ภาพงานบวชวันมาฆบูชา ๑๘-๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

      เมื่อวันมาฆบูชาที่ผ่านมา วันที่ ๑๘-๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ศูนย์พุทธศรัทธาได้จัดงานบวชเนกขัมมะบารมี ครั้งที่ ๗๑ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ได้มีผู้มีจิตศรัทธาเข้าร่วมงานบวชครั้งนี้เป็นจำนวนมาก ขอนำภาพบางส่วนของงานมาให้ทุกท่านได้ร่วมกันอนุโมทนา

อ่านเพิ่มเติม

โพสท์ใน กิจกรรม ๒๕๕๔ | ติดป้ายกำกับ , , | 3 ความเห็น

คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ สำหรับนักปฏิบัติใหม่

คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ สำหรับนักปฏิบัติใหม่
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

วัตถุประสงค์ของการฝึกมโนมยิทธิ

เพื่อให้นักปฏิบัติทุกท่าน พิสูจน์พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า นรก สวรรค์ พรหม นั้นมีจริงหรือไม่ พระนิพพานสูญจริงหรือ และเป็นการปฏิบัติทางลัดให้เข้าสู่พระนิพพานได้โดยเร็วขึ้น ไม่ใช่ฝึกเพื่อความสนุกสนานหรือเพื่อเป็นการโอ้อวดบุคคลอื่น หรือเพื่อไปเป็นหมอดูให้ชาวบ้าน

จุดประสงค์ให้ทุกท่านตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน โดยเริ่มเป็นพระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ นักปฏิบัติทุกท่านควรศึกษา สังโยชน์ ๑๐ และบารมี ๑๐ ให้เข้าใจ และอารมณ์ของพระอริยเจ้าตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงปลาย

ฉะนั้นนักปฏิบัติเมื่อได้แล้ว ควรฝึกฝนให้ชำนาญทุกอิริยาบถ โดยกำหนดจิตของตนไปเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระชินวรอยู่เป็นประจำ

การวางอารมณ์ ขณะเวลาปลอดเสียง

๑.ตัดความกังวลห่วงใยใดๆ ทั้งหลายให้หมดสิ้น และตั้งจิตแผ่เมตตาไปในจักรวาลทั้งปวง ตั้งจิตไว้ว่า เราจะไม่เป็นศัตรูกับใคร มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน

๒.กำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก พร้อมทั้งพิจารณาว่าเราเกิดมาเพื่อตาย ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้เป็นของสกปรก ไม่เที่ยง เป็นปัจจัยของความทุกข์ทั้งหลายและเสื่อมสลายไปในที่สุด ดินแดนที่มีความสุขอมตะคือพระนิพพาน ให้จิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์

๓.เมื่อพิจารณาจิตสบายแล้ว ก็ใช้คำภาวนาว่า “นะ มะ พะ ธะ” พร้อมกับกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้าว่า “นะ มะ” เวลาหายใจออกว่า “พะ ธะ” ภาวนาแบบสบายๆ อย่าบังคับให้ช้าหรือเร็วเกินไป (เมื่อรู้สึกอึดอัดให้หายใจเข้าช้าๆ หายใจออกช้าๆ ๓-๔ ครั้ง ก็จะหายเอง)

เมื่อหมดเวลาปลอดเสียงแล้ว ถ้าครูเข้าไปให้คำแนะนำ ขอให้นักปฏิบัติหยุดภาวนา วางอารมณ์เบาๆ แบบสบายๆ อย่าปักอารมณ์สมาธิให้แน่น จะเสียผล ตั้งใจฟังคำแนะนำ และปฏิบัติโดยพิจารณาตามไปด้วยทันที (ตั้งใจพิจารณาให้เห็นจริงด้วยปัญญา)

เมื่อจิตสามารถเคลื่อนตัวได้แล้ว การตอบคำถามให้ตอบตามความรู้สึกสัมผัสทางจิตก่อน มิใช่ เอาตาไปเห็น หรือ เอาหูไปฟังเสียง

ถ้าครูถามว่ามีความรู้สึกว่าเห็นอะไร ความรู้สึกของจิตแรกว่าอย่างไรให้ตอบอย่างนั้นทันที อย่าไปลังเลสงสัย ถ้ามีอารมณ์ไม่แน่ใจ อารมณ์ลังเลสงสัยที่มาขวางอยู่ ท่านบอกว่าเป็นอารมณ์เลวที่กั้นความดี มาขวางอยู่ นักปฏิบัติควรศึกษาให้เข้าใจ และตัดอารมณ์สงสัยให้หมดไป

