ศูนย์พุทธศรัทธา
- ประวัติศูนย์พุทธศรัทธา
- ดำริในการสร้างศูนย์พุทธศรัทธาของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
- เยี่ยมชมศูนย์ฯ
- ครบรอบ ๒๐ ปี ผลการดำเนินงานและกิจกรรมของศูนย์ฯ
- ครบรอบ ๒๕ ปี ผลการดำเนินงานและกิจกรรมของศูนย์ฯ
- ครบรอบ ๓๗ ปี /๒๕๖๕
- สมเด็จองค์ปฐม ปางพุทธลีลาประทานพร
- ตำนานเมืองขีดขิน-เมืองโบราณใกล้ศูนย์พุทธศรัทธา
- พระบูชา/วัตถุมงคล
- การเดินทางไปศูนย์ฯ
มโนมยิทธิ
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
กิจกรรมบำเพ็ญกุศล
ห้องธรรมะ/เรื่องเล่า
ลิ้งก์เว็บไซต์ที่เกี่ยวเนื่อง
กำหนดการงานบวชวันพ่อ ๕-๗ ธันวาคม ๒๕๕๗
โพสท์ใน กิจกรรม ๒๕๕๗
ติดป้ายกำกับ งานบวช, วันพ่อ
ปิดความเห็น บน กำหนดการงานบวชวันพ่อ ๕-๗ ธันวาคม ๒๕๕๗
วิธีแนะนำคนใกล้จะตาย
ผู้ถาม :- “หลวงพ่อเจ้าขา คนที่ใกล้จะตายมีหลายคน ควรจะแนะนำให้วางอารมณ์แบบจับนิมิตแบบใด จึงจะเหมาะสมและเข้านิพพานได้ดีเจ้าคะ…?”
หลวงพ่อ :- “ถ้าคนป่วย ถ้าป่วยมากมีทุกขเวทนามาก ไม่ควรแนะนำอย่างอื่น ควรแนะนำสั้นๆ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าหรืออย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่านะ ถ้าไปแนะนำยาวๆ จะเกิดอาการกลุ้ม กลุ้มแทนที่จะไปนิพพานก็จะดันไปนรกไป
ถ้าเราต้องการให้เขาไปนิพพานมันก็ยากอยู่นะ ให้นึกว่า นิพพานะ สุขัง บอกสั้นๆ อย่าบอกยาวนะ ถ้าคิดว่าป้องกันไม่ลงนรก ให้ภาวนาว่า พุทโธ ถ้าเขาภาวนาไม่ไหว ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์หนึ่งองค์ใดก็ได้ นึกถึงพระไว้ นึกถึงพระสงฆ์ก็ได้ อย่าไปแนะนำยาวๆ คือว่าเวลานั้นทุกขเวทนามากจะกลุ้ม
แนะนำให้ดีนะ…ถ้าแนะไม่ดีจะลงไป ดีไม่ดีจิตใจเขาดีอยู่แล้ว เราพูดมากไป เขากลุ้มจะลงนรกไป”
ผู้ถาม :- “ก็ต้องดูตาม้าตาเรือ”
หลวงพ่อ :- “ดูตาคน ถ้าตาลอยๆ ตาปรือๆ อย่าไปพูดมาก”
จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๑๐๗-๑๐๘ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
คาถาของท่านพระยายม
ผู้ถาม :- “คุณแม่ป่วยอาการหนักร่อๆ แร่ๆ ก็อยากจะให้หลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ หาวิธีย่อๆ ให้แกตายสะดวกๆ ได้ไหมครับ…?”
หลวงพ่อ :- “ฉีดมอร์ฟีนเข้าไป หายปวด ตายไม่ตายไม่เกี่ยว…ยานี้เพียงแค่ระงับทุกขเวทนาเท่านั้น เอายังงี้ดีกว่า ถ้าคนนี้มีความมั่นใจนะ ฉันมีคาถาอยู่บทหนึ่งเป็น คาถาของพระยายม ใช้เยอะได้ผลมาก แต่ระวังให้ดีนะ ถ้าแกหายดีขึ้นแล้วก็แกนั่งบ่น “ไอ้ทรัพย์ของกู ไอ้ทรัพย์ของไอ้นั่น ไอ้ทรัพย์ของไอ้นี่ มึงเอาอันไหนก็เอาไป” นี่ยุ่งเชียวนะ
คือว่าปี ๒๕๐๘ ฉันไปสอนกรรมฐานที่วัดสะพาน สอนมโนยิทธิเต็มกำลังน่ะ แล้วก็บังเอิญเจ้าอาวาสน่ะเป็นโรคทรมาน เป็นแล้วแน่นทะลึ่งพรวดๆ ใช่ไหม…แล้วไอ้ตอนกลางวันวันหนึ่งฉันนอนอยู่ พระยายมท่านก็มา ท่านเจ้าอาวาสท่านชื่อ สำเภา บอกว่า
“อย่างโรคท่านสำเภานี่ คาถาเขามี ระงับทุกขเวทนาได้ แต่ว่าคาถาของผมกันให้ไม่ตายไม่ได้ รักษาโรคให้หายก็ไม่ได้ แต่เวทนาจะไม่มี”
คาถาท่านมี ๕ คำ คือ นะ โม พุท ธา ยะ เท่านี้เองนะ ฉันใช้มาเยอะแล้วมีผลจริงๆ แล้วท่านอาจารย์สำเภาจะตายใช่ไหม…แน่นทะลึ่งพรวดๆ เห็นเข้าก็ไปเป่า แต่ก่อนจะเป่าให้คนเขาจุดธูปบอกพระพุทธเจ้าก่อนนะ ขออาราธนาบารมีแล้วบอกพระยายม ก็ใช้ไม่ถึง ๒ นาทีก็เงียบสงบ เวลาเป่าอยู่นั้นสงบมาก พอเลิกเดี๋ยวโดดอีกแล้ว เขาเอาไปใช้หลายคนได้ผล
