เรื่องพุทธภูมิและพระโพธิสัตว์

เรื่องพุทธภูมิและพระโพธิสัตว์ โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อครับ ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมินี่จะทราบได้อย่างไรเขาบำเพ็ญบารมีแบบไหนครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ตัวของเขาทราบเอง เหมือนคุณกินเกลือ คุณรู้ว่าเค็มหรือเปล่า…?”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “แล้วเหตุใดพระโพธิสัตว์บางองค์จึงลาจากพุทธภูมิครับ…?”

หลวงพ่อ :- “เพราะอยากลา นี่ตอบไม่ยาก คือภาระของพุทธภูมินี่เวลาเขาทำๆ ไป ถ้าตั้งระยะไว้ไม่ยาว พวกนี้เขาช่วยพระพุทธศาสนา เขาก็ทำกิจของพุทธภูมิเช่นกัน แต่ว่าถ้าหากจะช่วยพระพุทธศาสนา ถ้าความเข้มแข็งไม่มี มันช่วยไม่ได้ เพราะพวกนี้อารมณ์ของเขามีอย่างเดียว คือไม่ห่วงตัวเอง ถ้าตัวเองไม่มีกิน ถ้าคนอื่นกินได้ ไอ้นี่เขาพอใจ แต่พวกที่ลาจริงๆ ส่วนใหญ่ก็ใกล้พระนิพพานแล้ว ถ้าไม่ใกล้เขาไม่ลา ลาแล้วไม่กี่วันก็ได้พระอรหันต์ เพราะกำลังเขาเกิน อย่างคุณเรียนเตรียมอุดม ถ้ากลับไปทำงานประเภทหลักสูตรแค่ ม.๓ คุณไม่ต้องใช้กำลังมาก ใช่ไหม…?”

ผู้ถาม :- “ใช่ครับ”

หลวงพ่อ :- “เหมือนกัน คนที่ปรารถนาพระโพธิญาณเรียกว่า พระโพธิสัตว์ ทีนี้พวกที่ใกล้ที่สุด อย่างเช่น ถ้าเป็นปัญญาธิกะอย่างน้อยที่สุดก็ต้องอสงไขยที่ ๔ ในกัปนั้นแหละ ท่านจะบรรลุมรรคผลหรือกัปนั้นแหละที่บารมีจะเต็ม

สำหรับพวกที่ปรารถนาเป็นสาวกภูมินี่ใช้เวลาอย่างน้อย ๑ อสงไขยกับแสนกัป

ส่วนอัครสาวกหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย ๒ อสงไขยกับแสนกัป เข้าใจไหม…?”

ผู้ถาม :- “เข้าใจครับ…หลวงพ่อครับ หลวงปู่ปานท่านก็บำเพ็ญบารมีเพื่อปรารถนาพระโพธิสัตว์ เหมือนกันใช่ไหมครับ…?”

หลวงพ่อ :- “หลวงปู่ปานรู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ตอนแรกๆ ไม่รู้ว่าเต็มหรือไม่เต็ม เต็ม หมายความว่า ปรมัตถบารมีเต็ม มารู้ทีหลัง คือว่าเวลาทำบุญ ท่านเปล่งวาจาปรารถนาพระโพธิญาณ กลางที่ชุมนุมชน คือท่ามกลางสมาคม ท่านเปล่งชัดออกมาเลยว่า ผลงานนี้ ขอให้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่ใช่งุบงิบๆ ถ้างุบงิบละก็ยังอีกนาน กลัวเขาจับได้”

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ จะต้องฝึกอภิญญาไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ก็ต้องฝึก ถ้าอุปบารมีนี่ จะทำงานในเรื่องของอภิญญาเป็นปกติ ถ้าอุปบารมีไม่ต้องห่วงหรอก เหาะเกือบทุกชาติเกิดชาติไหนก็เหาะชาตินั้น ต้องได้อภิญญาทุกชาติ

พระโพธิสัตว์นี่ถ้าถึงขั้นปรมัตถบารมีแล้วก็ไม่ลงนรก ตอนนี้เข้าขั้นตัดนรก แต่ถ้าอุปบารมีนี่ยังเป็นลูกผีลูกคน ยังแยกไปได้ ๒ ทาง ถ้าปรมัตถบารมีต้องทำ ๑๐ ชาติ พอถึงชาติสุดท้าย ตีรวมบารมีเลย พอเข้มข้นหมด เต็มอัตราปั๊บ ท่านก็ยิ้มไปอยู่ชั้นดุสิต รอจนกว่าจะถึงวาระ พอถึงวาระแล้วก็ต้องลงมาเกิดเป็นคน ก็ต้องบำเพ็ญบารมีอีก รวบรวมกำลังบารมีแล้วก็ตรัสรู้ บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ก็คือบรรลุอรหันต์ด้วยตัวเอง”

จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๒ หน้า ๙๘-๑๐๐ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

ปฏิปทาพระโพธิสัตว์

ผู้ถาม :- “อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า ปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ ที่เป็นฆราวาสกับพระแตกต่างกันอย่างไร…และจะมีวิธีสังเกตได้อย่างไรครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ปฏิบัติคนละทาง ชาวบ้านกินข้าวได้ไม่เลือกเวลา พระต้องเลือกเวลา อย่างอื่นจะต่างกันตรงไหนเล่า…มันเหมือนกันนั่นแหละ จิตใจกว้างขวางเหมือนกัน แต่กำลังบารมีแค่ไหน สังเกตอีกทีนะ พระโพธิสัตว์ไม่หวังความสุขของตัวเอง มุ่งความสุขของผู้อื่น ถ้าหากว่าท่านช่วยให้ผู้อื่นมีความสุขได้ ท่านพอใจมาก”

