หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
ปัจจุปปันนังสญาณ นี่มีประโยชน์ ในการที่เราจะรู้ว่าปัจจุบันใครอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ มีชีวิตอยู่ หรือว่าตายไปแล้ว มีความสุข หรือว่ามีความทุกข์ ผลงานที่เราสั่งงานไว้ที่โน่นที่นี่ เขาทำดีตามที่เราสั่งไหม หรือว่ามีการบิดพริ้วเป็นประการใด
อันนี้มีความจำเป็น บรรดาท่านพุทธบริษัท จำเป็นจะต้องรู้ และก็จำเป็นจะต้องทำ เพื่อเป็นความสุขของเรา
ยถากรรมมุตาญาณ เป็นญาณเครื่องบอกให้รู้ว่า ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ความเสียหายก็ดี ความได้กำไรก็ดี ที่ปรากฏขึ้นมาเวลานี้ เป็นผลของความดีมาจากไหน
นั่นก็หมายความว่า ถ้าเรารวยขึ้นมามีลาภสักการะมาก ลาภเกิดจากผลอะไร ผลความดีในชาติปัจจุบัน หรือผลความดีในชาติที่เป็นอดีต ชาติในอดีต ชาติไหน เราทำอะไรไว้ ภาพนั้นจะปรากฏ ถ้าผลงานมันขาดทุน เราก็ทราบอีกเหมือนกันว่า ขาดทุนเพราะกรรมอะไร เราทำพลาดเพราะใช้ปัญญาน้อยไป ใช้ความละเอียดลออน้อยไป หรือว่ากรรมอะไรที่เราเคยรบกวนเขาไว้ เข้ามาสั่งสม มาทำลาย มาสนองเรา
ความจริง ยถากรรมมุตาญาณ มีประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องการป่วยไข้ไม่สบาย ยถากรรมมุตาญาณ ก็บอกเหมือนกัน
เราทราบว่าการป่วยไข้ไม่สบายนี้ เราไม่ชอบ มันเสียเงิน เสียทอง เสียเวลา เสียทรัพย์สิน เสียความสุข แม้เราไม่ชอบ แต่เราก็ต้องดู อย่าไปนั่งบ่น อย่าไปนั่งว่า ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่ากรรมเก่า ๆ หรือกรรมใหม่ที่เราทำไว้
อย่างในสมัยผมเป็นเด็ก ๆ ก็ไม่เด็กนักละ ผมบวชแล้วนะ ก่อนที่ผมจะมีพรรษาครบ ๒๐ พรรษาอยู่ ๔ ปี เวลานั้น ผมกำลังอาบน้ำอยู่ที่หน้าวัด ผมทำงานทั้งวัน งานตั้งแต่เช้า เวลาผมหนุ่ม ๆ ผมทำงานยันกลางคืน ญาติโยมมาหาก็รับแขก ญาติโยมกลับไปแล้วผมก็ทำงาน ทำงานกลางวันไม่เสร็จ ผมก็ทำกลางคืน
เป็นอันว่า วันนั้นมันร้อนจัด ผมทำงาน ก่อนจะทำวัตรเย็น ผมไปอาบน้ำที่หน้าวัด ลงไปแช่น้ำได้ประมาณ ๕ นาที ร่างกายมันเย็น จิตใจก็ชุ่มชื่น เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่านับตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป จะต้องป่วยและต้องนอนโรงพยาบาล ๒ ปี
