โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
ตามที่หลวงพ่อท่านได้สร้าง พระพุทธชินราช ประดิษฐานเป็นพระประธานไว้ที่วิหาร ๑๐๐ เมตร เพื่อไว้สักการะบูชาของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระพุทธรูปองค์นี้สร้างได้สวยสดงดงามมาก นอกจากญาติโยมทั้งหลายจะได้อานิสงส์ในการร่วมสร้างกันแล้ว หลวงพ่อท่านได้บอกว่า พระพุทธชินราชองค์นี้ ถ้าเกิดฝนแล้งจะอธิษฐานขอฝนก็ได้
ในโอกาสนี้จึงขอนำเรื่องราวของพระพุทธชินราช ที่หลวงพ่อเคยประสบเหตุการณ์มาแล้ว มาเล่าสู่กันฟัง
เนื่องจากมีผู้หญิงคนหนึ่งนำพระพุทธชินราช มาให้หลวงพ่อปลุกเสก เมื่อหลวงพ่อปลุกเสกแล้ว บอกว่า “เอาพระพุทธชินราชมาให้เสก ไม่รู้ฉันจะเสกบทไหน…กลัวท่านจะเสกหัวฉันเข้าน่ะซิ”
พอยกมือขึ้นอาราธนาบารมีท่าน…ท่านบอก “มันก็ยี่ห้อเดียวกับแก แกก็ติดชินราช”
ถูกของท่าน ที่ว่าถูกของท่าน คือว่า พระพุทธรูปที่นำมาถวาย ถ้าหากว่ามันไม่เกินวิสัยจริงๆ ฉันต้องทำเรือนแก้วให้ได้ เพราะว่าฉันชอบชินราช เพราะอะไร…ชินราช เขาแปลว่า ชนะ
เหตุเกิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี
เรื่องพระพุทธชินราช เริ่มต้นมันมีอยู่คราวหนึ่ง คือว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่คิดว่าจะสร้างพระพุทธชินราช คืนหนึ่งก็เข้านอน ตอนหนุ่มๆนะ เป็นพระ ตื่นขึ้นมาตีสอง ตะเกียงมันก็ไม่ได้จุด มันมืดตื้อ เห็นขาวๆ หน้าประตูด้านใน เหนือประตูขึ้นไป
ถามว่า “ใคร?”
บอกว่า “ฉัน…พระพุทธชินราช”
ถามว่า “มายังไงครับ?”
บอกว่า “จะมาอยู่ด้วย”
เราก็นึก เอ…ท่านจะอยู่ยังไง…พอคิดว่าท่านจะอยู่ยังไง…แล้วท่านก็หายไป แต่จิตเรารักพระพุทธชินราชอยู่ตลอดเวลา เพราะท่านสวย ดูแล้วดูไม่อิ่ม
แล้วก็ปีนั้นต่อมาอีก ๒ เดือน ฉันก็ไปอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี แล้วก็จะไปเข้าที่อำเภออู่ทอง ตอนนั้นป่ามันมีเยอะ เราก็จะไปซื้อไม้ที่มันถูกต้องตามกฏหมาย คือว่าต้นไม้ออกจากโรงเลื่อยนี่มันถูก คือออกจากที่นี่มันถูก พอไปก็เอาเรือไปจอดที่ตลาดบางลี่ ก็มีเรือเรี่ยไรอยู่ลำ เขาจอดอยู่ทางด้านโน้น
พอเรือเราไปจอด ปรากฏว่าพวกผู้หญิง จีนบ้าง ไทยบ้าง แบกโตก แบกขันแตก แบกเครื่องทองเหลือง ลงไปเป็นแถวสัก ๒ ราย ขนาดแบกไปเลยนะ ไปถึงแวะไปทางเรือ ก็ถาม “ทำไมโยม…?”
บอก “เอาเครื่องทองเหลือง ทองขาวทำบุญ”
“อ้าว…ก็ลำโน้นเขาโฆษณาจะสร้างรอยพระพุทธบาท”
ไอ้เราเครื่องขยายเสียงก็ไม่มี จะไปซื้อไม้ เครื่องขยายเสียงจะมีได้ยังไงเล่า เขาถามว่า “จะสร้างอะไร?”
บอก “ไม่ได้สร้างล่ะ จะมาซื้อไม้”
คนอื่นเขาก็กลับไปหมด ก็เหลือผู้หญิงจีนอยู่คนหนึ่ง แกไม่ยอมไป แกก็พูดอยู่อย่างนั้นแหละ ถาม “ไม่สร้างอะไรรึ?”