ผู้ถาม :- “แล้วผู้ที่เป็นพระอริยะแล้ว ถ้าปรารถนาพุทธภูมิ จะสามารถสำเร็จได้ อันนี้จริงหรือเปล่าครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่มีใครเขาปรารถนาพุทธภูมิ จะมีความเข้มแข็งขนาดไหนก็ตาม อย่างเก่งก็แค่ฌานโลกีย์เท่านั้น ถ้าเป็นพระอริยะไปแล้วก็ถือว่าเป็นสาวกไปแล้ว…ไม่มีทาง!

ก็คิดปรารถนาให้โง่ทำไมล่ะ พระพุทธเจ้าก็ปรารถนานิพพาน พระสาวกก็ปรารถนานิพพาน เราก็ปรารถนานิพพานเสียเลยไม่ดีรึ…ถ้าแม้ยอมเสียเวลาก็เป็นไม่ได้ เพราะว่าเป็นพระอริยะแล้ว”

ผู้ชายปรารถนาพุทธภูมิ

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อครับ ผมดูหนังทางโทรทัศน์เรื่อง พระเวสสันดร ดูแล้วเกิดความเลื่อมใส นั่งดูด้วยความเคารพ โดยคิดว่าเป็นพระเวสสันดรองค์จริง เมื่อท่านให้ทานต่างๆ เพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ ผมก็ยกมืออนุโมทนาด้วยความยินดี และตั้งจิตอธิษฐานว่า…

“ด้วยกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้อนุโมทนา ในการสร้างบารมีของพระเวสสันดรในครั้งนี้ แม้พระเวสสันดรได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเพียงไร ขอให้ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญบารมีจนครบถ้วน ๓๐ ทัศ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลองค์หนึ่ง เหมือนกับพระเวสสันดรด้วยเถิด”

กระผมอยากจะทราบว่า การตั้งใจปรารถนาของกระผมจะสำเร็จสมความตั้งใจไหมครับ…?”

หลวงพ่อ :- “จะเริ่มเป็นพุทธภูมิทันทีเมื่อตัดสินใจ คือว่าเรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่นะ คนที่ถามนี่ใครนะ เข้มแข็งมากนี่ คือว่าเรื่องความปรารถนาพุทธภูมินี่ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ถ้าตั้งใจที่จะปรารถนาพุทธภูมิเป็นพระโพธิสัตว์เดี๋ยวนั้นนะ แล้วก็ถ้าตั้งใจแบบนี้นะ ถ้าคิดว่าจะไปนิพพานชาตินี้ต้องลาพุทธภูมิ

ความจริงปรารถนาพุทธภูมิดี…ดีมาก จะเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่งเอาไหม แต่เคยเล่าทีไรมันได้แสนบาทนี่…(หัวเราะ)

คือว่ามีพระอรหันต์องค์หนึ่ง เป็นปฏิสัมภิทาญาณในสมัยพระพุทธเจ้า ฉันก็จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว ท่านมีสามเณรองค์เล็กๆ อายุ ๗ ขวบอยู่องค์หนึ่ง เวลาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านก็เอาเณรไปด้วย เวลาไปหาพระพุทธเจ้า ท่านก็กราบพระพุทธเจ้าหลายครั้ง

ต่อมาเวลาขากลับ เณรน้อยก็เดินตามหลัง เณรน้อยก็คิดว่าอาจารย์ของเราเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เป็นอรหันต์อันดับสูงสุด ในด้านของความสามารถอรหันต์อีก ๓ เหล่าสู้ไม่ได้ แต่ทว่าอาจารย์ของเรายังต่ำกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั่งสูงกว่า…สู้ไม่ได้ ต่อไปนี้เราปรารถนาพุทธภูมิดีกว่า เราคิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป พอแกคิดเสร็จ อาจารย์ก็หยุด บอก “เณร! เดินข้างหน้า”

เณรก็เดินไปเดินมาแล้วก็นึก เอ…เป็นพระพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญบารมีมาก เป็นอรหันต์ปกติสาวกบำเพ็ญบารมีแค่ ๑ อสงไขยกับแสนกัปถึงจะเป็นอรหันต์ได้ พระพุทธเจ้าขั้น ปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยกับแสนกัป ศรัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขยกับแสนกัป วิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป จึงเข้านิพพาน เราเป็นอรหันต์ธรรมดาดีกว่า อาจารย์บอก “เณร! เดินหลัง”

อาจารย์ทำแบบนี้ ๓ เที่ยว เณรก็ถามว่า “อาจารย์ครับ ประเดี๋ยวให้ผมเดินหน้า ประเดี๋ยวให้ผมเดินหลัง มันเรื่องอะไรกันครับ?”

อาจารย์ก็ถามว่า “ขณะที่ฉันให้เธอเดินหน้า เธอคิดอะไร?”

