ปัญหาเรื่อง ศีล ๒๒๗ ของพระภิกษุ

ปัญหาเรื่อง ศีล ๒๒๗ ของพระภิกษุ โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

พระเล่นล็อตเตอรี่

ผู้ถาม :- “แล้วอย่างพระเดินซื้อล็อตเตอรี่ ผิดไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “เดินซื้อไม่เป็นไร ถ้าใส่ย่ามเฉยๆ มีความผิด ไม่ได้พูดว่าใส่ย่ามนี่ แต่ข้อบังคับจริงๆ ตามกฎจริงๆ ถ้ามีล็อตเตอรี่เสี้ยวเดียวอยู่ในย่าม เขาถือว่าเล่นการพนัน ต้องถูกสึกจากความเป็นพระ เว้นไว้แต่พระที่มีอำนาจไม่รักษาพระวินัยเป็นเรื่องหนึ่งต่างหาก

นี่พูดกันตามหลักของความเป็นจริง ระเบียบเขามีอย่างนั้น อย่างกินข้าวเย็น หรือกินอาหารตอนบ่าย มีโทษแค่ปาจิตตีย์ แต่เป็น โลกวัชชะ ต้องสึก เพราะว่าชาวบ้านไม่ยอมรับนับถือ โทษที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม บางทีไม่มีโทษทางธรรม มีอยู่หลายข้อ แต่ว่าชาวบ้านไม่เล่นด้วย เขาถือว่าเป็นความผิด ก็ต้องห้ามพระเหมือนกัน คือพระนี่ต้องถือกฎหลายอย่าง

๑. พระวินัย
๒. กฎมหาเถรสมาคม
๓. ประเพณีนิยม
๔. กฎหมาย

ประเพณีนิยมนี้อาจไม่ผิดทางพระวินัย แต่ว่าชาวบ้านเขานิยมกันแบบนั้น ถ้าไปฝ่าฝืนเข้า เขาก็ไม่ให้ข้าวกิน เป็นโลกวัชชะ มีโทษทางโลก ไม่มีโทษทางธรรม

พระนี่มีโทษ ๒ อย่าง คือ ปัณณัตติวัชชะ กับ โลกวัชชะ
ปัณณัตติวัชชะ เป็นโทษทางพระธรรมวินัย
โลกวัชชะ เป็นโทษทางโลก เขาไม่นิยม ต้องเว้น

อย่างสมัยที่พระพุทธเจ้า ทรงห้ามพระพรากของเขียว ดึงใบไม้เล่น ดึงต้นหญ้าเล่น แต่ความจริงไม่มีโทษเป็นบาปเป็นปาณาติบาต แต่เวลานั้นชาวบ้านเขาถือว่าต้นไม้มีชีวิต พระพุทธเจ้าท่านรู้ว่าไม่ได้มีชีวิต แต่ว่าชาวบ้านเขาถือว่ามี ไปทำเข้า ชาวบ้านเขาเกลียดเอา ถ้าขืนไม่ห้าม พระไม่มีข้าวกิน เขาหาว่าทำลายต้นไม้ ใช่ไหม…”

การถอนหญ้าที่วัด

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ วันที่หนูไปทำความสะอาดที่วัด หนูเห็นหญ้ามันรกก็เลยถอน อย่างนี้จะเป็นอาบัติไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ฆราวาสถอนหญ้ามันเป็นอาบัติที่ไหนเล่า นั่นเป็นเรื่องของพระเขา จะมาแย่งอาชีพพระมันเกินไปละ ปัดโธ่เอ๊ย…”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ)

หลวงพ่อ :- “พระที่เขาดายหญ้าเพื่อทำประโยชน์ ยังไม่เป็นอาบัติเลย แต่ทำเล่นไม่ได้ ต้องการทำอย่างเดียวเพื่อให้ที่สะอาด ไม่ต้องการให้รกสถานที่ แต่ว่าทำเพื่อเล่นมันก็ถูกตามลีลาของพระ อย่างทำต้นหญ้าขาดหรือตั้งใจดึงเล่นให้ขาด ยังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ ถ้าชาวบ้านไม่เกี่ยวนะ ชาวบ้านไม่เป็นบาป”

เรื่องการดื่มนมของพระ

ผู้ถาม :- “แล้วการดื่มนมล่ะคะ บางวัดบอกดื่มนมไม่ได้ แต่บางวัดบอกดื่มได้”

หลวงพ่อ :- “พระดื่มนี่ นมสด นมส้ม เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ดื่มได้ และก็สงเคราะห์เป็นนมข้น นมสด นมใสได้ ในหลักมหาปเทสอย่าถือส่งเดชไปนะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดในพระวินัย”

ผู้ถาม :- “การรักษาศีล ๘ นมถั่วเหลือง ดื่มได้ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “นมถั่วเหลืองได้ ถ้าเขาคั้นแล้ว เขากรองแล้วใช้ได้ ในพระวินัยพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้พระฉันได้ ๘ อย่าง เรียกว่า น้ำอัฏฐบาน คือ น้ำผลไม้ มี น้ำมะม่วง น้ำชมพู่หรือน้ำหว้า น้ำมะปรางหรือลิ้นจี่ น้ำเหง้าอุบล น้ำลูกจันทน์หรือองุ่น น้ำกล้วยไม่มีเม็ด น้ำมะซาง แต่ว่า ผลไม้นั้นต้องไม่เท่าส้มโอ ตั้งแต่ส้มโอขึ้นไปจัดเป็นมหาผล ดื่มไม่ได้ อย่างมะพร้าวอ่อน ถึงกินน้ำก็ไม่ได้ อันนี้ท่านตรัสอนุญาตไว้ ๘ อย่าง

ต่อมาในหลักมหาปเทสท่านบอกว่า ถ้าอะไรไม่ขัดต่อพระธรรมวินัยที่เราตรัสรู้ไว้ คือ ผลไม้ต่างๆ เอามาคั้นหรือกรองก็ฉันได้ เราต้องดูในวินัยท่านตรัสไว้ตรง

เมื่อตรัสไว้ตรงแล้วก็ยังมีสิ่งประกอบ คือว่า “ในเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว อะไรที่ขัดต่อพระวินัย ห้ามทำ” อย่างยาฝิ่น เฮโรอีน สมัยนั้นไม่มี เวลานี้ก็สงเคราะห์เข้าไปในยาเสพติด เช่น สุรา ยาเมาด้วย

ทีนี้ถ้าท่านสงเคราะห์ในด้านอนุญาตให้ปฏิบัติได้ อย่างผลไม้ท่านตรัสไว้ ๘ อย่าง ขนาดไหนและเว้นขนาดไหน เราทำไม่ได้แน่ ถ้าเป็นขนาดที่ท่านอนุญาต เรากรองเสียก็ใช้ได้

อันนี้ความจริงในวินัยมีอยู่ แต่ท่านถืออย่างไรก็ไม่ทราบ ทำให้ชาวบ้านหลงผิด แต่ว่าระวังให้ดีเถอะ หน้าวัดไม่ฉัน แต่หลังวัดกระป๋องเกลื่อนหมด

เพื่อนๆ กันมีเคยถาม “เฮ้ย วัดแกกินหรือเปล่าวะ…?”