แล้วมีครั้งหนึ่งไปที่โรงพยาบาลตำรวจ บังเอิญคนเขาถูกยิงด้วยลูกซอง กระสุนก็จมลงไปไม่ลึกมาก หมอก็ดึงกระสุนออก แกไม่ฉีดยาชา เสียงโอ้ยๆๆ ผู้อำนวยการคนเก่าเขาเจอเข้า เขาเลยบอก “หลวงพ่อช่วยคนนั้นเขาหน่อยครับ”
ไอ้ฉันก็ไม่มีอะไรใช่ไหม ฉันไม่มีอะไร ก็เลยนึกถึงคาถาพระยายมได้ ฉันไม่ได้รับรองนะว่ามีผลแค่ไหน ก็ไปยืนอยู่ทางด้านหัวแก ก็นึกถึงคาถาพระยายม ไม่ถึง ๒ นาทีแกก็คุย หมอก็ดึงไปเรื่อย แกก็ยิ้มก็คุยตลอดเวลา ต่อมาเขาก็ไปถามว่าเป็นอย่างไร เขาบอกตอนนั้นมันรู้สึกหนึบๆ ธรรมดาไม่เจ็บอย่างแต่ก่อน
คาถาบทนี้มีประโยชน์มาก ทุกคนอนุญาตให้ใช้ได้นะ แต่ว่าก่อนที่จะใช้นี่ให้จุดธูปบอกพระพุทธเจ้าก่อน ขอบารมีท่านนะ ทั้ง ๕ พระองค์ แล้วบอกพระยายมผู้ให้ เป่าไม่ลงแรงมากนะ นึกในใจเฉยๆ นี่ให้ไปแล้วหลายสิบรายการได้ผล ป่วยกระสับกระส่ายนี่ได้ผลมากนะ สงบนะ สบายมาก
สรุปแล้วคือ ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นใช้ “นะโมพุทธายะ” แล้วอย่าลืมนึกถึงพระพุทธเจ้ากับพระยายมนะ
ท่านบอกว่าคนนี้เวลาตายไม่ตกนรกแน่ ท่านเอาบัญชีมาให้ดู บุญเก่าเขาดีมาก ถ้าบังเอิญทุกขเวทนาบรรเทาลง ให้ใช้เทปที่เกี่ยวด้วยพระนิพพานให้ฟัง ฟังได้ ได้ยินแน่ ท่านบอกว่าถึงยังไงได้ยินแน่ เพราะคนนี้กำลังบุญดีมาก ถ้าฟังที่เกี่ยวกับพระนิพพานแล้วจะไปเลย จะไปจุดนั้นเลย ถ้าตายนะ ถ้าไม่ตายก็แล้วไป
แต่ว่าไอ้ทุกขเวทนาที่มีอยู่ ถอยหลังจากชาตินี้ไม่นับนะ ๓ ชาติถอยหลังไป ๓ ชาติ ทรมานแมว ตีแมวเจ็บมากไปหน่อย ขาลากไป คือตีแล้วมันเจ็บ แล้วเราไม่ได้รักษามัน มันก็มาสนอง
และท่านสั่งว่า ทุกคนถ้าจะใช้คาถาบทนี้ ให้เอาพระพุทธรูปมาตั้งใกล้ๆ คนป่วย ให้คนป่วยเห็นง่ายๆ แล้วจะมีผลมาก แล้วท่านจะใช้กำลังท่านช่วยด้วย
คาถาต่างๆ นี่ ถ้าเจ้าของไม่ช่วยด้วยนี่ ได้ผลไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ กำลังท่านช่วย พระพุทธเจ้าท่านช่วย และพระอริยะต่างๆ ท่านก็บอกให้ทำตามนั้น และก็ทุกคนทุกรายที่จะทำนะ”
จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๑๐๔-๑๐๗ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
เที่ยวเมืองนรก โดยครูบุญชู ศรีผ่อง
บันทึกโดยนางบุญชู ศรีผ่อง อดีตครูโรงเรียนวัดจุฬามณี
ตายครั้งแรกพบชาย ๔ คนมารับ
วันนั้นเป็นวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๕ ข้าพเจ้าได้ไปทำกิจวัตรประจำวันของข้าพเจ้า คือเป็นครูน้อยประจำโรงเรียนประชาบาล ต.สามโก้ ๔ (วัดมงคลธรรมนิมิตร) อ.วิเศษไชยชาญ จ.อ่างทอง ตามปกติ แต่วันนั้นเป็นที่ข้าพเจ้ารู้สึกเกียจคร้าน ไม่มีกำลังใจที่จะสอนเด็ก และประกอบกับความง่วงผิดปกติ ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้ไปอดนอนที่ไหนมา แต่เป็นเพราะเหตุใดไม่ทราบทำให้ข้าพเจ้าง่วงอยากจะหลับอยู่เสมอ
ในวันนั้นเลยเป็นเหตุให้จิตใจของข้าพเจ้าไม่เป็นปกติ แต่ข้าพเจ้าก็จำทนสอนต่อไปจนหมดเวลา ๑๕.๑๕ น. ซึ่งเป็นเวลาเลิกทำการสอน พอปล่อยเด็กกลับบ้านแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินมาบ้านซึ่งห่างจากโรงเรียนประมาณ ๓ เส้นเศษ ข้าพเจ้ามาถึงบ้านก็เริ่มผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว และปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน คือ หุงข้าว กวาดบ้าน ถูบ้าน และอาบน้ำตนเองและบุตร
