆ อาการเก่งอย่างนี้ ตามสันนิษฐานของผมว่า พระองค์นี้ต้องไม่ใช่ อภิญญาหก เข้าใจว่าจะเป็น ปฏิสัมภิทาญาณ เพราะคุยกันอยู่แท้ ๆ คนตั้งเยอะ เรานึกปั๊บปิดปั๊บทันที แล้วหันมายิ้มเลย นี่เก่งจริง ๆ
ความจริงในประเทศไทยเรา อย่างนี้มีเยอะ ในกรุงเทพ ฯ ก็มี อย่าไปนึกว่าพระในกรุงเทพ ฯ ไม่ดีนะ มีดีนะเยอะเชียว จะไปชนพระดีตาย แต่ความจริงพระดีท่านไม่โอ่โถงนะ เราไปคุยกับท่านก็แบบธรรมดา ๆ ดีไม่ดีจะคิดว่าไอ้หลวงตาถุ่ย ๆ องค์นี้ไม่มีความหมาย ระวังให้ดีนะ
ระวังให้ดีนะ เพราะพวกนี้ท่านไม่มีอะไรจะอวด เพราะความจริง มหาเศรษฐีจะนำทรัพย์มหาศาลไปอวดขอทาน มันก็ไม่ได้ประโยชน์ และขอทานแกจะมีอะไรมาเบ่ง พระดี ๆ ก็เหมือนกัน ที่ผมเข้าไป ท่านก็ทำจ๋อง ๆ เพราะอะไรรู้ไหม
เพราะผมเป็นสภาพขอทาน ขอทานคือความดีผมมีนิดเดียวกระจุ๋มกระจิ๋ม ๆ ก็ไอ้เป็ดเดินเปาะแปะ ๆ และจะไปชนกับพระที่มีความดีได้อย่างไร ท่านก็เลยไม่รู้จะเอาอะไรมาอวด ท่านก็เลยเก็บเงียบ ทำเหมือนคนไม่มีอะไร นี่เป็นความดีของท่าน เราดีไม่เท่าท่าน ท่านก็ถ่อมตัวลงมา เป็นความดีที่ควรบูชา
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่บรรดาทางราชการมั้ง เห็นพระท่านว่านะ พระท่านบอกว่า ทางราชการขอให้พระอบรมศีลธรรม แต่ความจริงเรื่องอบรมศีลธรรมนี่ นิมนต์ผมไปที่ไหนผมไม่ไป และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรหลายวัดที่บอกให้ผมไปพูดที่นั่นพูดที่นี่
อย่าให้บอกเลยครับ ผมไม่ไปแน่นอน ถ้าขืนไปแล้ว มันไม่ได้ประโยชน์ โทษก็เกิดกับผมด้วย นั่นคือ ผมป่วยไข้ไม่สบาย แก่แล้ว เวลาจะพักผ่อนก็ไม่มี เวลาไปถึงที่ ก็ให้นั่งแกร่วรอถึงเวลาพูด พูดแล้วก็นั่งแกร่วอีก ไม่มีเวลาพักผ่อน อันนี้มันไม่ไหวจริง ๆ
และอีกประการหนึ่ง การพูดไม่มีผล ผมเทศน์มาตั้ง ๒๐ ปี ไม่เคยมีญาติโยมเลิกสุรา ไม่เคยดีขึ้นเลย ไปเทศน์ทีไรก็แค่นั้น ไปทีไรก็แค่นั้น ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นรับจ้างเทศน์ไป บางแห่งเขารู้สึกว่า ผมไปรับจ้างเขาเทศน์ ไปเทศน์เอาเงิน ผมก็เลยท้อใจไม่เกิดประโยชน์ ก็เลยมานั่งคิดใหม่ว่า ทำอย่างไรหนอ จะสนองคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ กลับมาใหม่ มาว่ากันเรื่อง พระกรรมฐาน
จึงมาพิจารณาด้าน สุกขวิปัสสโก ผลน้อยอีก ญาติโยมทำได้ ญาติโยมมักจะคุยกัน ว่าเวลานั่ง นั่งนานเท่านั้น นั่งนานเท่านี้ อารมณ์แบบนั้น อารมณ์แบบนี้ มันก็ไม่จริง และก็รักษาอารมณ์ได้ไม่จริง ก็เลยคิดว่าจะสอน สองในวิชชาสาม และก็ มโนมยิทธิ