“วัดไม่ได้กินหรอก แต่พระกิน”

นี่พระพุทธเจ้าไม่ทรงห้าม ก็ไม่น่าไปเว้นให้ชาวบ้านเขาเข้าใจผิด มันกลายเป็นมายา เจ้าเล่ห์ ใช่ไหม…หลอกเขาอีก กิเลสมันก็กินหัวผุ ตรงไปตรงมาเสียดีกว่า”

เรื่องการรับเงินของพระ

ผู้ถาม :- “แล้วพระที่รับเงินหรือไม่รับเงินล่ะครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามการรับเงินรับทอง ซึ่งเป็นของรูปิยะ วินัยข้อนี้บัญญัติไว้ชัด รับเองก็ดี ให้คนอื่นรับเอาก็ดี หรือคนอื่นเก็บไว้เพื่อตนก็ดี เป็นอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ หมด ก็ล่อเสียเองไม่ดีกว่าหรือ ให้คนอื่นรับเดี๋ยวก็ใช้หมด เกิดโมโหอีก

และประการที่ ๒ ฉันไม่รับเงิน โกหกชาวบ้านอีก แต่จิตถือว่าเป็นของของตัว ใช่ไหม…

ทีนี้พระพุทธเจ้าทรงห้ามข้อนี้เพราะอะไร เพราะอย่าเอาจิตไปติด เดี๋ยวจะหาว่ารวย คิดว่ารวยมันจะเกิดกิเลส ถ้าเรารับคิดว่าไม่เป็นของเรา รับกี่บาทเป็นของสงฆ์หมด แล้วจิตอย่าไปติด เขาให้มาก็ไปทำเป็นสาธารณประโยชน์ อะไรที่จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนกลางได้ เราก็ทำให้หมดไป

เพื่อนพระด้วยกันไม่มีอาหารจะกิน ก็จัดเป็นอาหารถวายพระเป็นสังฆทาน

การก่อสร้างในวัดมีขึ้น เราไปร่วมก่อสร้างกับเขาก็เป็นวิหารทาน

ส่วนใดเป็นเรื่องของธัมมะธัมโม เอาเงินไปร่วมลงทุนด้วยเป็นธรรมทาน

ถ้าทำได้อย่างนี้ เจ้าของถวายได้อานิสงส์หลายอย่าง เจ้าของได้มากขึ้น เราก็ไม่มีโทษตามพระวินัย วินัยปรับเฉพาะจิตคิดโลภเท่านั้นแหละ

ถ้าพระอรหันต์ท่านรับ ไปปรับท่านได้เมื่อไร พระอรหันต์ท่านรับไหม…ท่านรับ ท่านไม่โกหกชาวบ้านหรอก

มีอยู่ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพาน ตรัสว่า “เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว ในกาลภายหลัง สิกขาบทเล็กน้อย ในบางสิกขาบทที่ไม่เหมาะกับกาลสมัย ให้สงฆ์เพิกถอนได้”

ทีนี้คำว่า เพิกถอน ต้องประชุมสงฆ์ทั้งโลก เราทำไม่ได้ เราก็ถอนของเราเอง ชนเลย ก็มีเท่านี้ ถ้ารับเองก็ดี ให้คนอื่นรับก็ดี คนอื่นเก็บไว้เพื่อตนเองก็ดี เรารู้อยู่เป็นอาบัติเองเท่ากัน แล้วให้ชาวบ้านรับทำไม แล้วก็มีโทษอีกคือโมโห

อย่าง เจ้าคุณโพธิวงศาจารย์ เจ้าคณะจังหวัดอ่างทอง ท่านบอกว่าตอนที่ท่านเป็นเปรียญอยู่ที่วัดเบญจฯ มีวันหนึ่งเขาโทรเลขจากบ้านไปที่วัดเบญจฯ ว่าเวลานี้โยมที่บ้านป่วยหนัก ให้มา

ท่านบอกว่า เวลานั้นท่านทราบ ท่านเก็บสตางค์มีเงินอยู่ ๘๐๐ บาท เรียกเด็กเข้ามาบอกว่า เวลานี้โยมป่วยจะเอาเงินไปใช้ ไอ้เด็กบอกว่าเหลือ ๒๐๐ บาทครับ ท่านก็ถามว่าอีก ๖๐๐ บาทไปไหน มันบอกว่าใช้หมดแล้วครับ ท่านบอกว่าตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เก็บเองดีกว่า ไม่ต้องมีโมโห