ขณะฝึกจิตมีสมาธิ อารมณ์จิตย่อมเป็นทิพย์

เป็นการสัมผัสจริง ไม่ใช่เกิดจากความนึกคิดของเราที่จะสร้างขึ้น

ขณะฝึกตอบผิดหรือถูกยังไม่สำคัญ ขณะฝึกขอให้มีความมั่นใจในตนเอง ถือแบบปฏิบัติแบบโง่ๆ ไปก่อน ถ้าครูถามว่ารู้สึกเห็นเป็นสีอะไร ความรู้สึกของจิตแรกบอกสีขาว เราก็ตอบว่าสีขาวทันที อย่าใช้อารมณ์ที่สองหรือคิดต่อจะเกิดอุปาทาน

ข้อนี้ท่านนักปฏิบัติควรศึกษาให้เข้าใจ และควรระวังไว้ให้มาก เริ่มต้นฝึกไปแบบมืดๆ แบบตาบอดคลำช้างไปก่อน เมื่อศีล สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์ และชำนาญขึ้น ก็สามารถจะสัมผัสความเป็นทิพย์ได้ชัดเจน เหมือนตาเห็น (สภาพเห็นของจิตมีวงจำกัดมาก ฉะนั้นจึงต้องขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสมอ)

ข้อควรปฏิบัติในเวลาปกติ สำหรับท่านที่ปฏิบัติได้แล้ว

ควรรักษาไว้ให้ดีขึ้น หรืออย่างน้อยก็ให้ทรงตัว โดยจำอารมณ์ตอนขณะฝึกได้ครั้งแรกๆ

และท่านที่กำลังฝึกปฏิบัติอยู่ ควรสำรวจตนเองเสมอว่า เราบกพร่องในข้อไหนในด้านศีล สมาธิ ปัญญา (สำหรับท่านที่มาปฏิบัติใหม่ หัวข้อธรรมะบางข้ออาจยังไม่เข้าใจ ให้ศึกษารายละเอียดได้จากหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน)

ควรระวังอารมณ์ของนิวรณ์ ๕ คือ ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสระหว่างเพศ, ความโกรธความพยาบาท, ความง่วง, ความฟุ้งซ่าน, อารมณ์สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้ง ๕ อย่างนี้ ขณะปฏิบัติให้ละโดยเด็ดขาด

และในเวลาปกติระหว่างใช้ชีวิตประจำวัน ควรกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก และใช้คำภาวนา “นะ มะ พะ ธะ” สลับกับการพิจารณาร่างกาย ให้จิตสะอาด แล้วไปกราบนมัสการพระพุทธเจ้าที่แดนพระนิพพาน ทำเสมอๆ หัดทำให้คล่องทุกอิริยาบถได้ยิ่งดี

เพราะหลวงพ่อท่านแนะนำว่า การที่เราจะเคลื่อนจิตไปได้นั้น ต้องอาศัยกำลังของสมาธิ การที่เราจะเห็นภาพได้ชัดเจน ต้องอาศัยวิปัสสนาญาณ และนักปฏิบัติทุกท่านที่ต้องการให้ได้ผลดี ต้องรักษา ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ทรงตัวในระดับเดียวกันจึงจะได้ผลเต็มที่

ขอเชิญฝึกมโนมยิทธิ ณ ศูนย์พุทธศรัทธา ทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ เวลา ๑๒.๐๐ – ๑๔.๐๐ น.

ขอเชิญฝึกมโนมยิทธิ ณ ศูนย์พุทธศรัทธา
ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา ๑๒.๐๐-๑๔.๐๐ น.
โทรแจ้งขอเข้ารับการฝึกล่วงหน้าทุกครั้ง (ภายในวันศุกร์)
064-598-8878 คุณธี 081-299-6488 คุณช่างเล็ก

ศูนย์พุทธศรัทธา สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง มีการฝึกมโนมยิทธิ เป็นประจำทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ เวลา ๑๒.๐๐ น. ยกเว้นวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ตรงกับธรรมทัศนาจรและงานบุญของศูนย์ฯ 