ที่ว่า สองในวิชชาสาม เป็นฌานโลกีย์เป็นสมาธิต่ำๆ ความจริงไม่ถึงฌาน สองในวิชชาสาม นี่ ขึ้นด้วยอุปจารสมาธิ ยังไม่ถึงฌานสมาบัติ ก็ผมบอกแล้วนี่ว่าผมเป็นเป็ด ไป ๆ มา ๆ ก็มาจับได้ สองในวิชชาสาม โยมเอาไม่ได้อีก หาวิธีการต่างๆ หลายอย่างหลายแบบ ให้สร้างพระพุทธรูป เพ่งพระพุทธรูป ดูพระแก้ว ดูพระทอง ก็ไม่ไหวอีก ไปไม่รอด
ไปไม่รอดทำอย่างไร ? หันมาจับ มโนมยิทธิ เถอะ มโนมยิทธิ ตามกำลังที่ผมศึกษามา ยังไง ๆ โยมรับไม่ไหวแน่ เพราะต้องใช้กำลังมาก ใช้เวลามาก ไม่เหมาะกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท และก็ไม่เหมาะกับพระที่บวชใหม่ ๆ ใช้เวลาน้อย ๆ ในที่สุด ก็มาหาทางให้ง่าย และให้เร็ว ตามที่ฝึกอยู่เวลานี้ กว่าจะค้นพบก็นาน
มโนมยิทธิ นี่เป็นจุดบังคับจริง ๆ ถ้าญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิงที่มาฝึกนี่ ผมก็ไม่มั่นใจว่าท่านจะรักษาได้ทุกคน มีบางรายให้ไปแล้วสูญ ทำได้แล้วกลับไปบ้านไม่กล้าทำ เพราะไม่มีครูสอน
อันนี้เราก็ไม่ติกัน เพราะอะไร ความเข้มแข็งของจิต ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า “บารมี” ไม่เสมอกัน ท่านมีกำลังต่ำแค่นั้น เราจับโยนขึ้นไปที่สูงยอดไม้ ท่านก็หล่น
บางรายทำไปได้แล้ว ไปปล่อยให้เฝือ แล้วบอก ไปที่บ้านมันไม่สว่างไสว คือ ไม่สามารถจะทำให้แจ่มใสเหมือนเมื่ออยู่วัด อันนี้ก็ทราบได้ว่า กลับไปบ้านท่านไปทำศีลขาดตามเดิม ท่านไม่ทรงความดีเหมือนที่ปฏิบัติอยู่ที่นี่ ปฏิบัติอยู่ที่นี่ท่านรักษาความดีไว้ได้ สภาพของจิตยังสดใส อารมณ์ยังเป็นโลกียวิสัยนี่มันไม่ทรงตัว
แต่ว่าส่วนใหญ่ดีมาก เพราะอะไร เป็นกฎตายตัวของ มโนมยิทธิ ที่ต้องทำ มันก็ตรงกับที่คณะสงฆ์ขอร้องมา ฟังตามนี้นะ ญาติโยมพุทธบริษัทก็ดี บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรที่นั่งฟังก็ดี คือว่า จะให้ทรงตัวจริง ๆ ต้องเอา อุทุมพริกสูตร มาอ่านกัน ว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้อย่างไร ผมจะเล่าโดยย่อ ๆ
สำหรับด้าน สะเก็ด พระพุทธเจ้าพูดไว้มาก ผมย่อเอา คือ
๑.เราไม่สนใจจริยาของใครเลย
๒.ไม่โอ้อวด
๓.ไม่ยกตนข่มท่าน
๔.ไม่ถือตัวเกินไปเอาย่อ ๆ เท่านี้ ความดีขนาดนี้ พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า สะเก็ด ยังไม่ใหญ่โต เข้าไปเกาะ สะเก็ดนิด ๆ ของพระพุทธศาสนา อันนี้ต้องสังเกต ถ้าใครปฏิบัติไม่ได้อย่างนี้ ก็เกาะ สะเก็ด ไม่ได้ ไม่ต้องไปดูต่อไปแล้ว ญาติโยมที่รักษา มโนมยิทธิ ไว้ได้ดี ท่านรักษาไว้ได้ดี
และอันดับที่สอง การเข้าถึง เปลือก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