อันนี้จิตไปโกรธเด็ก โกรธเด็กมันก็เป็นบาป พอโกรธจิตก็เศร้าหมอง ท่านบอกว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา ถ้าจิตเศร้าหมองเวลานั้น ถึงแม้เราจะมีบุญอะไรก็ตาม ตายแล้วลงนรกก่อน ดีไหม…ก็ตรงไปตรงมาไม่ดีหรือ ดีไหม…

เขาให้เรารับ ชาวบ้านไปพูดว่าองค์นั้นรับสตางค์ เขาไม่ชอบใจเขาก็ไม่ให้ เขาชอบใจเขาก็ให้ มันเปิดเผยดีกว่า ถ้าเราไม่รับ ทีหลังเขารู้ว่ารวยมันซวยจัด ใช่ไหม…สู้กันตรงไปตรงมาดีกว่า อันนี้มันเลี่ยงไม่ได้

ที่ว่าไม่รับ ไม่ยินดี วัดนั้นมีการก่อสร้างไหม…พระวัดนั้นมีการป่วย ป่วยแล้วรักษาโรคหรือเปล่า เวลารักษา เอาอะไรมารักษา จะกินเข้าไปถ้าอะไรไม่พอกิน จะเอาอะไรมาซื้อ เงินซื้อ ใช่ไหม…ถ้าขึ้นรถขึ้นเรือ เขาเก็บสตางค์แล้วจะไปได้ยังไง ว่าไง…

นี่พูดเสียให้รู้ว่า ทำอย่างนี้คบหรือไม่คบ ฉันให้เลือกเอาตามชอบใจ ใช่ไหม…คบก็คบ ไม่อยากคบก็คบ เอ๊ะ…ยังไง…อีตรงนี้เห็นจะฟังยากหน่อยนะ

ความจริงอาตมาคิดว่าตรงไปตรงมาดีกว่า ถ้าเขาไปรู้ทีหลังจะคิดยังไง เขาก็เสียใจ เวลาที่เรารับ ต่อหน้าคนเรารับ ลับหลังคนเรารับ อันนี้ทำให้จิตสบาย”

ผู้ถาม :- “แล้วเงินที่เขาถวายในขณะเป็นพระ เมื่อสึกมาเป็นฆราวาสแล้ว จะนำมาใช้ได้ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “เรื่องเงินที่เขาถวายในฐานะเป็นพระ หรือศัพท์ที่เขาเรียกกันทั่วๆ ไปว่า เงินสาธุ ก่อนที่จะให้เขาสาธุก่อนนะ ถ้าสึกมาแล้วจะนำมาใช้ไม่ได้ ต้องมอบให้แก่สงฆ์ แล้วเงินพระนี่ถึงแม้ว่าถวายเจาะจงเป็นส่วนตัว ก็ใช้นอกรีตนอกรอยไม่ได้ ลงอเวจีเลย

คำว่า ส่วนตัว ต้องอยู่ในขอบเขตของความเป็นพระ หมายถึง หิวข้าวไม่มีข้าวจะกินเอาไปซื้อได้ ไม่มีผ้าจะนุ่งไปซื้อได้ ป่วยไม่มียารักษาโรคไม่มีค่าหมอไปซื้อได้ กุฏิมันจะพังก็ซ่อมแซมได้ ถ้าไปซื้อนาให้เขาเช่าซื้อข้าวขาย มันไม่ใช่เรื่องของพระแล้ว ถ้าซื้อนาต้องเป็นนาของวัด ซื้อข้าวเข้ามาเพื่อประโยชน์แก่วัด ประโยชน์ต่อสงฆ์

