หลวงพ่อปาน โสนันโท มรณภาพวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๔๘๑ เวลา ๑๘.๐๐ น.ตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ รวมสิริอายุ ๖๓ ปี ๔๓ พรรษา ท่านได้กำหนดวันและเวลามรณภาพของท่านไว้ล่วงหน้าถึง ๓ ปี ก่อนมรณภาพท่านให้โอวาทเป็นครั้งสุดท้าย ให้ศิษย์ทุกคนอย่าทิ้งกรรมฐาน ฆราวาสอย่าทิ้งคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า จะเอาตัวรอดได้
ณ โอกาสนี้ ขอคัดย่อข้อความส่วนท้ายจากเทปที่หลวงพ่อฤาษีฯ ท่าน บันทึกไว้ในประวัติหลวงพ่อปาน มาให้ได้อ่านกันครับ
ปัจฉัมโอวาทของหลวงพ่อปาน
ท่านบอกว่า “ลูกทุกคน เมื่อพ่อตายไปแล้ว จงอย่าทิ้งกรรมฐานที่พ่อให้ไว้ เป็นกรรมฐานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าถือว่าเป็นของพ่อ ต้องถือว่าเป็นของพระพุทธเจ้า
ฆราวาสทุกคนอย่าทิ้งคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านะ แล้วจะเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าใครไม่ปฏิบัติจะเอาตัวไม่รอด แล้วจะมาโทษพ่อไม่ได้ เพราะสมบัติส่วนใหญ่พ่อให้ไว้หมดแล้ว คือมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ พ่อให้หมดแล้ว ลูกทุกคนจงพยายามรักษาไว้ให้ดี” …แล้วท่านก็อธิบายกรรมฐานตามสมควร…
ฯลฯ นี่เรื่องของหลวงพ่อปานขอเล่าย่อๆ นะ เอาแค่ตาย เพราะท่านตายดี และไอ้ความตายนี่บรรดาท่านผู้ฟังทุกท่านจงจำไว้ว่า คนเราจะเกิดมาอยู่ในฐานะเช่นใดก็ตาม มันต้องตาย
ไม่กลัวความตาย
ไอ้ความตายนี่อย่าไปกลัวมันเลย ไม่ควรกลัวตาย คนเราเดินเข้าไปหาความตายทุกวัน ถ้าขืนไปกลัวความตาย มันก็หลอกตัวเอง คนไหนยังหลอกตัวเอง คนนั้นยังเอาดีไม่ได้
ต้องพยายามรู้ตัวไว้เสมอ ว่าเราเกิดมาเพื่อตาย นี่เป็นอันดับแรก แล้วก่อนที่จะตาย เราต้องรับผลของกรรม กรรมมีอยู่ ๒ อย่างคือ กรรมดีอย่างหนึ่ง กรรมชั่วอย่างหนึ่ง
ผลของกรรม
กรรมชั่วที่เราทำไว้ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี มันให้ผลเป็นทุกข์ จำไว้นะ การป่วยไข้ไม่สบายก็ตาม ความขัดข้องในทรัพย์สมบัติก็ตาม ความเดือดร้อนใดๆ ก็ตาม ที่มันประสบกับเราในชาตินี้ นั่นคือผลของความชั่วในชาติที่เป็นอดีต หรือความชั่วที่เราสร้างในชาตินี้ มันให้ผลเป็นความเร่าร้อน
ถ้าผลอันใดเกิดจากความสุขกายสบายใจ ความรื่นเริงหรรษา นั่นมันเป็นผลของความดีที่เราทำไว้แต่ชาติก่อนให้ผล หรือว่าความดีในชาตินี้ให้ผล
มีบางคนตัดพ้อ
บางรายบอกว่าบุญก็ทำ ผ้าป่าก็ทอด กฐินก็ทอด บาตรก็ใส่ ทำไมยังป่วยไข้ไม่สบาย มีความเจ็บไข้เรื่อย มีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาเป็นทุกข์ทำให้เกิดความเดือดร้อน ถึงกับเบื่อหน่ายในการทำบุญทำกุศล โทษพระพุทธศาสนาว่าไม่ช่วย อันนี้ฉันได้ฟังบ่อยๆ
คนประเภทนี้ไม่ไหวหรอก ชาตินี้เป็นทุกข์ แล้วชาติหน้าก็ยังเป็นทุกข์ ทุกคนควรจะรู้ตัวว่า การเกิดมานี้เราไม่ได้เกิดมาดีกันนี่ ถ้าเราเป็นคนดีเราจะมาเกิดทำไม เราก็ไปนิพพานแล้ว ไอ้ที่เรายังเกิดอยู่ เพราะเรายังมีเลวอยู่มาก ควรจะรีบชำระสะสางความเลวให้สิ้นไป ควรจะเป็นคนรู้ตัวดีกว่า อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว ไอ้คนรู้ตัวกับคนเห็นแก่ตัวมันต่างกัน
ต้องคิดไว้อยู่เสมอ
เมื่อเรารู้ตัวว่า
๑.เราเกิดแล้วเราจะต้องเจ็บไข้ไม่สบาย นี่เป็นเรื่องธรรมดา
๒.เราจะต้องแก่
๓.เราจะต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่เราไม่ปรารถนาและที่เราไม่ต้องการ
๔.เราจะต้องตาย คิดให้รู้ไว้ เมื่อรู้แล้วอย่างนี้ ถ้าอะไรมันมากระทบ เราก็รู้ตัวแล้วว่ามันจะต้องมีเหมือนกับคนเดินไปข้างหน้า รู้ว่าข้างหน้ามีแม่น้ำขวาง เมื่อไปถึงพบแม่น้ำเข้าจริงๆ ก็ไม่มีการตกใจ เพราะรู้ว่ามีแม่น้ำ จะได้หาพาหนะเตรียมการเพื่อข้ามน้ำ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ชีวิตของเราก็เหมือนกัน