เมื่อเสร็จงานบ้านแล้วข้าพเจ้าก็นำเสื่อมาปูและนอนเล่นกับบุตร ๒ คน ในขณะนั้นเวลา ๑๖.๓๐ น.เศษ ต่อมาข้าพเจ้าหลับไปเมื่อไรไม่ทราบ มารู้สึกตัวต่อเมื่อตัวข้าพเจ้าเองมายืนอยู่ใต้ร่มไม้ มีร่มมะพร้าว ขนุน มองดูสวยงามมาก มะพร้าวและขนุนกำลังมีผลดก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่า ที่ข้าพเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ใด
ข้าพเจ้ามองดูไปรอบๆ ตัวของข้าพเจ้า บังเอิญสายตาของข้าพเจ้าก็มองไปพบถนนสายหนึ่ง ยาวเหยียดไปข้างหน้า ด้วยความอยากรู้ ข้าพเจ้ายกเท้าจะเดินไปเที่ยวถนนสายนั้น แต่ยังมิทันที่เท้าของข้าพเจ้าจะถูกกับถนน ข้าพเจ้าก็ต้องสะดุ้ง เพราะได้ยินเสียงพูด แต่เสียงดังเหลือเกิน ดังคล้ายตวาด
เสียงนั้นดังมาจากข้างหน้าของข้าพเจ้า ว่า “อ้อ…บุญชู เหมาะเลย มาเถิด นายให้มารับ ถึงเวลาแล้ว”
ข้าพเจ้าได้ยินดังนั้นก็บอกเขาว่า “ไม่ไปหรอก” พร้อมกับผละออกวิ่งทันที
แต่ชายทั้ง ๔ คนมารับก็เดินตาม และพูดว่า “ถึงเวลาแล้ว ไม่ไปไม่ได้”
ข้าพเจ้าก็หันไปบอกเขาว่า “ลุงไปบอกกับนายเถิดว่าฉันผลัดไปก่อน ฉันยังไม่ไปหรอก”
แต่เขาก็ตอบมาอีกว่า “ผลัดกับข้าไม่ได้ เอ็งต้องไปผลัดเอง”
เมื่อหมดทางเลี่ยง ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นต้องคอยก่อนฉันต้องไปบอกคนทางบ้านเสียก่อน เพราะที่มาเที่ยวนี้ไม่มีใครรู้”
แล้วข้าพเจ้าก็เดินมาหน้าบ้าน และเดินเข้ารั้วบ้านขึ้นบันไดไป ก็พบว่าบนบ้านสว่างไปด้วยตะเกียงเจ้าพายุ และมีชาวบ้านมานั่งกันอยู่เต็มบ้านพร้อมทั้งร้องไห้ ข้าพเจ้าขึ้นบันไดได้ก็ผละวิ่งจากตรงบันไดไปหาสามีของข้าพเจ้าซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ หมอ ข้าพเจ้าเสียหลักสะดุดชายเสื่อล้มลงไป
เมื่อข้าพเจ้าลุกขึ้นมา ชาวบ้านใกล้เคียงที่มานั่งอยู่บนบ้าน ข้างๆ ข้าพเจ้านั้น ต่างพากันถอยหลังหนีไปรวมกันอยู่หน้าครัวหมด และก็ต่างชิงถามกันว่า “ครูฟื้นแล้วหรือ ครูไม่ตายหรือ ครูไม่ได้หลอกพวกฉันไม่ใช่หรือ”
ข้าพเจ้าก็บอกพวกนั้นว่า “อย่ากลัวฉันเลย แต่ฉันอยากจะพูดอะไรด้วยสักหน่อยแล้วก็จะต้องไป เพราะเขามารับฉันแล้ว ฉันอยู่ไม่ได้ ฉันยังไม่อยากตาย ขอผลัดเขา เขาไม่ยอม เขาบอกให้ไปผลัดกับยมบาลเอง ฉันจึงจะต้องไป และฉันขอร้องด้วยทุกๆ คนว่า ขอให้เก็บศพฉันไว้ ๓ วันก่อน ถ้าไม่กลับหมายความว่าเขาไม่ยอม จึงค่อยจัดการเผา”
พอดีได้ยินเสียงสุนัขหอนขึ้น และข้าพเจ้าได้ยินเสียงเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “โน่นเขาเร่งมาแล้วฉันไปละ ลาก่อนทุกๆ คน”
นายเจ็กที่เป็นหมอแกจึงเอาธูปเทียนมาให้ข้าพเจ้า และบอก “พระอรหัง พระอรหัง” ตอนนี้ข้าพเจ้าเกือบจะหมดสติแล้ว รับคำพระอรหังได้ ๒ ครั้งก็หมดสติวูบไป มารู้สึกตัวว่าตัวของข้าพเจ้าเองได้มาเดินอยู่บนถนนสายนั้นเสียแล้ว
ตายครั้งที่ ๒ พบยมบาล
ในระยะที่ข้าพเจ้าฟื้นและตายไปใหม่นี้ คือฟื้นตอนประมาณ ๒๒.๐๐ น. และตายไปใหม่ประมาณ ๒๒.๐๖ น. ตลอดทางที่เดินไปนั้นข้าพเจ้าอยู่ตรงกลาง มีคนขนาบข้าง ๒ คน และอยู่หน้า ๒ คน หลัง ๑ คน เดินมาพักใหญ่จึงมาพบโต๊ะตั้งอยู่ข้างทางเดิน มีอาหารหลายชนิดตั้งอยู่บนโต๊ะ มีเหล้า ข้าว หมู ไก่ ขนมจีนน้ำยา และขนมอีกหลายชนิด
คนทั้ง ๔ ตรงเข้าไปที่โต๊ะและเรียกข้าพเจ้าว่า “บุญชูยังไม่ได้กินข้าว มากินเสียซี”
ข้าพเจ้าก็ตรงเข้าไปกินกับเขา เมื่ออิ่มแล้วก็ถามเขาว่า “ของของใคร นี่เรามากินของของเขาไม่ว่าเอาหรือ…?”