ตอนที่บวชกับหลวงพ่อปาน วันแรกท่านสอน ท่านบอกว่า “เงินที่เขาถวายเข้ามาใน ๑ ปี ถ้ามีเหลืออย่าให้เกิน ๑,๐๐๐ บาท ถ้าเกินต้องทำอะไรให้หมดไป เงินปีนี้อย่าให้เหลือถึงปีหน้า”

ก็ถามท่านว่า “ถ้าเขาถวายวันสิ้นปีล่ะ”

ท่านบอกว่า “ก็ตั้งใจไว้ก่อนว่า ปีหน้าจะทำอะไร” มันจะต้องมากกว่าเงินวันนั้น สร้างส้วมหลังเดียวก็มากกว่าแล้ว อันนี้ท่านตัดไว้เลย ดีจริงๆ แล้วทำให้อารมณ์เราสบาย ความรู้สึกว่ามีสตางค์น่ะไม่มี ทุกวันนะ ที่ญาติโยมให้มานะ ก่อนนี้ตั้งเยอะแยะ มันยังไม่พอกับหนี้ที่มีอยู่นะ หนี้เป็นล้าน สบายโก๋

แต่พระวินัยนี่มีความสำคัญมาก ที่นักบวชจะต้องระมัดระวังก็มีอยู่ ๑๗ สิกขาบท ดีไม่ดีตั้งแต่วันแรก อาจจะต้องอาบัติที่มีความหนักมากทำให้สังฆกรรมเสียก็ได้ นั่นก็คือปราชิก ๔ ข้อ กับสังฆาทิเสส ๑๓ ข้อ ถ้าเผลอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปาราชิก อาจจะขาดจากความเป็นภิกษุตั้งแต่บวชวันแรกก็ได้ เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาบัตินี่ไม่เคยให้อภัยนะ รู้อยู่ก็เป็นอาบัติ ตั้งใจอยู่ก็เป็นอาบัติ เผลอไปหรือสงสัยก็เป็นอาบัติ รู้หรือไม่รู้ก็เป็น

แล้วก็ส่วนใหญ่มักจะสอนว่าอาบัติบางสิกขาบท บางส่วนถ้าละเมิดแล้วแสดงตก ก็ขอบอกว่ายิ่งแสดงยิ่งตกนรก ถ้าละเมิดพระวินัยจัดว่าเป็นความผิด โดยเฉพาะปาราชิกข้อที่ ๒ ที่ขาดได้ง่าย ก็คือ ถือเอาทรัพย์สินของบุคคลอื่นที่เขาไม่ให้ ตั้งแต่ราคา ๑ บาท เป็นอาบัติปาราชิก ข้อนี้ต้องระวังให้มาก คำว่า วิสาสะ จงอย่ามีในอารมณ์

ครูบาอาจารย์สมัยก่อนบางท่านบอกว่าไม่เป็นไร เราชอบพอกัน ถือเป็นวิสาสะได้ อันนี้อย่าถือ เวลาปฏิบัติเป็น อธิศีล ต้องปฏิบัติให้ถูก นั่นก็หมายความว่า ขึ้นชื่อว่าทรัพย์สินต่างๆ ถ้าหากเขาไม่อนุญาตให้เรา จงอย่าหยิบเป็นอันขาด เพราะเวลานี้ของเล็กของน้อย ราคามันก็ถึง ๑ บาท ถ้าหยิบ ขาดจากความเป็นพระทันที คือว่าอาบัตินี้ ไม่ต้องรอโจทก์

ฉะนั้นการบวชสมัยก่อนมีคำขอบรรพชา (เดี๋ยวนี้เขาตัดทิ้งไปแล้ว) ว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คเหตวา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มา เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ที่นักบวชทุกคนจะลืมข้อนี้ไม่ได้เด็ดขาด”

จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ หน้า ๖๑-๖๙ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

เรื่องนี้ถูกเขียนใน หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม และติดป้ายกำกับ คั่นหน้า ลิงก์ถาวร