เณรบอก “ผมคิดอยากเป็นพระพุทธเจ้าครับ”

อาจารย์บอก “นั่นแหละ…มันเป็นกันตั้งแต่ตอนนี้ เริ่มเป็นเมื่อคิด” ไปๆ มาๆ ไม่เอาดีกว่า เป็นสาวกดีกว่า

ก็รวมความว่า ถ้ามีความตั้งใจปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า เริ่มเป็นพระโพธิสัตว์ตั้งแต่เริ่มตัดสินใจ อย่าไปคิดว่ายังไม่เป็นนะ”

ผู้หญิงปรารถนาพุทธภูมิ

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อเจ้าขา ถ้าผู้หญิงจะปรารถนาพุทธภูมิบ้าง อย่างนี้จะปรารถนาแบบไหน…นานไหมเจ้าคะกว่าจะได้เป็น?”

หลวงพ่อ :- “สองวันก็ได้เป็น!”

ผู้ถาม :- “พุทธภูมินี่นะ…”

หลวงพ่อ :- “ใช่…ความจริงประเดี๋ยวเดียวนะ แป๊บเดียวได้เลย”

ผู้ถาม :- “ก็ไหนเขาบอกว่าต้องบำเพ็ญบารมีเป็นอสงไขยกับแสนกัป?”

หลวงพ่อ :- “ไม่ใช่หรอก…มีปากกาด้ามหนึ่ง กระดาษแผ่นหนึ่งเขียน พุทธภูมิ ได้เลย ก็บอกแค่ปรารถนานี่…ไม่ได้บรรลุนี่”

ผู้ถาม :- “แหม…เสียท่า!”

หลวงพ่อ :- “คือ ปรารถนาพุทธภูมิได้ จะบรรลุเมื่อไร ฉันพยากรณ์ไม่ได้หรอก ถ้าเราปรารถนาพุทธภูมิยังว่าลอยๆ ยังไม่พบพระพุทธเจ้าพยากรณ์ใช่ไหม…ยังไม่ถือว่ามีคติแน่นอน ต้องพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์น่ะ…มีคติแน่นอน

ถ้าเป็น ปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีต่อไป ๔ อสงไขยกับแสนกัป ถ้าเป็น ศรัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขยกับแสนกัป ถ้าเป็น วิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป สบายมาก…จะเป็นไหม…?

ก็เป็นสาวกภูมิก็พอแล้ว รีบไปดีกว่า แต่อย่าไปขัดคอกันนะ ถ้าคนที่เขามีวิสัยพุทธภูมิอยู่ ก็พูดกันไม่รู้เรื่องเหมือนกัน อย่าไปคิดว่าของเขาจะช้า เพราะกำลังเขาพอใช่ไหม…”

ผู้ถาม :- “ครับๆๆ มิน่าเล่าเจอพระบางองค์ พอคุยถึงเรื่องมโนมยิทธิ โอ๊ย! ไม่ดีหรอก…เราปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ อย่าไปคุยเรื่องนั้นเลย”

หลวงพ่อ :- “ดี…ดีมาก”

ผู้ถาม :- “แสดงว่า…”

หลวงพ่อ :- “พระยายมเขาจะได้ไม่ว่างไง!”

ผู้ถาม :- “ทำไมล่ะครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ปรารถนาพุทธภูมิไม่มีความเป็นพระอริยะ มีแต่ฌานโลกีย์เพื่อคุ้มครอง ถ้าคนจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องพิสูจน์ทุกอย่าง ตั้งแต่อเวจีขึ้นมาต้องรู้หมด”

ผู้ถาม :- “รู้หมดที่หลวงพ่อว่านี่หมายความว่า…”

หลวงพ่อ :- “คือหมายความว่า ถ้า บารมียังต่ำ ขั้นต่ำฌานโลกีย์ยังคุมไม่ถึง ฌานขั้นต้นฌานก็ไม่มั่นคง ใช่ไหม…ยังมีโอกาสพลาดลงอบายภูมิ ต่อมาถ้าบารมีเป็น อุปบารมี ก็ปลอดบ้างไม่ปลอดบ้าง ถ้าเป็น ปรมัตถบารมี นี่ปลอดหมด กว่าจะเลื้อยได้แต่ละบารมีนี่ โอ้โฮ! ฉันลองดูแล้ว”

ผู้ถาม :- “เป็นยังไงครับ…?”

หลวงพ่อ :- “แหม…ไม่มีเหงื่อจะไหล มันไหลเสียจนหาเหงื่อไหลไม่ได้”

ผู้ถาม :- “โอ หนักจริงๆ นะ”

พระเวสสันดรบริจาคลูกเมียเป็นทาน

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อเจ้าขา ลูกดูโทรทัศน์เรื่อง พระเวสสันดร ดูแล้วก็สงสารจับจิตจับใจ นึกถึงพระพุทธเจ้าว่าจะบำเพ็ญบารมีทั้งที ทำไมถึงทำให้ภรรยาเดือดร้อน ลูกชายเดือดร้อน ลูกสาวเดือดร้อน ทานบารมี ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เราจะได้ผลสมบูรณ์แบบหรือเปล่าเจ้าคะ?”

หลวงพ่อ :- “ได้…สมมุติว่าคนอื่นเขาเก็บสตางค์ไว้แสนบาท เราก็ขโมยไปแสนบาท เราก็มีความสุข แต่เจ้าของสตางค์ก็เดือดร้อน ใช่ไหม…เรื่องนี้เป็นของ พระโพธิสัตว์ ถ้าหากว่าไม่ได้บริจาคลูกเมียให้เป็นทาน ไม่สามารถจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณได้ มีความจำเป็น

ความจริงเรื่องความเดือดร้อนเป็นกฎของกรรมเก่า แต่ความจริงเทวดาเขาช่วยอยู่แล้วนะ แต่เรื่องกฎของกรรมไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ อย่าง กัณหา และ ชาลี ท่านยกให้ ชูชก ใช่ไหม…ความจริงชูชกควรจะถนอมน้ำใจเด็ก กลับมัดมือแล้วก็เฆี่ยนตี มันเป็นกฎของกรรมเดิม อยากทราบไหมล่ะ…?”

ผู้ถาม :- “แหม…ดีครับ ยังไม่มีใครเล่าเลยครับ”

หลวงพ่อ :- “เจ้าของปัญหาต้องจ่ายมา ๑๐๐ บาท”

ผู้ถาม :- “อ๋อ…ยกครูหรือครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ไม่ใช่ยกครู ใส่ย่ามครู ยกครูไม่ไหว ดีไม่ดีครูคอหักตาย…

คือกรรมเก่า สมัยหนึ่งทั้งกัณหาและชาลี (เวลานี้ท่านไปนิพพานหมดแล้วนะ) ทั้งสองท่านเคยเกิดเป็นลูกชาวนา แล้วก็คุณเตี่ยชูชกเป็นควายแก่ ทีนี้พ่อแม่ตกกล้าไว้ เจ้าควายแก่ก็ย่องมากินเสมอ พ่อแม่ก็ยกหน้าที่ให้ลูกเล็กทั้งสองคอยไล่ควาย ไล่ไปเผลอๆ ก็มาใหม่ พ่อแม่ก็ดุหลายครั้งเข้า ก็นัดกันว่า ถ้าพรุ่งนี้ควายมากินข้าวกล้าใหม่ จะเอาไปจับผูกกับต้นไม้ไว้แล้วก็เฆี่ยนตี ก็ทำตามนั้นจริงๆ ตีจนเป็นที่ชอบใจแล้วก็ปล่อยไป ไอ้กรรมอันนี้แหละ…ที่เข้ามาสนอง

แต่ว่านั่นเป็นกรรมของกัณหาและชาลีท่านนะ ไม่ใช่พระเวสสันดร แต่ว่าอาศัยที่พระเวสสันดรซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์จะเป็นพระพุทธเจ้า ก็เป็นปัจจัยให้เทวดาต้องเข้ามาประคับประคองเด็กทั้งสอง ตอนชูชกหนีขึ้นไปนอนบนยอดไม้ก็ปล่อยเด็กทั้งสองไว้ข้างล่าง เทวดาก็แปลงกายเป็นพระเวสสันดรและพระนางมัทรีเข้ามาประคับประคอง

และหลังจากนั้นเทวดาก็นำเข้าไปหาพระเจ้าปู่ ดลใจทำให้ชูชกหลงป่า ส่วนพระนางมัทรีท่านก็ยกให้พราหมณ์ คือ อินทรพราหมณ์ รู้จักไหม…?”

ผู้ถาม :- “ไม่รู้จักครับ”

หลวงพ่อ :- “อินทรพราหมณ์ พราหมณ์ชื่อ พระอินทร์ พระอินทร์ท่านแปลงมา ท่านพิจารณาเห็นว่า พระนางมัทรีไม่คู่ควรกับคนอื่น เพราะว่าอาศัยเป็นคู่บารมีของพระเวสสันดรมานาน จึงแปลงเป็นพราหมณ์มาขอพระนางมัทรี เมื่อพระเวสสันดรยกให้ ท่านก็แสดงตัวเป็นพระอินทร์ แล้วบอกว่า เวลานี้พระนางมัทรีเป็นของท่านแล้ว ขอฝากไว้ก่อน ถ้าจะยกให้ใครก็ต้องขออนุญาตท่านก่อน ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร”

ผู้ถาม :- ก็ตกลงว่าเรื่องนี้จะไปโทษว่า สร้างบารมีให้คนอื่นเดือดร้อนไม่ได้ เขาเดือดร้อนเพราะกรรมของเขา”

หลวงพ่อ :- “ใช่…ที่พระนางมัทรีต้องสลบ ก็เพราะอาศัยตีพระเวสสันดรในสมัยที่เป็น นกกระจาบ”

ผู้ถาม :- “โอ้โฮ…เคยตีกันมาก่อนหรือนี่!”

หลวงพ่อ :- “ใช่…เคยตุ้บตั้บกันมาก่อนเหมือนกัน”

ผู้ถาม :- “แหม…เห็นแจ๋วๆ อย่างนี้ ก็มีเหมือนกันนะ”

หลวงพ่อ :- “มี…สมัยก่อน”

ผู้ถาม :- “ฉะนั้น ลูกหลานที่ตุ้บตั้บกันสมัยนี้ ก็เพราะตามรอยยุคลบาทนะ”

หลวงพ่อ :- “ดีนะ…รักษาคุณความดีของบิดามารดาไว้ เป็นลูกตัญญูรู้คุณปฏิบัติตามท่านได้”

ผู้ถาม :- “บางรายกตัญญูแรงหน่อย เล่นเอาไม้ตีพริกตีหัวแบะเลย”

หลวงพ่อ :- “นั่นน่ะดี หัวน่ะ…มันรับน้ำหนักทุกอย่าง แดดมาก็ร้อน น้ำค้างตกก็รดหัวก่อน ไม่เคยกินกับข้าวเลย วันนั้นได้กินกับข้าว ต้นกับข้าวเลยนะ”

พระโพธิสัตว์ทำไมยากจน

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อขอรับ ผมอยากทราบว่า พระโพธิสัตว์ที่เกิดมาเป็น มหาทุคคตะ นั้น ทำกรรมอะไร…ทำไมถึงยากจน เพราะคำว่า โพธิสัตว์ น่าจะร่ำรวยนี่ขอรับ?”

หลวงพ่อ :- “ถ้าพระโพธิสัตว์รวยอย่างเดียวก็โง่ เวลาที่เป็นพระพุทธเจ้าก็เทศน์สอนเขาไม่ได้ ต้องจนมากมาก่อน ทดลองก่อนนะ ถ้าจะเล่าให้ฟังเล่าไม่ได้ เพราะบาลีตอนนั้นท่านไม่ได้บอกนะ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้

เป็นอันว่ากฏของกรรมบางอย่าง บางชาติอาจจะเป็นคนขี้เหนียว คนที่จนเพราะขาดการให้ทาน โกงเขา แต่พระโพธิสัตว์คงไม่โกง แต่ว่าอาจจะผ่านมาเป็นพันๆ ชาติก็ได้ กรรมประเภทนี้ไม่ใช่ทำชาตินี้ ชาติหน้ารับผล มันไม่ได้ กรรมบางอย่างต้องรอ เป็นพันชาติก็มี ตามไม่ทัน คือว่าก่อนที่จะรู้จักบุญกุศลมันทำมาแล้ว ก่อนที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ ลองคิดดู ยังไม่รู้บาปบุญคุณโทษ แต่กรรมประเภทนั้นยังไม่มีผล และทำทุกชาติ ทำกี่อย่างกี่ครั้ง แต่ละคราวจะให้ผลไม่เสมอกัน ไม่พร้อมกัน”

คู่บารมีพุทธภูมิ

ผู้ถาม :- “ลูกทำบุญทุกอย่างที่วัดท่าซุง โดยลูกกระทำคนละครึ่งกับผู้ปรารถนาพุทธภูมิ…”

หลวงพ่อ :- “เอาละ…หัวมงกุฎท้ายมังกรละทีนี้!”

ผู้ถาม :- “ขอต่อนะครับ โดยอธิษฐานให้ลูกเป็นคู่บารมีของเขาตลอดไปจนกว่าจะสำเร็จพระโพธิญาณ ลูกอธิษฐานว่า ถ้าไปนิพพานชาตินี้ไม่ได้ ก็จะขอเป็นคู่ส่งเสริมการสร้างบารมีให้เขาได้สำเร็จ ลูกถามว่า ข้อ ๑ ลูกจะไปนิพพานชาตินี้ได้ไหม โดยที่ฝ่ายชายไม่ยอมลาจากพุทธภูมิ?”

หลวงพ่อ :- “ก็อีท่านั้นมันไปแล้ว เราต้องตัดสินใจให้แน่นอนว่า เราไม่ต้องการปราถนาร่วมกับพุทธภูมิ เราจะไปนิพพานตรง ไอ้ไปแบ่งครึ่งแบบนั้นไปแน่ เพราะกำลังพุทธภูมิเขาแรง”

ผู้ถาม :- “ถ้าอย่างนั้นถ้าไปต้องตัด…”

หลวงพ่อ :- “ต้องตัดเลย บอกฉันไม่ต้องการติดตามใครทั้งนั้น ฉันจะไปนิพพานชาตินี้ ต้องตัดแบบนั้นนะ”

ผู้ถาม :- “ข้อ ๒ ถ้าไปไม่ได้ ลูกจะต้องทำอย่างไร จึงจะช่วยเขาสร้างบารมีให้สำเร็จพระโพธิญาณเจ้าคะ?”

หลวงพ่อ :- “ไม่เป็นไร เป็นเมียเขาเรื่อยไป หมดเรื่องหมดราว…(หัวเราะ) ปัดโธ๋เอ๋ย…ไปถามงั้นได้ ก็ช่วยไม่ใช่เหรอ…ไม่น่าจะถาม ก็สุดแล้วแต่วาระแต่ละชาติจะต้องทำอะไร มันช่วยอยู่แล้วนะ”

ขอลาพุทธภูมิ

ผู้ถาม :- “ทีนี้มีอีกคนถามว่า ดิฉันอยากจะลาพุทธภูมิ ไม่ทราบว่าจะลาอย่างไรเจ้าคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ลาไปไหนล่ะ…ลาไปขุมไหน…?”

ผู้ถาม :- “ลาแล้วลงขุมหรือครับ…?”

หลวงพ่อ :- “อ้าว…ลาพระพุทธเจ้าก็ไปแน่ ไปอยู่กับเทวทัต ลาพระพุทธเจ้าหรือลาพุทธภูมิ…?”