เราต้องไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
ไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล
ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้วก็รวมความว่า เราจะรักษาศีลให้ครบถ้วนแจ่มใส และหลังจากนั้น จิตมีความเข้มแข็ง สามารถระงับนิวรณ์ได้ทันทีทันใด ตามที่เราต้องการ
ไอ้นิวรณ์ กับปฐมฌาน เป็นศัตรูกัน ถ้าขณะใด อารมณ์ของนิวรณ์นิดหนึ่งอย่างใดอย่างหนึ่งมีขึ้นในจิต เวลานั้นกำลังของสมาธิจะสลายตัวทันที เวลาใดที่จิตระงับจากนิวรณ์ นิวรณ์ไม่ฟู สงบ เวลานั้นกำลังจิตเป็นสมาธิเป็นปฐมฌานทันทีเหมือนกัน โดยไม่ต้องภาวนา ไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้านิวรณ์ไม่ฟูขึ้น ปฐมฌานก็เข้ามา ถ้านิวรณ์มา ปฐมฌานก็ไป ก็แลกกันไปแลกกันมาอย่างนี้
และประการต่อไป อาการที่จะทรงตัว มีความแจ่มใสของจิต จิตจะผ่องใส ต้องการรู้ ต้องการเห็นอะไร เมื่อไร ได้ทันทีทันใด และก็มีสภาพไม่ผิด แจ่มใสด้วย นั่นก็คือ พรหมวิหาร ๔ พรหมวิหาร ๔ คือ
เมตตา ความรัก มีความรู้สึกไว้เสมอว่าเราจะรักคนรักสัตว์เสมอด้วยตัวเรา เราอยากจะฆ่าตัวเราไหม ไม่มีใครอยากฆ่า อยากจะขโมยของเราไปทิ้งไหม เราไม่มี รวมความ เราจะรักเขาเป็นมิตรที่ดีสำหรับเขา
ถ้าโอกาสมี เราจะเกื้อกูลเขาให้มีความสุข ตามกำลังที่เราจะพึงทำ
เราจะไม่อิจฉาริษยาใคร เมื่อบุคคลอื่นได้ดีพลอยยินดีด้วย
ใครเพลี่ยงพล้ำ เราไม่ซ้ำเติม เราวางเฉย
อารมณ์อย่างนี้ บรรดาพุทธบริษัท พรหมวิหาร ๔ นี่ถ้าประจำใจไว้เสมอ ศีลก็บริสุทธิ์ ทาน จาคะก็สมบูรณ์แบบ และก็สมาธิก็ตั้งมั่น วิปัสสนาญาณ คือปัญญาก็แจ่มใส เพราะอารมณ์ใจเยือกเย็น เป็นกำลังใหญ่ ตัดโลภะ-ความโลภ ตัดโทสะ-ความโกรธ ตัดโมหะ-ความหลง จิตจะสะอาดอยู่ตลอดเวลา จิตมีความเยือกเย็น อารมณ์เป็นฌานตลอดเวลา ต้องการจะรู้อะไรขึ้นมา ระงับนิวรณ์ปั๊บเดียว มีความรู้สึก จิตแจ่มใสสะอาดทันที ทำได้อย่างนี้ ถือว่าเป็นการทรงฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์จะทรงตัว ไม่มีการเสื่อมคลาย ไม่มีการถอยหลัง อันนี้ญาติโยมพุทธบริษัททำได้ดีมาก เยอะ
รักษาอารมณ์ทั้งหมดนี้ พระพุทธเจ้าทรงเรียกเข้าถึง เปลือก ที่พระองค์ทรงสอน แต่ว่า เปลือก ความดีที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำได้เยอะจริงๆ รักษาไว้ได้ดี ทำให้โลก ทำให้ประเทศชาติมีความเยือกเย็น มีความสามัคคีกัน มีศรัทธา-ปสาทะดี
และต่อไป ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติได้ นี่เข้าถึง กระพี้
ถึงแม้จะเป็นการระลึกชาติแบบเป็ด ๆ เขาก็ทำกันได้ บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย บางท่านฟังแล้วจะหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม หาก็หาไปเถอะ แต่อย่าลืม คนเขาทำได้ เวลานี้ เวลาฝึก ครูเขาฝึกกัน ผมไม่ได้ฝึกเอง ผมเป็นแต่เพียงประธาน นอนเป็นประธานอยู่ที่นั่นบ้าง นอนเป็นประธานอยู่ที่กุฏิบ้าง บางทีหายใจครอก ๆ ทำท่าจะตายบ้าง บางทีก็นั่งโงงเงง ๆ
อย่างเมื่อสองวันนี่ เมื่อวานกับวันนี้โงงเงงบอกไม่ถูก วันที่ ๑๗ กับวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๒๗ มันจะทรงตัวไม่ไหว วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ชาวสามพรานมา ๗๐ คนกว่า ลงรับไม่ได้ มันไม่ไหวจริง ๆ ทรงตัวไม่ได้ วันที่ ๑๘ ดีอยู่พักหนึ่ง ตอนเย็นชักจะไม่ไหวอีกเหมือนกัน เวลานี้ก็เลยต้องนอนพูด สบาย พูดมันไปอย่างนี้ ถ้ามันจะตาย ระหว่างธรรมะก็ยอม อันนี้ประโยชน์ใหญ่
สำหรับ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติ ญาติโยมก็สามารถทำกันได้ อย่าลืมว่าครูเป็นเป็ด ลูกศิษย์คงจะไม่ใช่หงส์ แต่ดีไม่ดีลูกศิษย์อาจจะเป็นหงส์ก็ได้
อย่างท่าน โลลุทายี ท่านไม่เอาไหน แต่สามารถแนะนำ ให้พระทั้งหลาย สามารถไปได้ดี เขาไม่ได้เรียนมาจากท่าน เขาเรียนมาจากพระพุทธเจ้า แต่ว่าบางรายท่านก็ทำเขาเปิดไปเหมือนกัน
สำหรับท่าน โลลุทายี ท่านไม่ใช่เป็ด ท่านเป็นห่าน อย่างท่าน จักขุบาล นี่ท่านเป็นวิสัยสุกขวิปัสสโก แต่พระที่อยู่กับท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณกันเป็นแถว นี่จะถือว่าครูเป็นเป็ด แล้วลูกศิษย์จะเป็นเป็ดเสมอไปไม่ใช่ ครูเป็นเป็ด ลูกศิษย์อาจจะเป็นหงส์ทองก็ได้
ฉะนั้นผมก็ในขั้น อักขาตาโร ตถาคตา การประพฤติปฏิบัติเป็นหน้าที่ของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและเพื่อนภิกษุสามเณร ผมมีหน้าที่บอกเท่านั้นเอง ผู้รับฟังอาจจะทำได้ดีกว่าผู้บอกเยอะแยะไป ถมเถไป เป็นอันว่า กระพี้ในพระพุทธศาสนา ญาติโยมก็สามารถทรงตัวได้
ต่อมา แก่น จุตูปปาตญาณ หรือ ทิพจักขุญาณ ท่านก็ทำกันได้ดีอีก และต่อมา ปัจจุปปันนังสญาณ ก็ดี อตีตังสญาณ ก็ดี อนาคตังสญาณ ก็ดี ท่านทำกันได้ดีมาก
ดีจนกระทั่งท่องเที่ยวไปเจอะพระในนรก เป็นพระช้างสีดอซะด้วย และก็โลกันต์บ้าง อเวจีบ้าง และก็ไปเจอะพระในปัจจุบันนี่ใกล้ๆ ในสวรรค์บ้าง พรหมโลกบ้าง เลยพรหมไปบ้าง ทำให้กำลังใจญาติโยมพุทธบริษัทมั่นคงในความดี และก็สลดหดหู่ท้อถอยในความชั่ว อย่าลืมว่าทุกคนยังเป็นปุถุชนยังไม่หนักแน่นนัก อาจจะพลาดได้ แต่พลาดน้อยดีกว่าพลาดเป็นปกติ