ไอ้การนอนโรงพยาบาลนี่ ไม่ใช่เพียบแปร้ ไม่ใช่เพียบ แต่ถ้าไม่เข้ามันเพียบ เข้าไปแล้วมันก็สบาย ออกมาเมื่อไรอาการเพียบแปร้อีก อาการจะไม่ซ้ำกัน แต่เข้าไปมันก็สบาย จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลจริง ๆ ๒ ปี แต่ตอนต้น อาจจะเข้า อาจจะออกบ้าง และก็ต้องไปพักฟื้นอีก ๑ ปีใกล้ ๆ โรงพยาบาล ซึ่งหมอจะติดตามรักษาให้
ความรู้สึกเกิดขึ้น ในขณะที่มีความเย็น ก็เชื่อกำลังใจ ว่าความจริงอย่างนี้ต้องปรากฏ แต่ว่า คนอย่างผม ไอ้นี่ผมก็ไม่ได้อวดนะ ผมไม่เคยไว้วางใจผมเลย ความรู้สึกของผมไม่ไว้วางใจ ผมปล่อยเวลาทิ้งช่วงไป ประมาณ ๑ อาทิตย์ วันหนึ่ง ตอนเช้ามืด ทำจิต ตอนตี ๒ เป็นปกติ ผมก็ลุกขึ้นทำกรรมฐานของผม
บางคืนผมนอนชั่วโมงเดียว บางคืนก็ไม่ได้หลับเลย เช้าก็ทำงานต่อไปร่างกายในตอนนั้นมันดีมาก ร่างกายแข็งแรง กำลังก็ดี ไม่เหมือนเวลานี้ เวลานี้วันที่พูดนี่ก็โยเย ๆ เดินก็งง นั่งก็งง นอนก็งง ไม่มีความสุข ร่างกายไม่มีความสุข แต่ใจผมมีความสุข ถ้าถามว่า พูดได้อย่างไร มันจะแปลกอะไร ผมนั่งไม่ไหว ผมก็นอนพูด ก็ใช้ไมโครโฟน นี่เวลานี้ผมก็นอน ที่ฟังเสียงนี่ผมนอนพูด ผมตั้งใจว่าขณะใดที่ผมอยู่ในระหว่างธรรมะ ถ้ามันตายเวลานั้นผมพอใจ
ผมปล่อยเวลาไว้ ๑ อาทิตย์ ต่อมาตอนเช้ามืดทำจิตสบาย ขึ้นไปกราบถามตรงพระพุทธเจ้าถามว่าความรู้สึกของผมที่ปรากฏนั้นมันจะตรงตามความเป็นจริงไหม
ท่านก็บอกว่า “จริง งานการทุกอย่างต้องระมัดระวัง อย่าให้มันยาว เพราะป่วยคราวนี้ ไม่มีโอกาสจะออกมาทำงานต่อไปได้อีก”
ท่านก็บอกชัดว่า “การป่วยคราวนี้ มันเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ตัดงานภายใน และก็จะต้องแยก ยกตัวออกจากวัดไปอยู่ที่อื่น เพราะการป่วยคราวนี้เป็นการช่วยให้ทางจิตดีขึ้น ถ้าขืนอยู่ที่วัด กำลังใจจะไม่ดีขึ้นเลย ผลแห่งการตั้งใจมาก่อนเกิด จะไม่มีผล”
ผมก็ตกใจ ไอ้ผลการตั้งใจมาก่อนเกิด มันจะไม่มีผล ผมก็ถามว่า “ไอ้ก่อนเกิด ผมตั้งใจอะไรไว้”
ภาพนั้นท่านก็บอกว่า “ก่อนเกิดน่ะมาจากพรหม เดิมทีปรารถนาพุทธภูมิมาตลอดเวลา แล้วก็มาชาตินี้จะต้องบำเพ็ญบารมีให้ใกล้เต็ม ถ้าใกล้เต็ม ท่านก็บอกตรงๆว่า มีอายุถึง ๖๐ ปี บารมีพุทธภูมิจะเต็ม และก็จะไปอยู่ชั้นดุสิต แต่ว่าสิ่งที่ตกลงกันมาว่า จะมาลาพุทธภูมิ ลาพุทธภูมิลัดตัดทางไปเลย”
คำว่า “ตัดทางไปเลย” ผมไม่ได้หมายความว่า ผมจะเป็นพระอรหันต์ หมายความว่า ถ้าปรารถนาพุทธภูมิก็ช้านานมาก อยากจะลัดไปให้มันใกล้ทางซะ เป็นสาวกภูมิดีกว่า ยังไง ๆ เราก็ต้องมุ่งพระนิพพานเหมือนกันหมด