ผู้ถาม :- “ลาพุทธภูมิครับ”

หลวงพ่อ :- “ถ้าลาพระพุทธเจ้าละเจอะหน้าเทวทัตแหงๆ ลาพุทธภูมิก็ไม่ยาก ก็ไปที่หน้าพระพุทธรูปก็แล้วกัน จุดธูปบูชา ตั้ง นะโม ๓ จบ ว่า พุทธัง…ธัมมัง…สังฆัง…สรณัง คัจฉามิ ว่า อิติปิ โส อีกจบหนึ่ง แล้วก็ขอขมาโทษท่าน เสร็จแล้วกล่าวคำปฏิญาณ “ข้าพระพุทธเจ้าขอลาพระพุทธภูมิ ขอเป็นสาวกภูมิตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” เท่านั้น ไม่มีอะไรมาก

ถ้าได้มโนมยิทธิให้ไปพระนิพพาน ขอลาพระพุทธเจ้าตรง ถ้าถามว่าปฏิบัติแบบไหนให้เร็วท่านจะบอกให้ดีกว่า ปฏิบัติให้ตรงกับที่เราพร่อง ขอจุดให้ตรงกับที่เราพร่องแล้วไม่ยาก”

พระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นดุสิต

ผู้ถาม :- “พระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นดุสิต เมื่อยังไม่ตรัสรู้ อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า ท่านมีหน้าที่การงานอย่างไรบ้างหรือเปล่าครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ฉันยังไม่เคยอยู่ชั้นนี้เลย ความจริงพระโพธิสัตว์นี่หาเวลาว่างยาก บนสวรรค์ ๖ ชั้น พระโพธิสัตว์ก็เหมือนกับพระ ก็มีหน้าที่สงเคราะห์พวกพรหมเทวดาด้วยการเทศน์ อย่างพระอินทร์ เวลาถึงวันขึ้น ๑๔ ค่ำ หรือวันโกนสิ้นเดือน เทวดาต้องไปประชุมกันที่ เทวสภา แล้วตามปกติพระอินทร์ท่านจะไปเชิญพระโพธิสัตว์มาเทศน์ บางคราวก็หาพระโพธิสัตว์ว่างไม่ได้ พระอินทร์ต้องเทศน์เอง ท่านไม่มีเวลาว่าง ถ้าไม่ได้ไปไหนก็ไม่ว่าง”

ผู้ถาม :- “ทำอะไรครับหลวงพ่อ…?”

หลวงพ่อ :- “ต้องนั่งซิ!”

ผู้ถาม :- “แล้วไม่ได้หลับได้นอนหรือครับ…?”

หลวงพ่อ :- “เอ…นอนหรือเปล่า ไม่เคยเห็นนอนสักที”

ผู้ถาม :- “ลืมตาแจ๋ว…เป็นเหน็บชาแย่”

หลวงพ่อ :- “เทวดาไม่มีประสาทปวดนะ แล้วก็ประการที่สอง สวรรค์ก็ดี พรหมก็ดี นิพพานก็ดี ไม่มีกลางคืน ไม่มีกลางวัน และไม่มีพระอาทิตย์ ในแดนนรก ก็ไม่มีกลางวันและกลางคืน ไม่มีพระอาทิตย์เหมือนกัน ฉะนั้นก็ไม่มีคำว่าหยุด ไม่มีคำว่าพัก เพราะไม่มีคำว่าเหนื่อย สภาวะของท่านไม่เหนื่อยเลย หนักก็ดี กลุ้มก็ดี ไม่มีสำหรับเทวดา”

ผู้ถาม :- “อย่างนั้นเขาก็มีความสบายอย่างเดียวซิครับ…?”

หลวงพ่อ :- “นั่นเขารับส่วนสบายฝ่ายเดียว คำว่าเหนื่อยหรือเพลียไม่มีสำหรับที่นั้น เพราะท่านมีสภาวะเป็นทิพย์ ไม่มีสภาพหนัก มนุษย์นี่มีธาตุดินจึงทำให้หนัก ของท่านไม่มีทั้ง ๔ ธาตุ”

ผู้ถาม :- “แล้วถ้าธาตุไม่มีนี่จะพูดจากันรู้เรื่องหรือครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ก็พูดกันอย่างประสาไม่มีธาตุ เป็นนามธรรมที่เรียกว่า รูปในนาม ไม่มีของหนักอย่างเรา ก็มีสภาพคล้ายอากาศ เบาๆ ทุกอย่าง ฉันตอบได้เพราะว่าฉันเคยตายมาหลายอสงไขยกัป”

ทำไมหลวงพ่อลาพุทธภูมิ

ผู้ถาม :- “ขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อมีทุนพุทธภูมิผ่านมากน้อยเพียงไร…ขนาดไหน…และเพราะเหตุใด…จึงกล้าตัดสินใจลา โดยชนิดที่เรียกว่าไม่อาลัยอาวรณ์ต่อไปครับ?”

หลวงพ่อ :- “ตอบไม่ยาก…อยากลา มันจะไปยากอะไร ศัพท์ภาษาไทยชัดๆ เห็นทุกข์ คือความวุ่นวายของพระ เวลานั้นพระผู้ใหญ่ก็เป็น “พูใหญ่” ไป ร่างกายเราก็ไม่ดี เขาถามว่า ทุนพุทธภูมิขนาดไหน ฉันก็ไม่ตอบหรอกนะ ถ้าขืนตอบเพราะว่าไม่มีสัญลักษณ์ ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าจะออกไปเฉยๆ ไม่ได้ ต้องลาก็แล้วกัน