คนที่มีท่าทีว่าเป็นหัวหน้าบอกข้าพเจ้าว่า “ไม่มีใครว่าหรอก เพราะเซ่นผีไว้ อีก ๒ วัน ข้าจะกลับมาเอา”
ข้าพเจ้าถามเขาว่า “บ้านใครเล่า”
เขาตอบว่า “โน่นยังไงเล่า บ้านนางหล่ำ หัวตะพาน เขาทำบุญต่ออายุไว้ อีก ๒ วันเถิดข้าจะมาเอาตัวไป”
ข้าพเจ้ามองตามมือก็เห็นบ้านหลังนี้อยู่ข้างๆ บ้านๆ หนึ่งมีลูกกรงสีเขียว ต่อจากบ้านนางหล่ำมาอีกพักใหญ่ จึงพบขบวนคนยืนอยู่สองฟากถนน ต่างไชโยโห่ร้องรับข้าพเจ้า และร้องบอกกันว่า “พวกเรามาอีกคนแล้วโว้ย”
ข้าพเจ้าบอกกับเขาว่า “ฉันไม่มาเป็นพวกแกหรอก”
พวกนี้ส่วนมากไม่นุ่งผ้ากันเลย จากพวกนี้ไปก็ถึงสวนดอกไม้ใหญ่ ดอกนั้นสวยมากเป็นทองคำทั้งดอก ใบเป็นสีเขียวเป็นมันเหมือนมรกต ข้าพเจ้าตรงเข้าไปเก็บบ้าง ก็ถูกห้ามไม่ให้เก็บ เขาบอกว่า ถ้ายังอยากจะกลับละก้ออย่าไปเก็บ ถ้าเก็บแล้วเอ็งจะกลับไม่ได้ ข้าพเจ้าต้องเดินผ่านมาด้วยความเสียดาย
ต่อจากนี้มีบ้านเล็กๆ เป็นแถว ข้าพเจ้ารู้สึกสงสัยเพราะน้อยบ้านนักที่จะมี ๒–๓ คน โดยมากบ้านละ ๑ คน บางบ้านมีคนอยู่ใต้ถุนเต็มไปหมด ข้าพเจ้าถามก็ได้ความว่า ที่บางบ้านมีคนอยู่มากบ้างน้อยบ้าง เกี่ยวกับทำบุญของแต่ละบุคคล บางคนทำบุญไว้ดี ก็ได้อยู่บ้านสวยงาม บางคนร่วมกันทำบุญสร้างด้วยกันทำพร้อมกันก็ไปอยู่บ้านเดียวกัน บางคนทำบุญ แต่ก่อนที่จะทำว่าเขาเสียก่อน ทำโดยไม่ตั้งใจจะทำก็ไปอาศัยใต้ถุนเขาอยู่
ต่อจากบ้านที่มีเรียงรายไปอีกไกล เดินพักใหญ่ก็พบลานกว้างใหญ่ มีต้นไทรขนาด ๒๐ คนโอบ มีแท่นหินและโต๊ะหินอยู่โคนต้นไทร มีชายคนหนึ่ง ดำ ผมหยิกตาพอง รูปร่างใหญ่โตนั่งอยู่บนแท่นหินนั้น
ชายทั้ง ๔ และข้าพเจ้าเดินมาถึงตรงนี้ ก็ถูกเรียกว่า “เฮ้ย…พามาตรงนี้ซิ มาถามไถ่กันดูก่อน อีนี่ดื้อนักเรียกไม่ค่อยจะมา”
ข้าพเจ้าและชายทั้ง ๔ จึงเดินเข้าไปหยุดตรงหน้า พอข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นดูก็รู้สึกดีใจว่า ยมบาลคนนี้รูปร่างเหมือน นายเชย สิงหมี ผู้ใหญ่บ้านที่ข้าพเจ้ารู้จัก จึงถามว่า “อ้าว…ตาเชยมาเมื่อไหร่เล่า”
แต่กลับถูกตวาดว่า “เชยๆ อะไร เอ็งรู้จักข้าตั้งแต่เมื่อไร”
ทำให้ข้าพเจ้าเงียบเสียงทันที แต่ก็ยังนึกสงสัยว่า ยมบาลนี่ถ้าไม่ชื่อเชย ทำไมรูปร่างจึงเหมือนผู้ใหญ่เชยจริงๆ คล้ายกับจะเป็นลูกฝาแฝดทีเดียว แต่ยมบาลตัวใหญ่มาก ข้าพเจ้าจะพูดกับยมบาลต้องแหงนหน้าดู ข้าพเจ้ายืนอยู่ตรงหน้าคล้ายกับเอาลูกหนูไปยืนอยู่ตรงหน้าวัวตัวเขื่องๆ ทีเดียว
“เอ็งทำไมดื้อนัก ข้าให้คนไปรับยังวิ่งหนี”
ข้าพเจ้าตอบไปว่า “ฉันเป็นห่วงลูกเพราะลูกยังเล็กอยู่”
คราวนี้ยมบาลสะดุ้งทันที ร้องว่า “อ้าวพวกมึงทำไมไปทำระยำอย่างนี้เล่า ผิดตัวเสียแล้ว อีนั่นมันไม่มีลูกนี่หว่า”
เสร็จแล้วก็ไปพลิกบัญชีดู และบอกว่า “อีคนนั้นชื่อ บุญชู จิตทอง บ้านต้นโพธิ์ หมู่ ๑ จังหวัดสิงห์ฯ ตายเวลาตี ๑ ครึ่ง เป็นไข้ทับระดูตาย อีนี่ตายตั้งแต่ ๕ โมงเย็นเป็นลมตาย ไม่ใช่ๆ ผิดตัว เอ็งจัดแจงเตรียมไปเอาอีคนนั้นมา”
เดินชมสภาพเมืองนรก
พอ ๔ คนนั้นเตรียมตัวไป ยมบาลก็หันหน้ามาบอกข้าพเจ้าว่า “จะดูอะไรก็ดูเสียประเดี๋ยวจะให้เขาเอากลับไปส่ง”
ข้าพเจ้าจึงเดินดูเห็นทนายความคนหนึ่งกำลังขึ้นต้นงิ้ว ต้นงิ้วนี้น่ากลัวมาก คือสูง แหงนมองเห็นยอดลิบๆ หนามไม่ยาว แต่พอขึ้นไปหนามยาวออกเองได้ แทงทะลุท้อง ทะลุอกออกมา ตายอยู่กับหนาม เขาก็เอาคีมเหล็กจับตรงเอว ดึงออกมาวางตรงโคนต้น เอาน้ำในโอ่งใหญ่มาราดแล้วก็กลับฟื้นขึ้นมาอีก จะเลี่ยงไม่ได้ เพราะใต้ต้นก็มีทหารถือหอกคอยแทง
ข้าพเจ้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นต้นงิ้ว ซึ่งข้าพเจ้ารู้จัก ชื่อม้วน จึงถามเขาว่า “เอ๊ะ…ผู้หญิงก็ขึ้นต้นงิ้วด้วยหรือ…?”
เขาบอกว่า “ทำไมเล่า มันนอกใจผัว ไปเป็นชู้กับตาหอม” ต่างขึ้นๆ ลงๆ อยู่เช่นนั้น
ข้าพเจ้ายังได้พบชายอีกคนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าเคยรู้จัก ชื่อนายเปลื่อง จินดาวัด ถูกตัดนิ้วด้วนกุดหมด ถามได้ความว่าชอบยิงนกในวัดเสมอ บางคนก็เคยทุบหัวควาย ก็ถูกล่ามโซ่และถูกเชือดเนื้อเสียงร้องอู้ๆ น่ากลัวมาก ข้าพเจ้ามองดูด้วยความหวาดเสียว
พอข้าพเจ้าเดินดูต่อไปอีก ก็ได้ยินเสียงยมบาลบอกกับข้าพเจ้าว่า “หิวข้าวก็ไปกินซี่ ของเราอยู่โน่น”
ข้าพเจ้าจึงเดินไปดู เห็นโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่ง มีของเกือบเต็ม มีขันใส่ข้าว ซึ่งข้าพเจ้าจำได้ว่า ขันลูกนี้ข้าพเจ้าเคยใส่ข้าวไปใส่บาตร ข้าวยังเต็มขัน และควันร้อนขึ้นฉุยอยู่ ทั้งๆ ที่ขันลูกนี้ ข้าพเจ้าจำได้ว่าอยู่ที่บ้านของข้าพเจ้า หม้อแกง ถ้วย ชาม ถาด ที่ข้าพเจ้าพบที่นี่ ก็ยังอยู่บ้านข้าพเจ้าทั้งนั้น นอกจากนี้ยังมีน้ำขวดตั้งโต๊ะ
ข้าพเจ้าจึงถามเขาว่า “เอ๊ะ…ของฉันทำไมมีน้ำครึ่งขวดเท่านั้นเล่า และบางโต๊ะทำไมไม่มี”
เขาบอกว่า “พวกเมืองมนุษย์นั้นเต็มที มันไปทำบุญมันเอาข้าวกับขนมไปทำเท่านั้น มันไม่เอาน้ำมาทำบุญ มันจึงต้องอดน้ำ”
ข้าพเจ้าได้ถามถึงวิธีทำบุญด้วยน้ำ ก็ได้ความว่า ให้เอาน้ำไปใส่ขวดหรือขันที่ตั้งอยู่หน้าพระสงฆ์ เมื่อใส่บาตรเสร็จแล้วจึงกรวดน้ำแผ่กุศลต่อไป น้ำที่นำไปใส่ขวดหรือขันนี่แหละจึงจะได้กินน้ำ ถ้ามิฉะนั้นแล้วจะไม่ได้กินน้ำ ข้าพเจ้าจึงบอกกับเขาว่า ฉันได้กลับมา จะมาบอกพวกชาวบ้าน
พบบัญชีคนตาย
เมื่อข้าพเจ้าเดินออกมาตรงโต๊ะอาหาร ยมบาลก็โยนบัญชีมาให้ข้าพเจ้าดู ในบัญชีนั้นมีตัวหนังสือใหญ่ๆ แผ่นกระดาษใหญ่เท่ากับแผ่นกระดานดำที่สอนเด็ก ข้าพเจ้ามองดูมีชื่อคนมาก แต่ข้าพเจ้าก็พยายามจำแต่คนที่ข้าพเจ้ารู้จัก จำมาได้ดังนี้ คือ
๑.บุญชู จิตทอง ตีหนึ่งครึ่ง ไข้ทับระดู ๕ กุมภาพันธ์ ๙๕
๒.นางหล่ำ ๗ กุมภาพันธ์ ๙๕
๓.นางฉาย บุญวงศ์ ๔ มีนาคม ๙๕
๔.นายแม่น ทองสติ ๔ กรกฎาคม ๙๕
๕.นายปลอด สีสิงห์ อีก ๒ ปี (๔ กุมภาพันธ์ ๙๗)ข้าพเจ้าจะขอเปิดดูอีก แต่เขาไม่ยอมให้เปิด เขาบอกว่า “เอ็งหมดสิทธิ์ที่จะเปิดแล้ว เอ็งเป็นคนใจบุญเปิดไม่ได้หรอก เดี่ยวไปเที่ยวบอกเขาหมด เมื่อก่อนนี้เอ็งเป็นคนทำบัญชีให้ข้า ข้าคิดถึงเอ็ง อีก ๕ ปี ข้าจะให้ไปรับ เพราะเอ็งจะลำบากอีกมาก”
ข้าพเจ้าบอกว่า “อีก ๕ ปี ฉันไม่มาหรอก”
ยมบาลหัวเราะแล้วพูดว่า “เอ็งอยากลำบากก็ตามใจเอ็ง แต่ถ้าเอ็งไม่มา เอ็งต้องบวชลูกให้ข้า ข้าก็จะไม่ไปรับเอ็ง”
“แต่ว่าจะให้คาถาเอ็งไว้ป้องกันตัวบทหนึ่ง เอ็งพยายามท่องอยู่เสมอ อันตรายและความลำบากจะลดน้อยลงไป คาถานี้เอ็งบอกให้ทั่วๆ ไปเถิด เอาบุญ เพราะต่อๆ ไปในเมืองมนุษย์จะยุ่งใหญ่ เอ็งคอยจำนะข้าจะบอกให้ ก่อนท่องตั้ง นะโม เสียก่อนนะ แล้วท่อง จะลงจากบ้านหรือจะนอน ท่องอยู่เสมอๆ จะคุ้มภัยเอ็งได้”
ปะโตเมตัง ปะระชิวินัง สุขะโต จุติ
จิตะเมตะ นิพพานัง สุขะโต จุติข้าพเจ้าจำไว้เพื่อนำมาบอกยังมนุษยโลกต่อไป และก็เป็นที่น่าแปลกว่า ข้าพเจ้าได้ฟังเพียงครั้งเดียวก็จำได้
พบ “บุญชู” ตัวจริง
และก็พอดีเขานำ บุญชู จิตทอง มา บุญชูคนนี้กับข้าพเจ้ารูปร่างเหมือนกันมาก ข้าพเจ้าได้ยินเสียงยมบาลดุบุญชูว่า
“เอ็งนี่จะตายแล้วยังจะก่อเวร ไปลักพุทราเขามากินและผิดสำแดงพุทรา จึงตาย”
แล้วเขาก็สั่งให้ตีบุญชู ข้าพเจ้ารู้สึกกลัวจริงๆ เพราะการทรมานต่างๆ ของขุมนรกนี้เป็นที่นาหวาดเสียวมาก เมื่อบุญชูคนโน้นถูกตีด้วยหวายแล้ว ยมบาลก็สั่งให้ชายทั้ง ๔ นำข้าพเจ้ามาส่ง
มาระหว่างทาง ชายคนหนึ่งซึ่งมีท่าทางคล้ายกับเป็นหัวหน้า ได้เตือนข้าพเจ้า “อย่าลืมนะ อีก ๕ ปี เอ็งต้องบวชลูกให้พวกข้า”
ข้าพเจ้ารับคำ แต่แล้วข้าพเจ้าก็ต้องผละออกเดินห่างจากแก เพราะเวลาแกพูดมีหนอนร่วงออกมาจากปากมาก จึงถามแกว่า “ลุงจ๋า ลุงซื่ออะไรทำไมลุงจึงเป็นดังนี้”
แกก็บอกว่า “ข้าชื่อเอื้อม คนดอนรัก(คนในตำบลดอนรัก) ไปถามดูเถิดมีคนรู้จัก ลูกข้าชื่อไอ้เจือ เมื่อก่อนข้าเลี้ยงช้าง ได้เงินค่าจ้างเดือนละตำลึง เงินเหลือข้าก็ซื้อเหล้ากิน ผลแห่งการกินเหล้านี่แหละหนอนจึงกินปากข้า”
พอมาถึงบ้าน ข้าพเจ้าเข้าบ้านไม่ได้ เพราะล้อมสายสิญจน์และซัดข้าวสารไว้ จนกระทั่งลุงเอื้อมแกจับข้าพเจ้าเหวี่ยงโครมขึ้นมาบนบ้าน ทำให้บ้านไหวยวบ คนหนีกันหมด เหลือแต่ลูกสาวของข้าพเจ้าอายุได้ ๔ ปีนั่งอยู่และถามข้าพเจ้า “แม่ไม่ตายหรือ” พอบอกว่าไม่ตายหรอก จึงได้เรียกขึ้นมาบนบ้าน ข้าพเจ้ารู้สึกใจหายเพราะตอนที่ฟื้นมานี้เป็นเวลา ๘.๐๕ น.เศษ และต่อโลงเสร็จเรียบร้อยแล้ว
พวกชาวบ้านและพระขอร้องให้ข้าพเจ้าเล่าให้ฟ้ง และข้าพเจ้าได้ถามถึงลุงเอื้อม ก็ได้ความว่าเป็นพี่ชายนายทัน ผู้ใหญ่บ้าน และตายไปประมาณ ๓๐ ปีแล้ว ผู้มีชื่ออยู่ในบัญชี ข้าพเจ้าก็นำมาเล่าให้ชาวบ้านและพระฟังจนหมด
และต่อมาเมื่อวันที่ ๗ นางหล่ำตาย วันที่ ๔ มีนาคม นางฉายตาย วันที่ ๔ กรกฎาคม นายแม่นตาย ต่อมาคนสุดท้ายนายปลอด สีสิงห์ กำหนด ๒ ปี พอครบก็ตายพอดี แต่ก่อนตายแกไปเที่ยวขุดละลายหัวคันนาที่แกเคยรุกเขา มาคืนให้เจ้าของหมด
และต่อมาชายคนหนึ่งทางห้วยคันแหลม ได้สั่งลูกหลานไว้ หลังจากข้าพเจ้าฟื้นมาแล้ว “กูตายไปละก้อ มึงเอาขวานใส่โลงไปให้กูด้วย กูจะเอาขวานไปโค่นต้นงิ้ว”
พอตายลูกหลานก็เอาขวานใส่ไปให้จริงๆ ต่อมาแกกลับมาเข้าทรงเด็กๆ ให้ไปขุดขวานขึ้น แกบอกว่า “ไม่ไหวละ มันเอาขวานทุบหัวเสียอีกด้วยซิ แทนที่จะเอาขวานไปโค่นต้นงิ้ว”
ในที่สุดพวกลูกต้องไปขุดเอาขวานขึ้น.
(จบบันทึกของครูบุญชูไว้เพียงแค่นี้ เรื่องตายแล้วฟื้นนี้มีประสบเหตุการณ์หลายราย การที่ไปพบเห็นในสภาพต่างๆ คล้ายๆ กันนั้น ก็เป็นไปตามอำนาจของบุญกุศลของผู้นั้น หรือแล้วแต่เจ้าหน้าที่เขาจะอนุญาตให้พบเห็นได้ แต่ก็พอเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า คนเราตายแล้วไม่สูญ นรกสวรรค์มีจริง ทำกรรมดีได้ดี ทำกรรมชั่วได้ชั่วอย่างแน่นอน)
จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๙๐-๑๐๑ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
โพสท์ใน หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
ติดป้ายกำกับ นรก, บุญชู
ปิดความเห็น บน เที่ยวเมืองนรก โดยครูบุญชู ศรีผ่อง
อาการของคนที่ใกล้จะตาย
ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ ที่หลวงพ่อบอกว่า เวลาคนใกล้จะตาย ถ้าจิตดีก็ไปดี ถ้าจิตไม่สงบก็ลงนรก แล้วคนที่ใกล้จะตายเขากำลังเจ็บปวดเล่าคะ จะให้สงบได้ยังไง…?”
หลวงพ่อ :- “ฉันไม่ได้บอกว่าสงบ บอกว่าจิตผ่องใส”
ผู้ถาม :- “เขาเจ็บปวดจะให้เขาผ่องใสได้ยังไงคะ…?”
หลวงพ่อ :- “ถึงเจ็บเขาก็ใสได้”
ผู้ถาม : -“หนูเห็นเขาร้องครวญคราง…”
หลวงพ่อ :- “ร้องเสียงดังไหม…ถ้าดังมากใสมาก อ้าว…สังเกตสิ ถ้าเสียงร้องโอ๊ยๆ อย่างนี้ใสแจ๋วเลย”
ผู้ถาม :- (หัวเราะ)
หลวงพ่ออธิบายเพื่อความเข้าใจต่อไปว่า
หลวงพ่อ :- “ถ้าเป็นบุญเขาทำได้ ถ้าบุญช่วยเขานะ จะสังเกตได้ ๒ ตอน บางทีขณะที่มีทุกขเวทนามากถึงกับทะลึ่งพรวดๆ ก็มีใช่ไหม…ตอนนั้นจิตอาจไม่ทรงตัว ก่อนจะตายจริงๆ ประมาณสัก ๒๐ นาทีจิตสงบ ถ้าตอนสงบตอนนี้จะพูดรู้เรื่องหมด นี่ฉันเจอะมาเยอะ บางคนเขาดิ้นพรวดๆ ทะลึ่งพรวดๆ ยิ่งกว่าร้องอีก ร้องด้วยทะลึ่งด้วย มันแน่นขึ้นมาเต็มที่ พอประมาณสัก ๒๐ นาที หรือเกินกว่านั้น เขาเงียบเรียบร้อย…สบาย…”
ผู้ถาม :- “แต่ยังไม่หยุดหายใจ ใช่ไหมคะ…?”
หลวงพ่อ :- “อ้าว…ยังไม่ตาย พอสบายเขาก็พูดได้เลย ถามว่าใกล้จะถึงเวลา ๑๑ โมงแล้วหรือยัง บอกว่ายัง เหลืออีก ๓ นาที พอ ๑๑ โมงเป๋ง ลืมตาปั๊บหลับปุ๊บไปเลย นี่ถ้าบุญเขามีนะ ที่ดิ้นพรวดน่ะเพราะกรรมปาณาติบาตมาสนอง ในตอนต้นเท่านั้น แต่ทำเขาตอนปลายไม่ได้”
ผู้ถาม :- “บางคนนะคะ ก่อนจะตายเขาบอกว่ามีคนมารับ แต่งตัวอย่างโง้นอย่างงี้”
หลวงพ่อ :- “ไอ้แต่งตัวอย่างโง้นอย่างงี้ ไม่มีหรอก”
ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “คือว่าแต่งชุดขาวค่ะ ใส่หัวชฎา”
หลวงพ่อ :- “อ๋อ…ถ้าอย่างนั้นน่าไปสวรรค์ ทุกคนน่ะควรจะบอกได้ ถ้าลิ้นดี”
ผู้ถาม :- “บางคนก็บอกว่านุ่งผ้าสีแดง”
หลวงพ่อ :- “ชุดนี้สบายแน่ คือทุกคนเวลาจะตาย มีแขกเชิญทั้งนั้น อยู่แต่ว่าใครจะเชิญ ถ้าหากว่าประสาทสมบูรณ์แบบนะ จะบอกได้ทุกคน ก่อนจะตายอย่างมากไม่เกิน ๗ วัน หรือ ๓ วัน จะเห็นพวกนี้มารับ จะมาเชิญ แต่สำคัญมาแค่ ๔ คน แต่งตัวแดงน่ะซิ ไม่ต้องห่วงไปสำนักพระยายมแน่
ถ้าจะไปเป็น เทวดา เทวดาจะมารับ
ถ้าจะไปเป็น พรหม มีทั้งเทวดาและพรหมมารับ
ถ้าจะไป นิพพาน จะเห็นพระอรหันต์มารับด้วย มีเทวดาด้วย มีพรหมด้วย มีพระอริยะด้วย”ผู้ถาม :- “ถ้าเป็นมนุษย์ล่ะครับ…?”
หลวงพ่อ :- “เป็นมนุษย์มีหมามารับ เอ้ย…ไม่ใช่ ถ้าเป็นมนุษย์ก็ไม่มีใครมารับซิ เป็นมนุษย์ก็ไม่จำเป็น คือไม่ต้องมีภาพ ออกปั๊บเข้าเลย ออกไปอาจจะเป็นสัมภเวสีชั่วขณะไม่กี่วัน”
ผู้ถาม :- “ออกปั๊บเข้าปั๊บ มีไหมครับ…?”
หลวงพ่อ :- “มี แต่ออกไปอยู่ ๙ วัน ๑๐ วัน เดือนสองเดือนแล้วเข้าก็มี เคยเจอะหลายราย ไม่เหมือนกัน”
ผู้ถาม :- “ขอให้หลวงพ่อเล่าเรื่องเทวดามาเชิญอีกหน่อยเถอะครับ”
หลวงพ่อ :- “พวกมาเชิญนี่เขารู้จุดหมายแน่นอนนะ อย่างเรื่อง ครูบุญชู ศรีผ่อง อยู่จังหวัดอ่างทอง แกตายผิดระเบียบ เพราะคนที่จะตายชื่อ นางสาวบุญชู จิตทอง แต่ผู้มารับแกแวะเล่นเอานางบุญชูเข้าให้ พวกรับผิดตัว เขาให้มารับนางสาวบุญชู บ้านอยู่จังหวัดสิงห์บุรี แล้วบัญชีเขาก็ชัด บอกบ้าน บอกตำบล บอกต้นไม้ บอกเลขบ้านเสร็จ แล้วก็บอกอาการโรค และเวลาที่จะตายด้วย คือว่าจะเป็นไข้ทับระดูตาย ตายเวลาตีหนึ่งครึ่ง แต่พ่อพวกนั้น พ่อมาตั้งแต่ตอนเย็น พ่อล่อเอานางบุญชูไปเลย”
(เรื่องนี้บังเอิญได้ไปพบ หนังสือเที่ยวเมืองนรก ซึ่งบันทึกโดย นางบุญชู ศรีผ่อง อดีตครูโรงเรียนวัดจุฬามณี จึงขออนุญาตนำมาให้อ่านโดยละเอียดดังนี้)
คลิกอ่าน เที่ยวเมืองนรก บันทึกโดยครูบุญชู ศรีผ่อง
จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๘๘-๙๐ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
เรื่องของคนขี้โมโห
ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ หนูเป็นคนขี้โมโหค่ะ…”
หลวงพ่อ :- “ถ้า ขี้ โมโหดี เพราะเราไม่ได้โมโห”
ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “โมโหร้ายมากค่ะ แต่ว่าแป๊บเดียวหาย…”
หลวงพ่อ :- “โมโหร้าย ดี แต่ว่าอย่าร้ายตามโมโห ให้โมโหมันร้ายอย่างเดียว ถ้าโมโหแป๊บเดียวหาย เช้ามืดเราก็รีบโมโหเลย บอก “เอ็งโมโหเฉพาะเวลานี้นะ เวลาอื่นห้ามโมโห”
ถ้าแป๊บเดียวหายเขาเรียกว่า โทสะจริต เกิดโมโหไวหายเร็ว ที่หายเร็วแสดงว่าตัวยับยั้งมันมาก
เราก็ต้องพยายาม พอตื่นมาตอนเช้าคิดว่าวันนี้เราจะไม่โมโหใคร ตั้งใจไว้เลย แต่มันอดเผลอไม่ได้นะ มันเป็นของธรรมดา ทีนี้ถ้าเผลอ พอจะหลับเราก็นั่งนึก วันนี้เราโมโหใครบ้างหรือเปล่า บังเอิญถ้าโมโห เราก็คิดใหม่ว่าจะไม่โมโหอีก อย่างนี้ไม่ช้าก็หาย”
ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ ถ้าแกล้งทำเป็นโมโห แล้วพูดคำหยาบออกไป อย่างนี้จะเป็นไรไหมคะ…?”
หลวงพ่อ :- “ไอ้แกล้งทำเป็นโมโหนี่ เป็นลีลา แม้กระทั่งพระอรหันต์ท่านก็ทำเพื่อประโยชน์ของคนอื่น พระพุทธเจ้ามีลีลาว่า นิคคัยหะ ปัคคัยหะ ถ้าดีเราก็ยกย่องสรรเสริญ ถ้าไม่ดีก็ถูกขับออกไป ท่านทำก็เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของคนอื่น อันนี้ไม่ใช่โทสะแท้ เขาไม่ถือว่าเป็นเรื่องโทสะ เป็นเรื่องลีลาของการปกครอง
ก็เหมือนกับการแสดงละคร คนนี่มีนิสัย ๒ ประเภท คือ คนนิสัยหยาบ ต้องขู่บังคับ ถ้าคนที่มีนิสัยละเอียด ต้องปลอบ แบบนี้แสดงว่าคนนั้นเขามีนิสัยหยาบ เราแสดงออกแบบนั้น ความจริงเนื้อแท้เราไม่มีอะไร แต่เราทำเพื่อผลงาน อันนี้ไม่เสียหาย
ถ้าเข้าไปในสมาคมขี้เมา เรากินโซดาเราก็เมาเท่าเขา ทำเสียงเป็นเมา อาจจะเมากว่าคนกินเหล้าอีกนะ ทำเสียงดังกว่า เขาเรียกว่าต้องทำตามเขาไป แต่เนื้อแท้จริงๆ เราไม่เมา แต่เราก็ไม่ขัดกับสังคมใช่ไหม…”
ผู้ถาม :- “แล้วอย่างคนดื้อละคะ หนูรู้สึกว่าตัวเองดื้อมาหลายชาติค่ะ จะแก้ไขยังไงดีคะ…?”
หลวงพ่อ :- “รู้หรือว่าดื้อนะ รู้ยังไงว่าดื้อมาหลายชาติ…?”
ผู้ถาม :- “เดาเอาค่ะ”
หลวงพ่อ :- “ไอ้คนรู้ว่าดื้อนี่ แสดงว่าคนนั้นไม่ดื้อ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า คนใดก็รู้ตัวว่าเป็นพาล คนนั้นเป็นบัณฑิต คำว่า พาล แปลว่า โง่ คนไหนรู้ตัวเองโง่ คนนั้นเป็นคนฉลาด บัณฑิต เขาแปลว่า คนฉลาด”
ผู้ถาม :- “อย่างกับตั้งใจจะไม่พูด ไม่ทำอะไรให้ใครกระทบกระเทือนใจก็ห้ามใจไว้ไม่ได้”
หลวงพ่อ :- “อ๋อ…นั่นเป็นของธรรมดา หนู ต้องค่อยๆ ยั้งมันนะ เราจะตั้งใจยับยั้งทีเดียวมันไม่ได้ แต่ว่าถ้าพลาดขึ้นมา หรือเกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา ก็คิดว่าครั้งต่อไปเราจะไม่ทำอีก ถ้าสักวันหนึ่งข้างหน้ามันเผลออีก รู้ตัวอีก ก็ยับยั้งอีก ต้องทำบ่อยๆ แบบนี้มันถึงจะทรงตัวนะ
ถ้าเราคิดว่า เราจะไม่ทำอะไรเลยให้เป็นเครื่องเสียหายกระทบกระเทือนให้มันอยู่ตัว ก็แสดงว่า พอนึกปั๊บก็ให้เป็นพระอรหันต์เลยซิ มันก็ยาก ใช่ไหม…?
อย่างนี้ดี ถ้าเรารู้แบบนั้น แสดงว่าอารมณ์ยับยั้งมันมีเยอะแล้ว เพราะตามปกติคนที่เขามีกิเลสหนาจริงๆ เขาจะไม่รู้ว่าเขาสร้างความเดือดร้อน สำหรับเรา ทำไปแล้ว เรามีความรู้สึกภายหลังว่าคนอื่นเดือดร้อน รู้สึกว่าเป็นการไม่สมควร แสดงว่ากำลังกิเลสตกไปมากแล้ว ก็ค่อยยั้งมันไปนะ หนักๆ เข้ามันก็อยู่ตัวเอง”
ผู้ถาม :- “ค่ะ ขอบพระคุณค่ะ”
จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ หน้า ๕๘-๖๐ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)