ท่านที่จะไปฝึก ควรไปถึงศูนย์ฯ ก่อนเที่ยงครึ่ง กรุณาโทรฯ แจ้งล่วงหน้า ว่าจะไปฝึกวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ ระบุจำนวนคนที่จะเข้าฝึก เพื่อทางศูนย์ฯ จะได้จัดเตรียมครูฝึกให้พอเพียง ติดต่อ 064-598-8878 คุณธี 081-299-6488 คุณช่างเล็ก

คำถาม-คำตอบ เกี่ยวกับการฝึกมโนมยิทธิ
โดย ศูนย์พุทธศรัทธา

หลายท่านที่ไม่เคยฝึกมโนมยิทธิ และสนใจอยากฝึก มักมีปัญหาข้อข้องใจใคร่รู้ คณะผู้สอนมโนมยิทธิของศูนย์พุทธศรัทธา ได้ให้คำตอบไว้ และพร้อมตอบคำถามท่านที่สนใจ คลิกเข้าไปสอบถามเพิ่มเติม หรืออ่านคำถาม-คำตอบได้ที่

คำถาม-คำตอบเกี่ยวกับการฝึกมโนมยิทธิ โดยศูนย์พุทธศรัทธา

โพสท์ใน มโนมยิทธิ | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ สำหรับนักปฏิบัติใหม่

กำหนดการงานบวชวันมาฆบูชา ๑๘-๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

      วันศุกร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์-วันอาทิตย์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมบำเพ็ญมหากุศล งานบวชเนกขัมมะบารมี ครั้งที่ ๗๑ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในวันมาฆบูชา ณ ศูนย์พุทธศรัทธา สำนักปฏิบัติพระกรรมฐาน สาขาวัดท่าซุง

อ่านเพิ่มเติม

โพสท์ใน กิจกรรม ๒๕๕๔ | ติดป้ายกำกับ , , | 5 ความเห็น

การรักษาอารมณ์ของมโนมยิทธิ

การรักษาอารมณ์ของมโนมยิทธิ
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

วิชามโนมยิทธิ เป็นหลักสูตรทางพระพุทธศาสนาทางด้านวิชชา ๓ กึ่งอภิญญา

คำว่า มโนมยิทธิ แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ เป็นวิชาที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)นำมาสอน จุดประสงค์เพื่อให้คนได้พิสูจน์พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ในเรื่อง นรก สวรรค์ พรหม พระนิพพาน เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นจริง เป็นการตัดตัววิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นการละสังโยชน์ข้อที่ ๒ ในสังโยชน์ ๑๐

คนที่ฝึกได้ สามารถใช้จิตหรืออทิสสมานกายท่องเที่ยวไปตามภพภูมิต่างๆ ได้ เมื่อเขาไปเห็นแดนอบายภูมิ เห็นโทษจากการละเมิดศีล เขาก็จะตั้งใจและรักษาศีลได้บริสุทธิ์ เป็นการละสังโยชน์ข้อที่ ๓ คือสีลัพพตปรามาส

คนที่ฝึกมโนมยิทธิได้ การทรงอารมณ์พระโสดาบันจะได้ผลอย่างรวดเร็ว เพราะพระโสดาบันตัดสังโยชน์ได้ ๓ ข้อ คือ สักกายทิฐิ, วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส และพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง ท่านกล่าวไว้ว่า สักกายทิฐิของพระโสดาบันคือ คิดว่าตัวเราจะต้องตายแน่ และให้นึกถึงความตายอยู่เสมอ คิดว่าเราอาจจะตายวันนี้พรุ่งนี้ จะได้ไม่ประมาทในชีวิต

การรักษาอารมณ์ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน กล่าวไว้ดังนี้

การรักษาอารมณ์ของมโนมยิทธิ มโนมยิทธินี่จะพาเราเป็นพระอริยะเจ้าได้เร็วที่สุด วิธีที่จะทรงมโนมยิทธิได้ ก็คือ

๑.พยายามรักษาอารมณ์ให้ทรงอยู่ในศีล
๒.นิวรณ์ ๕ ประการ อย่าให้มายุ่งกับใจ

ไอ้นิวรณ์ ๕ ประการน่ะไปไล่เบี้ยให้ดีว่ามีอะไรบ้าง แล้วก็วิธีที่จะระงับนิวรณ์ ๕ ก็ไม่ยาก ก็คือไม่สนใจมันเสียเลยในขณะที่ทรงสมาธิ หนักเข้าๆ พยายามไม่สนใจมันซะทั้งวัน สนใจอย่างเดียวว่า จับพระรูปพระโฉมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ชัดเจนอยู่ตลอดเวลา