ท่านก็บอกว่า “ถ้าพูดถึงกฎของกรรม จากการเป็นนักรบ มีการฆ่าเขาบ้าง มีการทำลายทรัพย์สินเขาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎแห่งการฆ่าเขาหนักที่สุด ต้องมีเหตุให้ต้องนอนโรงพยาบาลจริง ๆ ๒ ปี
แต่ว่าไอ้การรบแต่ละครั้ง ก็ต้องประกอบด้วยความเมตตาปรานีเหมือนกัน ถ้ายึดพื้นที่เขาได้ ยึดคนได้ ก็ให้การเลี้ยงดูปูเสื่อทะนุถนอม ถ้าเขามีความทุกข์ ก็ช่วยให้เขามีความสุข เขาไม่มีกินก็ช่วยให้เขามีกิน”
ฉะนั้น ขณะที่ไปนอนที่โรงพยาบาล คนเก่า ๆ ที่เรารู้จักจะหาไม่ได้ จะมีสักคนสองคน ทุกคนเขาจะไม่มองเราเลย รวมความว่าเขาปล่อยให้ตายดีกว่า เขาจะคิดอย่างนั้นหรือไม่ ก็ไม่ทราบนะ นี่พูดเอาเอง แต่ว่าได้รับความเมตตาปรานีจากคนใหม่ คนใหม่ให้การอุปถัมภ์ค้ำชูเป็นอย่างดี
ยิ่งการเงิน ขณะที่เข้าโรงพยาบาลจะไม่มีติดตัว จะมีอย่างมากไม่เกิน ๒๐ บาท ไอ้ ๒๐ บาทนี่มันเป็นเงินประจำกระเป๋า คือถ้าจะไม่มีขนาดไหนก็ตาม จะเก็บไว้ ๒๐ บาทเป็นประจำ ถ้ามีมากกว่านั้นก็ทำบุญหมด
มีความรู้สึกว่า “ชีวิตของเราไม่มีความหมาย ตายแล้วเราเอาไปไม่ได้ ในเมื่อเราเอาไปไม่ได้ จะเก็บเอาไว้ทำไมให้มาก ทำให้มันเป็นประโยชน์แก่คนอื่น” ก็เลยทำบุญก่อสร้าง เลี้ยงพระหมด
แล้วก็ผลที่สุด ท่านก็เลยบอกว่า “เราจะไม่เป็นไร เมื่อถูกเขาทอดทิ้งมาก ๆ ความเบื่อหน่ายก็เกิด คนเก่าทอดทิ้ง แต่คนใหม่เขาเลี้ยง อันนี้เป็นกฎของกรรมของการยึดประเทศชาติเขา ทำให้คนเก่าเขามีความลำบาก แต่ว่าเมื่อเรายึดได้ เมืองไหนเป็นเชลย เราเลี้ยงเขาให้มีความสุข ฉะนั้นคนเก่า ๆ ที่เราเคยทะนุถนอมบำรุงมา เขาจะหลีก เขาจะไม่มองเรา ไม่มีใครสงเคราะห์ แต่คนใหม่จะเข้ามาสงเคราะห์”
ความจริง บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร เป็นความจริงตามนั้น ผมนอนป่วย ๒ ปี คนเก่าๆ ทายกเห็นหน้า ๒ คนเท่านั้นไปครั้งเดียว ไม่ได้เยี่ยมนะ ไปขอทรัพย์สินที่มีอยู่ ขอผมเถอะ ผมก็เลยบอกว่า ของทั้งหมดที่มีอยู่ที่วัด เป็นของสงฆ์ ผมออกมาจากวัด ผมไม่มีอำนาจอะไรเลย ผมคิดว่าเป็นของสงฆ์จริง ๆ ไม่ใช่เป็นเล่ห์เหลี่ยม
แล้วจากนั้นมา ก็ไม่มีใครเคยไปอีก แต่ว่าคนใหม่ที่ไม่เคยรู้จัก บรรดาท่านพุทธบริษัท อุ่นหนาฝาคั่งมาก เข้าไปนอนป่วยในที่นั้น พระที่เข้ามาป่วยก็ดี ฆราวาสก็ดี พลอยได้กินอาหาร วันหนึ่ง ๆ เต็มโต๊ะ โต๊ะใหญ่ ๆ เหลือแหล่ ข้าวของใช้ของกินบริบูรณ์ สมบูรณ์ นี่แหละเป็นผลจากการยึดชาติยึดเขตเขาได้ เราบำรุงเขา
บรรดาท่านพุทธบริษัท ยถากรรมมุตาญาณ มีประโยชน์อย่างนี้.