พูดไปพูดมา พูดมาพูดไป ก็นึกขึ้นมาได้ว่า เราคิดว่าจะสร้างพระพุทธชินราช แต่ว่ากำหนดไว้อีก ๓ ปีจึงจะสร้าง ไม่ได้สร้างปีนั้น เพราะเห็นว่าท่านมาคงจะเป็นสัญลักษณ์ แกถามขึ้นมาก็เลยนึกขึ้นมาได้ “ฉันจะสร้างเหมือนกันแหละโยม…แต่อีก ๓ ปี”
แกบอก “เอางี้ก็แล้วกัน ๓ ปี ฉันจะฝากไปด้วย”
ได้เรื่องเลย…ขันลงหินแกสวยมาก เราเห็นยังนึกเสียดายของเก่า แต่ว่าของเก่าหรือไม่เก่า เราเสียดายไม่ได้ เวลาสร้างต้องทุบกันแน่ ฝากไปด้วย ๓ ปี ก็ไม่เป็นไร เลยบอกว่า “เอางี้ดีกว่าโยม เวลาที่ฉันจะสร้าง ฉันจะมาใหม่”
แกบอก “ไม่ได้หรอก ดีไม่ดีฉันจะตายเสียก่อน”
แกก็ให้สตางค์ ๑๐ บาทเป็นค่าแรงงาน ให้ค่าบำเหน็จ แล้วแกก็เดินกลับบ้านไป แกกลับขึ้นไปมือเปล่านี่ พวกนั้นก็ถามว่า “ขันแกไปไหนล่ะ?”
“ลำนั้นเขาสร้างเหมือนกันนะ แต่สร้างพระพุทธชินราช”
แกพูดเท่านั้นแหละ ยายพวกนั้นแบกลงมาอีกแล้ว “ท่านทำไมโกหกฉันล่ะ?”
แล้วกัน แหม…ซวยเลย เราเสียยี่ห้อ บอก “ทำไมเล่า?”
“ก็ท่านจะสร้างพระพุทธชินราช ทำไมท่านไม่รับของล่ะ”
ก็บอกว่า “อีก ๓ ปีนะโยม”
“อ้าว…ถ้ายังงั้นฉันก็ฝากบ้างสิ” แกก็เลยฝากไว้
ปรากฏว่า แกถือของลงมา ต่างคนต่างฝาก ก็ไม่ต้องนอนกันละ ปรากฏว่าเรือไม่มีที่นอน ทำยังไงล่ะ…มันชักจะยุ่งเสียแล้ว ก็คิดว่าเรื่องมันใหญ่ไปมากแล้ว เลยต้องตกบันไดพลอยโจน เช้าต้องจอดอยู่อีก เช่าเรือต่อเขาอีกลำ ของมันอยู่ในเรือยนต์เต็ม ก็เช่าเรือเขา
เขาถามว่า “เช่าทำไม?” บอก “ใส่ของ”
เจ้าของเรือเขาก็ดี บอกว่า “ไม่ต้องเช่า…วัดนี้ ถ้าวัดอื่นอาจจะต้องเช่า”
“เสียเวลานะโยม หลายวันนะ”
“เสียเวลาก็ไม่เป็นไร เรือไม่ได้ใช้”
เขาก็มาคุมเรือให้เอง เอาของใส่จอดอยู่ที่นั่น รุ่งขึ้น มึงมา กูมา ผลที่สุดเห็นท่ามันจะเต็มลำอยู่แล้ว ทองเหลืองทองขาวนะ ก็จะลากลับ กลับไม่ได้อีกแล้ว เรือวิ่งมาจะออกปากคลอง มึงเรียก กูเรียก ร้องไห้จะตาย ไม่มีที่ใส่ ก็นึกว่า เออ…ตกลงไม้เม้ย…ไม่ต้องหากันละ ไอ้เราอุตส่าห์ไม่เรี่ยไร วิ่งไปเรียบๆ มึงกวัก กูกวัก กวักผ้า ก็ต้องแวะ ต้องกลับมานอนที่เดิมใหม่
ผลที่สุดก็เลยขึ้นไปที่เทศบาล ถามว่า “มีเครื่องขยายเสียงไหม…ขอเช่า”
ปลัดเทศบาลก็แปลกเหมือนกัน บอกว่า “ถ้าวัดอื่นต้องเช่า แต่วัดนี้ไม่ต้องเช่า ผมให้พนักงานไปเสร็จ”
“เออ…ก็ดีเหมือนกัน มีคนร่วมมือได้ด้วยดี…เสร็จ”
เป็นอันว่ากว่าจะถึงวัด ทองเหลืองทองขาวเต็มทั้งเรือต่อเรือยนต์ สมัยนั้นเงินมันยังแพงอยู่นะ ยังได้เงินมาอีก ๒ หมื่นบาท มันก็เป็นการบังคับว่าต้องทำแหงๆ ไม่ทำไม่ได้ ใช่ไหม…
ฝนตกตั้งแต่เริ่มสร้าง
เมื่อมาหาช่าง ก็รู้สึกว่ามันพอไปหมด เขาเรียกว่า พอหมด ทองก็พอ เงินก็พอ ไปถามเขาว่าจะเอาเท่าไร…ก็พออีก ยังขาดเงินอีกอย่างเดียว คือการจัดงาน อันนี้ไม่ใช่ของแปลก เป็นอันว่าของท่านครบเสร็จ เวลาจัดงานก็มาตกลงกับช่าง
ช่างบอกว่า Wพอเริ่มปั้นหุ่น ฝนตกหนัก ปั้นหุ่นเสร็จ เอาสีผึ้งใส่ ฝนตกอีก เอาดินทรายทับ ฝนตกอีก”
เขาลากหุ่นไปจากกรุงเทพฯ ไปที่วัดบางนมโค พอไปถึงฝนตกใหญ่ ทีนี้ก็มาถึงวันหล่อ ตามธรรมดาวันหล่อพระ ฝนต้องตกปรอยๆ ตกหยิมๆ จึงจะดี ใช่ไหม…วันนั้นไม่หยิมละ ล่อเม็ดโป้งๆ เลย พอเทเสร็จ ฝนก็ลงจั้กๆ น้ำนอง พอเลิกแล้วหุ่นเย็น ก็ให้ช่างทุบ ช่างไม่ยอมทุบหุ่น บอกว่า “ลักษณะอย่างนี้ พระเสียหมด หมายความว่า จะยกหุ่นมากรุงเทพฯเลย แล้วก็มาแต่ง ถ้าเสียหายก็ต้องทำกันใหม่เลย”
ก็เลยบอกว่า “ไม่ได้หรอก งานมันยังมีอยู่ พิธีกรรมฉันเป็นคนทำนะ พิธีกรรมเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากว่าผลเสียหายเกิดขึ้น ก็แสดงว่าคนที่ทำพิธีกรรมน่ะ ทำไม่ถูก”
ช่างแกเกิดไม่ยอมทุบ ก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ผลที่สุดก็ตัดสินใจ เสียเป็นเสีย ลักษณะฝนตกแบบนี้เขาต้องเสีย พอทุบหุ่นออกมาแล้ว เรียบร้อยเกือบไม่ต้องแต่ง อีตาช่างน้ำตาไหล บอกว่า “ผมไม่เคยเจอะเลย” เพราะยังไงๆ ก็ต้องมาแต่งที่กรุงเทพฯ ให้เรียบร้อย เอาตะไบขัดให้ดี ใช่ไหม…แล้วก็ปิดทองเสร็จ เขาก็เอาไป
พอดีฝนมันแล้งจัด ชาวบ้านเขาจะไปเล่นนางแมวนางหมาอะไรนั่นแหละนะ แบบสมัยเก่า ฉันก็ไปยืนที่หน้าต่าง ถามเขาว่า “ทำไมเล่า?”
บอก “จะไปเล่นขอฝน”
บอกว่า “กลับไปเถอะ พรุ่งนี้เขาจะเอาพระพุทธชินราช มาจากกรุงเทพฯ ฝนจะตกตลอดตามที่ต้องการ”
ไอ้เราก็โม้ไปอย่างงั้นละ โม้ส่งเดช เจ้าพวกนั้นทำยังไง…วันรุ่งขึ้นมันก็มากันเต็มวัดเลย ไม่ใช่ตำบลเดียว ๒-๓ ตำบล ฝนมันไม่ตกนี่ แกก็มานั่งคอยพระพุทธชินราช ฝนจะตกไหม…
ไอ้เราก็ชักใจเสีย จะไปไหนก็ไปไม่ได้ ถ้าฝนไม่ตกมันคงทุบเราแน่ ก็เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ บังเอิญก็ได้ พุทธานุภาพก็ได้ พอเรือที่บรรทุกพระพุทธชินราชไปถึง พอจอดเทียบท่าวัด ฝนตก ๒ ชั่วโมงเต็ม ตกขนาดไม่ลืมหูลืมตา ล่อเต็มที่จั้กๆ ตั้งเวลาได้ ๒ ชั่วโมง
ก็เป็นอันว่าการแบกพระขึ้นเป็นของไม่ยาก เขาดีใจกันใหญ่ ช่วยแบกพระบ้าง ช่วยแบกคนบ้าง มันล่อกันเต็มที่เลย พอขึ้นมาเสร็จ เขาก็ตั้งกฏเลย แกเลยบังคับต้องทำบุญ ๓ วัน พวกนั้นเขาทำเอง ก็เลยบอกว่า “แกจะทำสักกี่ร้อยวันก็เชิญ ฉันอยู่วัดไม่ต้องบิณฑบาต”
เขาก็ขนกันทำบุญ พอทำบุญเสร็จ เขาเวียนเทียนเสร็จก็เข้าที่ ทีหลังก็ขอท่านตอนเย็น ขอให้ฝนตกพอดีๆ เท่าที่ข้าวเขาต้องการ ตกตลอดทุกวัน
อธิษฐานขอฝนตกที่อื่นก็ได้
ตอนนั้นมีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง รุ่งขึ้นอีกปีหนึ่ง ก็ไปสร้างโบสถ์ ที่ จ.ราชบุรี เขาให้ไปสร้างโบสถ์ แต่มันเป็นที่แนวลึกเข้าไปที่ใกล้ๆ แม่น้ำ บางที่เราไปง่าย เขาไม่ให้สร้างหรอก ไอ้ที่ชาวบ้านทำไม่ถึงละเราไป
ก่อนจะไปก็อาราธนาท่าน ขอบารมีท่าน ไม่ได้แบกท่านไปด้วยหรอกนะ ถ้าเรือบ่ายหน้าเข้าคลองเล็กละก้อ…พอไปถึงที่เรียบร้อย ขอให้ฝนตกใหญ่ ๒ ชั่วโมง แล้วก็ไป ก็น่าแปลกเรือเราไม่ได้บรรทุกท่านไป แต่เรานึกถึงท่าน ขณะที่เรือวิ่งไป เดือนเมษายนไม่มีแสงแดดเลย ไอ้เมฆนี่ที่จะบังทับไปอยู่ตลอดเวลา แปลกดีเหมือนกัน
เมื่อไปถึง พอเรือเบนเข้าคลองเล็ก ปรากฏว่าฝนตกพรำๆ ไปถึงที่ พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ฝนตกลงมา ๒ ชั่วโมง
มีโยมคนหนึ่งมาบอก “ท่าน…ดินสูงมาก ได้อีกสักชั่วโมงก็ดี”
เอางั้นอีก ไอ้เราก็ปากหมา บอก “เอาตีสองนะโยม…เอาอีก ๒ ชั่วโมง”
เราก็นึกว่าตีสองใครจะไปนั่งอยู่ มันกลับไปหมด ตกก็ตกไม่ตกก็ช่าง มันต้องกลับไปหมด ใช่ไหม…ที่ไหนได้ คนที่มามันไม่ยอมกลับ มันคอยดูตีสองอีก ซวยละเรา…เอายังไงกันแน่นะ มันก็นั่งดูนาฬิกา
ถาม “อยู่ทำไม?” “ก็ท่านบอกตีสอง ฝนจะตก”
เราก็เลยบอกว่า “ฉันพูดไปยังงั้นแหละ ด้วยพุทธานุภาพ ท่านจะให้หรือไม่ให้ ฉันบังคับไม่ได้นะ”
เขาก็บอก “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวขอดูใหม่”
ดาวที่เต็มฟ้าไม่มีมัวสักนิดเดียว เห็นดาวสบาย เค้าก็ไม่มี พอนาฬิกาตีเป๋ง…ลงพั๊วะทันที ล่ออีก ๒ ชั่วโมง
แต่ก็แปลก พอฉันจำจะต้องย้ายวัด เพราะครบ ๒๐ พรรษา ตามหลวงพ่อปานท่านสั่ง ก็เอามาไม่ได้เพราะว่าเป็นของสงฆ์ พอออกมาไม่ได้ พออยู่ข้างหลังใครไปขอเท่าไรฝนก็ไม่ตกเป็นไง…?
ถามท่านว่า “ทำไมจึงเป็นยังงั้น?”
บอก “ไม่มีใครเขารู้จักฉันนี่ แม้แต่ไหว้ยังไหว้ไม่ถูกเลย”
นี่เรื่องของพระพุทธชินราช ท่านให้ผลดีจริงๆ
จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๑-๗
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)