ถ้าบุคคลทั้งหลาย รู้ว่าสภาวะความเป็นจริงว่า เกิดมาแล้วมันมีแต่ความทุกข์ ทุกข์เพราะอาหาร ทุกข์เพราะการบริหารการงาน ทุกข์เพราะการกระทบกระทั่ง ทุกข์เพราะการป่วยไข้ ทุกข์เพราะความแก่ ทุกข์เพราะความตาย ทุกข์เพราะความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น นี่มันเป็นตัวทุกข์ รู้แล้วว่ามันจะต้องทุกข์ เราก็ทำให้มันไม่ทุกข์เสีย ถ้ามันกระทบอะไรเข้า เราก็รู้สึกว่าอันนี้มันธรรมดา เรารู้อยู่แล้ว
แล้วเราก็คิดต่อไปด้วยว่า ทุกข์อันนี้เราจะให้มีแต่ชาตินี้ชาติเดียว ชาติต่อไปไม่ให้มันมีอีก หมายความว่า เราจะไม่เกิดมาเพื่อให้ทุกข์อีก ถ้ายังเกิดตราบใด เราก็ยังต้องมีความทุกข์อยู่เพียงนั้น
ไม่เกิดต้องทำอย่างไร
ทีนี้คนที่จะไม่เกิดต้องทำอย่างไร มันทำไม่ยาก ทำง่ายๆ คือ
๑.รักษาศีลให้บริสุทธิ์ คนรักษาศีลน่ะเป็นคนดี ไอ้คนไม่มีศีลน่ะเป็นคนระยำ จำไว้ให้ดี ถ้าเราอยากจะเป็นคนดี เราต้องเป็นคนมีศีล ถ้าเรายังปฏิบัติศีลไม่ได้ ให้รู้ตัวว่าเราระยำเต็มทีแล้ว เลวเต็มทีแล้ว ให้รู้ตัวไว้ อย่าเป็นคนเข้าข้างตัว จงเป็นคนรู้ตัวดีกว่าคนเข้าข้างตัว
๒.รักษาสมาธิให้ตั้งมั่น ซึ่งเป็นของที่ไม่ต้องลงทุน
๓.ปลงสังขาร ไว้ว่า โลกทุกโลกเป็นแดนของความทุกข์ สังขารทุกสังขารเป็นดินแดนของความทุกข์ เราจะเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ก็ไม่พ้นทุกข์
ถ้าเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม ก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน เราไม่ต้องการโลกทั้ง ๓ ประการ และไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ขึ้นชื่อว่ามนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนา สิ่งที่เราปรารถนาจริงๆ ก็คือ พระนิพพาน ภาวนาไว้ว่า สิทตะมหานิพพานัง หรือ นิพพานัง เฉยๆ ก็ได้ นึกไว้ว่า นิพพานๆ เราต้องการพระนิพพาน
เราต้องการนิพพาน
โลกนี้ทั้งหมดเราไม่ต้องการอะไร ความรัก ความเกลียด ความโกรธ ความเร่าร้อน เราถือเป็นของธรรมดา อะไรจะมากระทบกระทั่ง นั่นถือเป็นเรื่องธรรมดา เราจะเปลื้องสมบัติสภาวการณ์ต่างๆ ของโลกให้สิ้นไป
เราอยู่กับโลก เราจะอาศัยโลกและสมบัติของโลกชั่วคราว เมื่ออัตตภาพมีอยู่ เมื่อความสิ้นไปแห่งอัตตภาพมีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละเราจะไปพระนิพพาน
ไม่อยากเกิดอีก
แล้วก็สร้างความไม่พอใจ แต่ว่าไม่เคียดแค้น คือถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เห็นโลกก็ดี เห็นวัตถุก็ดี เห็นคนก็ดี เห็นสัตว์ก็ดี คิดว่าสภาพทั้งหลายเหล่านี้ เป็นดินแดนที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น เป็นดินแดนของความเกิด เราจะไม่ปรารถนาต่อไป
เมื่อมีก็ใช้ ไม่มีก็แล้วไป เมื่อมันทรงอยู่ได้ก็จะทรง เมื่อมันจะตายก็ตามที อัตตภาพนี้ตายเสียได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะเราไม่มีความปรารถนา เรารังเกียจมัน เพราะร่างกาย ทุกข์ก็ไม่ปรากฏ ความเร่าร้อนก็ไม่ปรากฏ ฉะนั้น…ขึ้นชื่อว่าความเกิดทั้งสิ้นเราไม่ปรารถนากันอีก.
เอาละ..สำหรับเทปนี้ก็ขอยุติเพียงเท่านี้ ถือว่าเป็นการสิ้นสุดเรื่องของหลวงพ่อปานเพียงย่อๆ เล่ามา ๔ เทปเป็นเวลา ๘ ชั่วโมง
ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูลผล จงมีแด่ท่านผู้ฟังทุกท่าน และขอให้ทุกท่านจงประสบผลดี ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงแล้ว ขอบรรดาพุทธบริษัทซึ่งเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติตาม จงถึงธรรมที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงแล้วโดยทั่วทุกคน
ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่ท่านทุกกาลทุกสมัยตลอดชีวิตเทอญ.
(ตอนนี้หันไปดูนาฬิกา ปรากฏว่าเป็นเวลาตี ๔ พอดี คือ เวลา ๔.๐๐ น. ของวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๒ เอาล่ะชื่อว่าเป็นอันสวัสดี เรื่องราวทั้งหลายของหลวงพ่อปานก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้)
เล่าโดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง