กรรมฐานจุดสุดท้าย

กรรมฐานจุดสุดท้าย
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

      วันนี้ท่านบอกว่าให้คิดว่า ร่างกายนี่มีสภาพไม่ทนทานถาวร มันจะพังไปในที่สุด แล้วจงอย่าติดใจในร่างกายต่อไป แต่ว่าเมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ก็จงอย่าท้อถอยในการทำงาน ทุกอย่างหน้าที่ของตนทำให้ครบถ้วน

 

กรรมฐานจุดสุดท้าย
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

ร่างกายมีสภาพไม่ทนทานถาวร ที่เรียกว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา นี่แหละ

เราอาจจะมองไม่เห็นนะ ท่านบอกว่าร่างกายมีสภาพไม่ทนทานถาวร แล้วก็ถ้าเราจะมีร่างกายอย่างนี้ต่อไปอีก มันก็จะพบกับสภาพอย่างนี้ ในเมื่อมันไม่ทนทาน ไม่ถาวร ไม่ทรงตัว เราก็จะไปดึงให้มันทรง มันไม่ทรง เราก็จะมีอาการเป็นทุกข์ ยิ่งแก่ลงเท่าไร ทุกข์มันก็มากขึ้น เพราะว่าร่างกายไม่คล่องตัว

เป็นอันว่า ร่างกายประเภทนี้ เราจะไม่คบมันอีกต่อไป ถ้าคิดแค่นี้ ท่านบอกให้แค่นี้ คิดสั้น ๆ แต่มันเป็นวิปัสสนาญาณตัวปลายนะตัวนี้ ตัวนิพพานเลยนะ ตัวตัด ตัวนี้จำให้ดี เป็น “ตัวนิพพาน”

แต่ว่าแทนที่จะบอกว่า
ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

ท่านบอกพูดอย่างนี้เข้าใจยาก ให้แนะนำเพียงว่า
ร่างกายมีสภาพไม่ทนทาน เดี๋ยวมันก็พัง

ถ้ามันจะพังอย่างนี้เรื่อย ๆ ไป เราจะมีมันทำไมอีก เราไม่ต้องการมันอีก ให้คิดไว้อย่างนี้เป็นปกติ แล้วจิตของบรรดาทุกท่านจะพยายามแจ่มใสขึ้นทีละน้อย ๆ

เที่ยวหลังเดือนหน้าจะมาใหม่ จะดูว่าใจใครหมองลงไปหรือจะสว่างขึ้น ใช่ไหม ระวังนะ ทีนี้ต้องเก็บสตางค์ ถ้าใจใครอยู่ในสภาพคงเดิม เก็บคนละพันบาทใช่ไหม ถ้าใจใครดีขึ้นจะแถมสตางค์ให้ แต่ความจริงไม่ให้สตางค์ จะปลูกบ้านให้หนึ่งหลังใช่ไหม ให้เครื่องแต่งกายครบ ชุดเงินทองทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ใช่ไหม เท่าที่ญาติโยมมีอยู่ให้หมด ทำไม ใครเช่าบ้านอยู่ก็จะให้เช่าหลังนั้นแหละ ใครปลูกบ้านอยู่แล้วก็ยกบ้านหลังนั้นให้ ดีไหม

เอ…..เราเป็นคนรวย เราแจกดะ อีแบบนี้เคยโดนเขาเล่นมาทีแล้ว วันนั้นยกช่อฟ้าศาลาหน้าวัด นิมนต์ไปสวดมนต์ นิมนต์พระทั้งวัดสวดมนต์เย็น พอสวดมนต์เสร็จ ฉันเช้าเสร็จ อ้าว พระทุกองค์นี่ ฉันถวายไตรองค์ละไตร เงินทองตามอัธยาศัยที่จะมีอยู่ ข้าให้หมดเสร็จ เราสวดเกือบตายไม่ได้เลย ไอ้ของที่มีอยู่ท่านให้เรา นี่วันนี้ก็เหมือนกัน

เป็นอันว่า ขอให้ตั้งใจจำไว้ให้ดีนะ วันนี้ท่านบอกว่าให้คิดว่า ร่างกายนี่มีสภาพไม่ทนทานถาวร มันจะพังไปในที่สุด แล้วจงอย่าติดใจในร่างกายต่อไป แต่ว่าเมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ก็จงอย่าท้อถอยในการทำงาน ทุกอย่างหน้าที่ของตนทำให้ครบถ้วน