คำว่า “ตลอดเวลา” ท่านอาจจะบอกว่ามันยากเกินไป แต่อย่าลืมว่าผมทำมาได้ ในตอนต้นผมทำได้ ที่ผมมาพูดนี่ผมทำได้ผมถึงมาพูด มันไม่ใช่ยากเกินไป และคนอื่นเขาก็ทำได้ คืออย่างใหม่ๆ มันก็ลืมบ้าง ไม่ลืมบ้าง ลืมบ้าง นึกได้บ้าง เป็นของธรรมดา

นี่ผมไม่ตำหนิ แต่พยายามควบคุมกำลังใจว่า ถ้าว่างเมื่อไหร่จับพระรูปพระโฉมพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เป็นปกติ ถ้ามันชินจริงๆ ถ้าเราพูดอยู่ ทำงานอยู่ จิตมันก็จับเห็นพระพุทธรูปเป็นปกติ ถ้าทำได้ตลอดเวลา นี่เป็นฌานเป็น “พุทธานุสสติกรรมฐาน”

ถ้าเราเห็นพระพุทธเจ้าอยู่เป็นปกติ ท่านไม่ต้องสนใจว่าอารมณ์ของท่านจะเสื่อมเมื่อไหร่ ไม่มีคำว่าเสื่อม มันมีความแจ่มใสตลอดเวลา การที่จะเห็นเทวดา เห็นพรหม ไปนิพพานเรื่องง่ายๆ อารมณ์มันอยู่ตรงนี้

แต่ว่า ภาพพระพุทธเจ้านี่เป็นเครื่องวัดจิตของเรา ถ้าวันไหนถ้าจิตเราเลว วันนั้นภาพพระพุทธเจ้าจะไม่ผ่องใส จะมัวหมอง ถ้าเลวมากจะหายไปเลย เราก็ต้องค้นคว้าว่า มันเลวเพราะอะไร ทวนถอยหลังดูว่า ตั้งแต่เช้ามาถึงเวลานี้ เราทำอะไรผิดบ้าง ถ้าทำอะไรผิดไป เรารู้ตัวก็ขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสีย ว่าจะไม่ทำต่อไปแล้ว อารมณ์ก็จะแจ่มใสตามเดิม นี่เป็นการรักษาอารมณ์แบบง่ายๆ

ประการที่ ๒ การขึ้นไปนิพพานน่ะ ต้องขึ้นทุกวัน ถ้าวันหนึ่งหลายเที่ยวยิ่งดี การขึ้นไปไม่ต้องไปนั่งขัดสมาธิ ให้มันคล่องตัวจริงๆ เดินไปเดินมาปั๊บ!กำหนดจิตขึ้นไปถึงนิพพานเลย ขึ้นไปไหว้พระพุทธเจ้า

ต้องการรู้อะไรถามพระพุทธเจ้าโดยตรง อย่ารู้เอง ถ้ารู้เองไม่ช้าผิด ถ้าเราจะรู้อะไร ถ้ามันมีความรู้อยู่บ้าง ตัดอารมณ์รู้ทิ้งไปเสียก่อน ทำไม่รู้ไม่ชี้ ให้จิตมันทรงตัว แล้วก็เข้าไปถามพระพุทธเจ้าตรง ท่านบอกยังไงเชื่อตามนั้น ตรงกับความจริงทั้งหมด นี่เป็นการรักษาอารมณ์ ว่ากันโดยย่อนะ

สำหรับท่านที่ยังไม่ได้อย่าท้อใจคิดว่ายังไม่ได้ ก็รวมความว่าถ้าไม่มีบารมีมาในกาลก่อน ท่านก็ไม่อยากเจริญกรรมฐาน นี่เป็นเครื่องวัด คนที่ไม่มีความดีมาเลย กรรมฐานนี่เขาไม่ทำกัน

บารมี ๓ ขั้น คือถ้ามีบารมีต้น แค่บารมีต้นอย่างเดียว การเจริญกรรมฐานก็ไม่อยากทำ พอใจขั้นศีลกับทาน ถ้าหากมีบารมีเป็นอุปบารมี ก็พอใจแค่ฌานสมาบัติ ถ้าหากบารมีถึงขั้นปรมัตถบารมี จึงจะพอใจพระนิพพาน อันนี้ไปวัดใจเอาเอง