ทีนี้ประการที่ ๒ ลาก็ต้องมีเงื่อนไข คือว่าจะให้ลาได้ แต่เมื่อบอกว่าจะไม่ตายภายใน ๑๒ ปี ให้ทำงานพุทธภูมิไปก่อน เมื่อครบ ๑๒ ปีก็ต่ออีก เวลานี้ยังต่ออยู่ เป็นนักเรียนทุน ทุนถาวร ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องกำหนดหรอกครับ มันตายเมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละ…ขี้เกียจ ถึงกำหนดจริงมันจะป่วยหนัก หนักมาก แล้วท่านก็มาต่อให้ เราก็ขี้เกียจป่วยขนาดนั้นใช่ไหม…ไม่มีความจำเป็น ก็เลยบอกท่านว่า ผมเป็นคนไม่มีทุกข์ ขันธ์ ๕ มีทุกข์จริงแต่ใจผมไม่ได้ทุกข์ไปด้วย ในเมื่อกำลังยังมีอยู่ก็พร้อมทำงานเพื่อพุทธภูมิ แต่ว่าถ้าพูดไม่ออกเมื่อไร ก็อยากจะตายเมื่อนั้น”

ผู้ถาม :- “อ้อ…นี่ที่หลวงพ่ออยู่ได้ ก็เพราะว่าได้พูดได้”

หลวงพ่อ :- “ใช่…”

ผู้ถาม :- “ตกลงว่าไม่ต้องต่อกันแล้วนะ…อายุนะ”

หลวงพ่อ :- “ไม่เอา…ไม่ต้องต่อกันแล้ว คือว่าไม่มีกำหนดแน่นอน เราก็คิดว่าเมื่อวานซืนนี้มันจะตาย ก็บอกว่า คุณ…งานโน้นมีงานนี้มา นี่ไอ้วัดมันไกล้จะเสร็จ ถ้าน้ำไม่ท่วมไม่ถ่วงเวลาเสีย ๔ เดือน ก็เสร็จมีนาคมนี้ ทีนี้พอวัดไม่เสร็จ ท่านก็สั่งเพิ่มต่อ สร้างต่อใช่ไหม… และก็ต่อไปขยายไปสร้างภายนอก โดยให้ทุนเล็กน้อย ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ถ้าวัดไหนสามารถจะทำได้ก็ให้ทำ ก็รวมความว่า งานของท่านไม่หยุด ตายหรืออยู่ อยู่หรือตาย ก็ช่างหัวมัน ไม่สนใจ สนใจที่เดียว…นิพพาน”

(ด้วยความจริงแล้ว หลวงพ่อไม่อยากอยู่เลย เพราะขันธ์ ๕ ป่วยอยู่เสมอ)

อาการป่วยของหลวงพ่อ

หลวงพ่อ :- “อาการป่วยหนักปีนี้มี ๓ ครั้ง ถึงขนาดต้องไปนั่งคอยไปเลย มันไม่ไหวเแล้ว มันเครียดจริงๆ เส้นประสาทนูนแทบแตก ครั้งที่ ๑,๒ ขึ้นไปคอย ครั้งที่ ๓ พระพุทธเจ้ามาพร้อมกัน ถามว่าทำไม บอกน่ากลัวไม่เป็นเรื่องละ ขอถวายบังคมลางาน อีท่านี้ไม่เป็นเรื่อง ชั่วระยะ ๒ เดือน พวกล่อ ๓ ครั้ง ก็แค่วาระที่ ๓ เท่านั้นแหละ ทนสู้เลย ๓ ครั้งไม่ได้แล้ว ท่านก็บอกเดี๋ยวก่อนซิคุยกันก่อน ก็มาเดินเที่ยว ไอ้บ้านเราในบริเวณก็ไม่ค่อยได้ไปเหมือนกัน พอไปถึงนั่งปุ๊บก็มาเต็ม ทีนี้ไม่มีใคร มีแต่พระพุทธเจ้า ๘๔ องค์ มาพร้อมไปถึงปั๊บ องค์อื่นท่านไม่ตรัส

องค์ปฐมตรัสองค์เดียว บอกว่า “เธอปรารถนาพุทธภูมิมา และก็ทำไมจะมาท้ออาการเพียงเท่านี้”

ก็บอกท่านว่าไม่ได้ท้อ ก็มันจะตายจะสู้มันได้อย่างไร ประสาทใช้อะไรไม่ได้มานานแล้ว เวลาจะใช้งานเพราะท่านช่วย คิดอะไรไม่ออกหรอก มันคิดอะไรไม่ออกจริง ถ้าปล่อยคิด ประสาทเสียหมด

ท่านก็เลยบอกว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ประเดี๋ยวก็คลายตัว ดูท้าวมหาราชกำลังทำอะไรอยู่”

และก็ต่อมาท่านก็บอกว่า “จากนี้ไปอีก ๒ วัน นับวันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้อาการจะดีขึ้นมาก”

ตรงเลย พอถึงวันมะรืนปั๊บ มันคลายตัวมากจริงๆ พอถึงวันคลายตัว ท่านโกมารภัจจ์ก็มา บอก “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อาการโรคทั้งหมดจะคลายตัววันละ ๑๐ เปอร์เซ็นต์” จริงตามนั้นแฮะ ค่อยดีขึ้น ชัดขึ้นทุกวัน

พอครบแล้ว ต่อมาพระพุทธเจ้าก็มาอีก บอก “หลังจากนี้ไปอีก ๑๐ วันประสาทจะสมบูรณ์” ครบเมื่อวันที่ ๓๐ พ.ย.๓๐