แล้วทุกคนคิดไว้อย่างนี้วันละเล็กละน้อย คิดไว้เป็นปกติ ต่อไปนี้จิตจะเข้าถึง สังขารุเปกขาญาณ แบบง่าย แต่ความจริงเข้ามาเยอะแล้ว ของเรานี่ตื่นเต็มที่ อัตราเกือบจะเต็มหมด มันเหลือนิดหน่อย อันนี้ไม่ใช่ยอกันนะ ไม่ใช่ยก ไม่ใช่ย่อง ไม่ใช่หวังผลประโยชน์

แต่ว่ามีคนสงสัยไหมที่นั่งนี่ ที่สงสัยก็ไปใคร่ครวญให้ดี ความจริงคนสงสัยนี่ รู้ตอนต้นน่ะ ลงมาก็รู้ ถ้าสงสัยนี่ไม่ว่าอะไร เป็นเรื่องธรรมดาของการสงสัย

คนสงสัยนี่ต้องเป็นคนมีปัญญา แล้วจึงใช้ปัญญาใคร่ครวญให้มีความสำคัญ หาความเป็นจริงว่าที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัตภาพร่างกายนี่มันไม่เที่ยง จริงไหม ถ้าเรายึดถือความไม่เที่ยงว่าให้มันเที่ยง จิตเราเป็นทุกข์หรือเปล่า หรือในที่สุดเราสลายตัวไหม

ไอ้ คนเราที่ต้องเกิดมา เพราะอาศัย กิเลส คือ

๑.ความรัก ในระหว่างเพศเป็นเครื่องดึงใจ
ประการที่ ๒ ความโลภ เป็นเครื่องดึง
ประการที่ ๓ ความโกรธ ความพยาบาท เป็นเครื่องดึงให้เกิด
ประการที่ ๔ ตัวจิตที่คิดว่าเราจะยังไม่ตาย นี่เป็นเรื่องสำคัญ เป็น ตัวหลง

อาการ ๔ ประการนี่เป็น ปัจจัยให้เราเกิด

ที่เราเกิดมานี่มันทุกข์ ถ้าเราไม่ทุกข์ก็ไม่ต้องกินข้าวใช่ไหม ไอ้ที่กินข้าวเพราะมันทุกข์ ทุกข์ตัวไหน ทุกข์เพราะหิว ชิฆัจฉา ปรมา โรคา ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง มันเสียดแทง

นี่ถ้าหากว่าถ้ามันไม่หิว มันไม่ทุกข์ เราก็ไม่ต้องกินข้าวมัน ที่เรากินข้าวเพราะอาศัยความทุกข์ แล้วความทุกข์ที่เรากินข้าวเข้าไปอิ่ม มันหมดทุกข์แล้วหรือยัง กินเช้า กลางวันมันก็หิวอีก กินกลางวันแล้วตอนเย็นมันก็จะกินอีก เราก็ต้องหาให้มันกิน นี่มันทุกข์ บางทีกินตอนเย็นไม่พอ กลางคืนยังกินอีก กินหรือเปล่า บางทีไอ้ตอนเช้าล่อข้าวแล้ว ล่อขนมจุ๊บจิ๊บ

พวกผู้หญิงน่ะสำคัญนัก แหม…ไปไหนด้วยกัน พอจอดรถพรืด…ตลอดละ ก็ลงเป็นแถว สตางค์มันร้อนไม่จ่ายแล้วมันปวดท้องใช่ไหม ไอ้นี่เป็นเรื่องธรรมดาของขันธ์ ๕ ไม่ได้ตำหนิ คือว่าขันธ์ ๕ มันเร่งรัดเราอย่างนี้ ที่เราต้องเหนื่อยยากก็เพราะว่าไอ้ความปรารถนาของมัน จะต้องเลี้ยงมัน แต่ว่าเลี้ยงมันเท่าไร มันก็ไม่มีอาการทรงตัว

ในเมื่ออาการทรงตัวมันไม่มี เป็นทุกข์อย่างนี้ เราจะมีมันไปทำไม

คิดเพียงเท่านี้ คิดไว้เป็นปกติ แล้วก็ ระมัดระวังใจ ไว้
อย่าให้ ความโลภ มันเข้ามา ครองใจ
อย่าให้ ความโกรธ มันเข้ามา ครองใจ
อย่าให้ ความหลง มันเข้ามา ครองใจ

ไอ้หลง นี่หมายถึง ไม่อยากจะตาย ฉันยังไม่ตาย ฉันยังไม่แก่ ฉันแก่แล้วก็ฉันยังไม่ตาย อะไรพวกนี้มันไม่ถูก ความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย จำไว้เสมอว่าคนที่เกิดทีหลังเรา เขาตายก่อนเราไปเยอะแล้ว คนที่เกิดก่อนเราเขาก็ตายไปก่อนเรา นี่ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าคนที่เกิดทีหลังเราเขาตายไปก่อนเรา ไอ้เราจะแน่หรือว่าจะอยู่อายุเท่าไร

ถ้าก่อนที่จะตาย จำไว้ ให้มันตายชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ชาติต่อไปไม่ต้องตายกันอีก
คือ เราไม่ต้องการขันธ์ ๕ เท่านี้ ท่านบอก คิดไว้เท่านี้นะ นี่ท่านบอกจุดจบไว้เลย

แล้วก็ถามท่านว่ามีผลไหม มีผล บอกว่าถ้าไม่สงสัยมีผลร้อยเปอร์เซ็นต์ เออ…อย่าลืมนะว่าตั้งใจคิดไว้อย่างนี้ ใช้ปัญญาพิจารณาจริง ๆ ให้เห็นด้วยปัญญา จะเชื่อคำพูดที่อาตมาพูดมานี่ อย่าเชื่อ เพราะถ้าเชื่อเสียเลยทีเดียว โดยไม่ใช้ปัญญานี่มันเป็นสัญญา มันไม่เกิดผล

พอพูดไปแล้วก็ต้องนำไปคิด นำไปใคร่ครวญว่าร่างกายนี่มันไม่ทนทานถาวรนี่จริง ไปแล้วดู ถ้ามันทนจริง มันทรงตัวจริงๆ ไม่มีใครอยากแก่ เพราะร่างกายก็ต้องไม่ป่วย ร่างกายก็ต้องไม่ทรุดโทรม ในที่สุดมันก็ต้องไม่ตาย นี่มันก็ต้องตาย

อย่าง คุณอ๋อย นี่ อยู่คุยกันแจ๋วๆ แกก็ตายไปแล้ว นี่เป็นตัวอย่าง เราก็ต้องมีสภาพตายต่อไปเบื้องหน้า นี่จงจำไว้ว่าร่างกายมีสภาพไม่ทนทาน

นี่ท่านพูดสั้น ๆ นะ ร่างกายมีสภาพไม่ทนทานอย่างนี้ เราไม่ต้องการมันอีก พูดสั้นแค่นี้ ให้คิดไว้เป็นปกติ แล้วก็ล้อมวงไว้ด้วยการไม่โลภ การไม่โกรธ การไม่หลง ให้ระมัดระวังใจ แต่นี่ที่แถม

แต่ที่ท่านสั่งไว้จริง ๆ สั่งให้บอก ถามท่านว่าคิดเท่านี้พอ ท่านบอกว่ามันเป็นวิปัสสนาญาณตัวปลายคือ ตัวนิพพาน ถ้าคิดไปทุก ๆ วัน คิดไปได้บ้าง ลืมบ้าง ไม่ลืมบ้าง ต่อไปอารมณ์มันจะชิน ชินมันก็เป็นฌาน ถ้าฌานตัวนี้เป็น สังขารุเปกขาญาณ แล้วเป็น สัจจานุโลมิกญาณ ก็นิพพานกันเท่านั้นแหละ

ทีนี้สำหรับฆราวาสนี่จะเป็นอรหันต์ก่อน แล้วก็เดินท้งเท้งๆ ไปหลายวันไม่มีทางหรอก ถ้าจะเป็นก็เป็นคืนนี้ พรุ่งนี้ตายแหง….ใช่ไหม ถ้าเป็นอรหันต์คืนนี้ พรุ่งนี้ไม่สิ้นแสงอาทิตย์ตาย นี่ใครไม่อยากจะตายเร็ว ก็อย่าเพิ่งเป็นอรหันต์ ดีไหม ป้า อ้าว นี่เป็นเรื่องจริงๆ นะ แต่ถ้าหากจะถามว่าทำไมพระจึงอยู่ได้นาน ฆราวาสเป็นอรหันต์จะต้องตายเร็ว

นี่อาตมาไม่ใช่พระอรหันต์ เป็นพระกังหัง หมุนรอบหมด แย่ เหนื่อย….ถ้าไปถามพระอรหันต์ทุกองค์ ที่ท่านได้พระอรหันต์แล้ว ถามว่าอยากอยู่สักกี่ปี พระประเภทนี้จะตอบเหมือนกันหมดทุกองค์ว่า แม้แต่หนึ่งเสี้ยววินาทีก็ไม่อยากอยู่ แต่มันตายไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร

ถ้าจะเชือดคอตายก็เป็น อัตวินิบาตกรรม พระพุทธเจ้าทรงห้าม แต่ว่าจิตของพระอรหันต์ท่านไม่มีทุกข์ ท่านจะอยู่ขนาดไหนก็ได้ อยู่ขั้นตะบันน้ำกิน ท่านก็ไม่ทุกข์ ไอ้คนลองตะบันน้ำกินมันหยุดไม่ไหว ก็เลยไม่ต้องตะบันใช่ไหม

นี่เป็นอันว่าจำให้ดีนะ วันนี้เป็นวันสำคัญที่ท่านมาบอก กรรรมฐานจุดสุดท้าย การที่จะบอก กรรมฐานจุดสุดท้าย ถ้าไม่เห็นกำลังใจของพวกเรา นี่ท่านไม่บอกหรอก ท่านไม่บอกง่าย ๆ กรรมฐานตัวนี้จุดง่ายนิดเดียวว่า ร่างกายมีสภาพไม่ทนทาน เราไม่ต้องการมันอีก เท่านี้ แล้วหลังจากนั้นก็ใช้ปัญญาใคร่ครวญเองว่าจริงหรือไม่ ถ้ามันจริงเราก็เชื่อ เชื่อแล้วเราก็ไม่ต้องการมัน

แต่งานในหน้าที่ต้องทำกัน ความเป็นทุกข์ คือ ทุกข์เพราะความบกพร่องในการงาน นี่ต้องระวัง ไม่ใช่ว่าร่างกายไม่ทนทาน ไม่ทำอะไรหมด ขี้เกียจ ไม่ใช่ขี้เกียจ มือเท้าอ่อนหมดเรี่ยวหมดแรง นอนตายดีกว่าว่ะ อย่างนี้ไม่เป็นเรื่อง แบบนี้เจ๊ง ไปไม่รอด

มันต้องมีกำลังใจเป็นปกติ หน้าที่เป็นหน้าที่ทำด้วยความเข้มแข็ง

ต่อสู้กับอารมณ์ที่มันจะเป็นเครื่องขัดเคือง
เราไม่ขัดเคืองในอารมณ์ที่จะต้องขัดเคือง
เราไม่เศร้าโศกในอารมณ์ที่ควรจะเศร้าโศก

อย่างใครเขาตาย แทนที่เราจะเสียใจ ถือว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา ใครเขาด่า ก็โอ๋…ธรรมดาของคนบ้ามันเป็นอย่างนั้น เราขี้เกียจบ้าตามมัน จะบ้าก็บ้าไปเถอะ ใช่ไหม หรือไม่อย่างนั้นใครเขาด่าเราก็นอน

อย่างอาจารย์อ่างทอง หรืออาจารย์สรรคบุรี ก็ว่าไปพั้ง ๆ นะ นอนยิ้มเสียเรื่อย มันก็ขี้เกียจด่าไปเอง ก็หมดเรื่องไป อ้าว…..ต่อไปนี้โปรดตั้งใจถวายสังฆทาน

เรื่องนี้ถูกเขียนใน ธรรมโอวาท และติดป้ายกำกับ , คั่นหน้า ลิงก์ถาวร