ถ้าหากว่าบารมีถึงอุปบารมี เราก็เร่งรัดเป็นปรมัตถบารมีได้ ไม่ใช่มันจมอยู่แค่นั้น มันสร้างต่อได้ นี่ขอท่านจงมั่นใจในความดีในอดีตของท่านว่าเคยสั่งสมความดีมามากแล้ว ตอนนี้ถ้าทุกคนที่ได้แล้วนะ จะไปถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอดูภาพเดิมก็จะเห็นชัดว่าเราเคยได้ฌานสมาบัติมาแล้วกี่ชาติ ถ้าท่านถามจริงๆ ท่านจะงงเต็มทีว่า โอ้โฮ!นี่เราได้มาตั้งเยอะแล้วหรือนี่.

โพสท์ใน มโนมยิทธิ | ติดป้ายกำกับ | 2 ความเห็น

บุพกรรมที่ทำให้สัตว์โลกแตกต่างกัน

บุพกรรมที่ทำให้สัตว์โลกแตกต่างกัน

วัฏสงสาร หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ ของสัตว์โลก ด้วยอำนาจของกิเลส กรรม และวิบาก หมุนวนไปตามภพภูมิต่างๆ ๓๑ ภูมิ แบ่งเป็น

๑.โลกเบื้องต่ำ ๔ ภูมิ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน
๒.โลกเบื้องกลาง ๗ ภูมิ ได้แก่ มนุษย์โลก ๑ และเทวภูมิ ๖
๓.โลกเบื้องสูง ๒๐ ภูมิ ได้แก่ รูปพรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔

ในอันดับแรกนี้จะนำสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดมานำเสนอก่อน คือ มนุษย์โลก สัตว์ที่มาเกิดในโลกมนุษย์มี ๔ จำพวกคือ

๑.ผู้มืดมา แล้วมืดไป
เป็นบุคคลที่เกิดในตระกูลต่ำ ยากจน ขัดสน ลำบาก ฝืดเคืองอย่างมากในการหาเลี้ยงชีพ มีปัจจัย ๔ อย่างหยาบ เช่น อาหารน้อย เครื่องนุ่งห่มเก่า ร่างกายมอซอ หม่นหมอง หรือเกิดมาพิการหูหนวก ตาบอด อัตคัดในเรื่องที่อยู่อาศัย เช่น อยู่ในสลัม เมื่อเกิดมาในสภาพนั้นแล้ว กลับประพฤติตนผิดศีลผิดธรรม เมื่อตายไปย่อม เข้าถึงแดนอบายภูมิ มีนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

๒.ผู้มืดมา แล้วสว่างไป
เป็นบุคคลที่เกิดในตระกูลต่ำ ยากจน ขัดสน ลำบาก ฝืดเคืองในการหาเลี้ยงชีพฯ แต่เขาเป็นคนมีศรัทธา ทำทานตามกำลัง มีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงแดนสุคติโลกสวรรค์ พรหม นิพพาน ตามกำลังวาสนาบารมี

๓.ผู้สว่างมา และมืดไป
เป็นบุคคลที่เกิดในตระกูลสูง เป็นคนมีฐานะร่ำรวย มีโภคสมบัติมาก มีรูปร่างหน้าตาดี แต่กลับเป็นคนไม่มีศรัทธา ตระหนี่ ไม่มีความเอื้อเฟื้อ มีใจหยาบช้า มักโกรธ ผิดศีลผิดธรรม เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงทุคติอบายภูมิ มีนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

๔.ผู้สว่างมา และสว่างไป
เป็นบุคคลที่เกิดในตระกูลสูง มีฐานะร่ำรวย มีโภคสมบัติมาก มีรูปร่างหน้าตาดี มีศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสนา มีจิตเมตตา กรุณา ชอบทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ พรหม นิพพาน ตามกำลังวาสนาบารมี

 

บุพกรรม คือ กรรมที่ทำไว้ในกาลก่อน ส่งผลให้เกิดความแตกต่างกัน ของบุคคลที่เกิดมาในโลกมนุษย์ เหตุหลักก็มาจาก บุญกริยาวัตถุ ๑๐ สรุปก็คือ ทาน ศีล ภาวนา

เนื่องจากเรื่องกรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดซับซ้อนมาก จึงขอสรุปโดยย่อดังนี้ :