พอวันที่ ๓๐ ก็มาอีก บอกว่า “ประสาทสมบูรณ์” แต่ร่างกายยังไม่สมบูรณ์ ต้องสิ้นเดือนยี่ จะค่อยๆ ดีเรื่อยไป”

คำว่า ประสาทสมบูรณ์ ก็หมายความว่าค่อยคิดอะไรออก แต่ก่อนนี้ถ้าจะคิดอะไรก็ต้องถามพระ แต่ก็ดีมีพระท่านคุม และพระท่านเคยบอก “ป่วยคราวนี้หนักมาก” บอกว่า “ถ้ากำลังเธอแต่ผู้เดียว ไม่มีพรหม ไม่มีเทวดา ไม่มีพระอรหันต์ช่วย เธอต้องมีสภาพแบบนี้” ท่านก็ทำภาพให้ดู นอนหยอดน้ำข้าวต้ม ลุกกระดิกไม่ได้ แต่ก็ต้องนึกขอบคุณท้าวมหาราชท่าน ท่านไม่ปล่อยเลย ท่านไม่ปล่อยจริงๆ นะ ถ้าท่านปล่อย เราก็คงจะปล่อยเลยเหมือนกัน”

(ร่างกายของหลวงพ่อ ถึงแม้จะป่วยอยู่เสมอ แต่งานก่อสร้างอันยิ่งใหญ่ คือ วิหาร ๑๐๐ เมตร ก็ทำได้สำเร็จสวยงามมาก หลวงพ่อคิดว่าจะเป็นงานสุดท้าย จะได้พักเสียทีแต่ปรากฏว่า พระให้สร้างต่ออีก

สร้างทางรอบ ๑๐๐ ไร่

หลวงพ่อ :- “เมื่อคืนนี้ตอนเช้ามืด ขึ้นไปหาองค์สมเด็จท่าน ท่านบอกว่าร่างกายต้องดีกว่านี้ งานของฉันยังมีมาก ที่ฉันสั่งสร้างมาก ไม่ใช่เพื่อความใหญ่โต แต่ต้องการล่อให้คนไปสวรรค์เป็นอย่างต่ำ

เลยถามท่านว่า เป็นอย่างไรครับ

ท่านบอกว่า แม้แต่เขาจะมาคราวเดียว แต่ที่เขาพักเขามีความสุข ถ้าจะตาย ถ้าเวลานั้นเขาคิดถึงวัด ก็ไปสวรรค์เป็นอย่างต่ำ

ที่ท่านทำที่จอดรถ ๑๐๐ ไร่ เป็นถนนราดยาง จ่ายเขาเดือนละ ๓ แสน และก็จะทำทางเดินกว้าง ๔ เมตร ยาว ๒,๐๐๐ เมตร มีหลังคา ลงจากรถปั๊บไม่ต้องวิตกกังวล เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเข้าห้องมหาเสน่ห์เลย อารมณ์ก็โปร่งมีความสุข มาถึงวัดก้ได้เดินรอบๆ บริเวณมีห้องมหาเสน่ห์เป็นระยะ

ท่านบอกว่า เวลาที่รถมาจอด คนลงจากรถไม่มีหวังว่าจะพักที่ไหน อย่าลืมว่าทุกคนเขานั่งรถมามันเหนื่อย มันเครียด ถ้าทำอย่างนั้นพอรถจอดปั๊บ มันอยู่ใกล้จุดไหนก็พักได้ และประการที่ ๒ ถ้าปวดอุจจาระขึ้นมานะ ก็มีส้วมไว้ ๓๐ ห้องแล้ว ใช่ไหม

ท่านก็เลยบอก ไอ้ที่ตรงนั้นมันเป็นทางเดิน แต่บางรายเขามาดึกๆ เขาไม่อยาก จะไปนอนก็ได้ แล้วก็มีความสุข เวลาจะกลับเวลาไปตามคนมา เอาคนมาไว้ตรงนี้ ไปตามคนใหม่มา คนเก่าหายไปอีกแล้ว ก็เป็นจุดนั่งได้สบาย

โอ…เหตุผลท่านดีมาก บอก เราต้องทำเพื่อความสุขของพุทธศาสนิกชนเท่าที่พึงจะทำได้ ความสุขไม่พอเท่ากับเขาอยู่ที่บ้าน แต่ว่าให้มันมีความสุขมากขึ้นกว่าเก่า เมื่อเป็นอย่างนี้ เขาก็มีความเพลิดเพลิน มีความเป็นสุข วัดก็สวย วิหารก็ใหญ่ จิตใจก็ผูกพัน แม้แต่มาครั้งเดียว กลับไปบ้านก็อดคิดถึงวัดไม่ได้ จิตนึกถึงแค่นี้ก็ไปดาวดึงส์”

(หลวงพ่อสรุปว่า)

หลวงพ่อ :- “การก่อสร้างทั้งหมดพระท่านสั่ง จึงต้องทำตามความประสงค์ของท่าน”

ฉะนั้นใครจะว่าอย่างไรก็ช่างเถอะ หลวงพ่อปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน ก็ต้องทำงานอย่างนี้เพื่อเป็นการสงเคราะห์ พวกเราจึงโชคดีมากได้มีโอกาสร่วมทำบุญกับหลวงพ่ออยู่เสมอ

จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๗ หน้า ๘๑-๑๐๐ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

เรื่องนี้ถูกเขียนใน หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม และติดป้ายกำกับ , คั่นหน้า ลิงก์ถาวร