คำแนะนำที่ให้แนะนำไว้เป็นปกติ ก็คือ ทุกคนจงอย่าลืมความตายและตายแล้วไม่ใช่ตายสูญ ตายสูญอีกศาสนาหนึ่งไม่รู้ศาสนาไหน ได้ยินเสียงทางวิทยุบ้าง โทรทัศน์บ้าง หนังสือบ้าง “ตายแล้วสูญ” ก็เป็นเรื่องของท่าน เราอย่าไปตำหนิท่าน เมื่อท่านจะสูญก็เป็นเรื่องของท่าน พวกเราลูกศิษย์พระพุทธเจ้า “เราไม่สูญ”
เราไม่สูญ เพราะว่า เขาได้ อตีตังสญาณ ถอยหลัง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ถอยหลัง เขารู้ เขาเคยเกิดมาแล้วตั้งหลายแสนวาระ หลายแสนอสงไขยกัป เขาก็ยังไม่สูญ
อนาคตังสญาณ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร สามารถพิสูจน์พระที่ใหญ่ ใหญ่โดยฐานะ ใหญ่กว่าตัวท่านเอง ฐานะสูงกว่า อันดับไหนก็ตาม ว่าจะไปทางไหน เขาทราบ และ ปัจจุปปันนังสญาณ ไปชนกันในนรกเลย และสามารถคุยกันได้ รู้ปฏิปทาความชั่ว
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็ทำให้ทุกคนทราบ และเกิดความกลัว ว่าถ้าเราทำอย่างนั้นบ้าง อาจจะต้องมีโทษอย่างนี้ อันนี้ก็ต้องเป็น อนาคตังสญาณ พิสูจน์ตัวเองว่า ถ้าทำอย่างนั้นจะไปที่ไหน ก็ทราบได้อีก
ตอนนี้ล่ะ บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร เป็นเหตุให้บรรดาพระก็ดี ฆราวาสก็ดีที่เขาได้แล้ว เขามีความมั่นคง เอาเฉพาะคนที่มั่นคงนะ ที่เลอะเทอะมาประเดี๋ยวไปน่ะ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร บางทีมาคืนเดียวไป ผมไม่ใช่พระพุทธเจ้า มาประเดี๋ยวเดียวจะได้อะไร และก็มา ๆ ไป ๆ
ประเภทมาคืนเดียวนี่ผมไม่สนใจ ไม่สนใจเพราะท่านไม่เอาจริง แค่ใช้เวลา ๖-๗ วัน มันเป็นของไม่หนัก ชีวิตท่านทั้งชีวิต ท่านยังอยู่ไปอีกนาน แค่เวลาว่าง ๕-๖ วัน ว่างไม่ได้ ผมก็ไม่สนใจ ถ้าใครมาอยู่เพื่อปฏิบัติ ๓-๔ วัน ๕-๖ วัน ถึง ๗ วัน ผมสนใจเป็นพิเศษ บางทีผมป่วยไข้ไม่สบาย ผมคลานต้วมเตี้ยม ๆ ไปให้กำลังใจ ลงไปสอนเองให้กำลังใจ คนอย่างนี้ท่านดี
นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร และก็วัดหลายวัดที่ได้รับความรู้นี้ไป ทำให้วัดเจริญรุ่งเรือง คนที่เขารู้เหตุรู้ผล รู้กฎของบุญ รู้ผลของบุญ รู้ผลของบาป เขาก็ละความชั่ว เข้ามาทำความดี วัดเป็นศูนย์กลางแห่งการทำความดี
เป็นอันว่า ประโยชน์ของมโนมยิทธิ นี้ ประโยชน์ใหญ่มาก ทำให้คน มีความเข้าใจ ตั้งใจในเขตแดนของความสงบสุข และก็ ปลดเปลื้องความทุกข์ คือ ไม่ทำความทุกข์ให้เกิดแก่ผู้อื่น.
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จากหนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
และจาก เทปคำบรรยาย
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)