ผู้ที่เคยให้ทานมาในอดีต
เกิดมาก็จะเป็นคนมีฐานะดี ไม่ขัดสน มีความเป็นอยู่ อย่างสุขสบาย บางคนรวยมาก บางคนก็รวยน้อย บางคนก็พอมีพอกินไม่เดือดร้อน ขึ้นอยู่กับทานบารมีที่ทำไว้ในอดีต

ผู้ที่เคยรักษาศีลมาในอดีต
เกิดมาจะเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี มีอายุยืนยาว โรคภัยไข้เจ็บน้อย มีทรัพย์สมบัติก็ปลอดภัยจากโจรภัย อัคคีภัย วาตะภัย อุทกภัย มีเพศที่สมบูรณ์ ลูกหลานบริวารเคารพเชื่อฟัง พูดจาอะไรก็มีคนเชื่อถือ และมีสติ สัมปชัญญะเป็นปกติ

ผู้ที่เคยเจริญสมาธิภาวนามาในอดีต
จะเป็นคนที่ฉลาด พูดคิดและทำอะไร ก็เป็นคนมีเหตุมีผล อ่อนน้อมถ่อมตน มีเมตตา สนใจในการปฏิบัติธรรม และเป็นสัมมาทิฐิ มีความเชื่อในเรื่องของกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าสวรรค์ นรก เป็นสิ่งที่มีจริง มุ่งมั่นทำความดี บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา เมื่อตายไปก็จะไปสู่แดนสุคติภูมิ มีสวรรค์ พรหม และพระนิพพาน เป็นที่ไป

บุพกรรมของคนที่ไม่ให้ทานไว้ในอดีต
เกิดมาก็จะเป็นคนยากจน ขัดสนในชีวิต จะกินจะอยู่ด้วยความยากลำบาก บางคนบ้านก็ไม่มีจะอยู่ ต้องไปขอทานกินก็มี

คนที่เคยละเมิดศีลในอดีต
เกิดมาจะเป็นคนอายุสั้น เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เสมอ บางคนก็มีร่างกายพิกลพิการ หูหนวก ตาบอด แขนขาด ขาขาด ฯลฯ ทรัพย์สมบัติที่มีก็ถูกโจรภัย อัคคีภัย วาตะภัย อุทกภัยเบียดเบียน ได้รับความทุกข์ความเสียหาย มีเพศไม่สมบูรณ์ ลูกหลานบริวารไม่เชื่อฟัง พูดจาก็ไม่มีใครเชื่อถือ มีสติไม่สมบูรณ์ บางคนถ้าดื่มสุราเมรัยในอดีตไว้มาก เกิดมาก็เป็นโรคปวดหัวบ่อยและบางคนก็เป็นคนวิกลจริต เป็นบ้าต้องเข้าไปรักษาในโรงพยาล ซึ่งมีให้เห็นในปัจจุบันมากมาย

คนที่ไม่เคยเจริญสมาธิภาวนาในอดีต
เกิดมามักจะเป็นมิจฉาทิฐิ ขาดปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ เป็นคนขาดเหตุผล ไม่เชื่อในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อในเรื่องของกฏแห่งกรรม ไม่เชื่อเรื่องสวรรค์ นรก ว่ามีจริง ก็จะละเมิดศีล ผิดศีล ผิดธรรม เป็นทางไปสู่อบายภูมิ มีแดนนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานเป็นที่ไป

 

หมายเหตุ :
ถ้ามองในสังคมรอบๆ ตัวเราถ้าพิจารณาให้ดีจะมีคนหลากหลายประเภท ให้เราเห็นตามที่กล่าวมานี้ โดยสรุปก็มาจากเหตุปัจจัย หรือกรรมที่เขากระทำไว้ในอดีตและผสมกับกรรมในปัจจุบัน ทำให้แต่ละท่านแต่ละบุคคล ประสบกับความสุข ความทุกข์แตกต่างกันไป สมดังพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”

โพสท์ใน นานาสาระ | ติดป้ายกำกับ | ปิดความเห็น บน บุพกรรมที่ทำให้สัตว์โลกแตกต่างกัน

ธรรมทัศนาจรภาคเหนือ ๗-๙ มกราคม ๒๕๕๔

ชมภาพและโมทนาบุญร่วมกันครับ

อ่านเพิ่มเติม

โพสท์ใน กิจกรรม ๒๕๕๔ | ติดป้ายกำกับ , , | 3 ความเห็น