มโนมยิทธิ ๒ อตีตังสญาณ

อตีตังสญาณ ญาณในอดีต
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

ญาณในอดีตนี่ก็เหมือนกัน ทำอย่างไรมันก็ไม่ยาก รู้แล้ว ทางที่ดีนะครับให้ถามตรงองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว หรือว่าท่านผู้ใดมีเทวดาองค์ใด มีพระอริยเจ้าองค์ใด ที่ท่านจะสงเคราะห์บอกให้ ให้ถามเฉพาะองค์นั้น อย่าเปะปะเอะอะโวยวาย ถามใครก็ได้ อันนี้ไม่ได้แน่นอน ต้องถามเฉพาะบุคคล

และเวลาจะเข้าถาม ทำจิตสะอาด วางเฉยเป็นท่ามกลาง ไม่ข้องแวะอารมณ์ใดทั้งหมด ใครดีใครชั่ววางทิ้งเสียก่อน ทำใจเป็นกลาง แล้วก็ถามท่าน อย่างนี้จะดี จะสะดวกมาก เพราะว่าคนที่รู้อะไรทั้งหมดคือ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค พวกเรายังเป็นโรคอุปาทานอยู่ ดีไม่ดีความหลงใหลใฝ่ฝันในอุปาทานมันจะกินเรา

ก็รวมความว่า เราใช้กำลังใจ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ให้ขึ้นใจ และการทรงรูป จับรูปพระพุทธรูปเป็นนิมิต อย่าทิ้ง ทำเป็นประจำทุกวัน

ต่อไปเราไม่มีพระพุทธรูป เดินทางไปไหน จับภาพส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วจำภาพนั้นไว้ เท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกอย่างจะเพียบพร้อมบริบูรณ์ด้วยประการทั้งปวง

อตีตังสญาณ คือ ญาณในอดีต สำหรับญาณในอดีต นี่ก็หมายความว่า สิ่งที่ล่วงมาแล้ว สิ่งที่ล่วงมาแล้วเราต้องการพบ เราต้องเอา อนาคตังสญาณ เข้าช่วยด้วย ถ้าเราตั้งใจจะรู้ “ทำใจสบาย”

คำว่า ใจสบาย ตามที่พูดมาแล้ว คือ รักษาสะเก็ด รักษากระพี้ รักษาเปลือก ไว้ให้ได้ ใจจะเป็นสุข ใช้อารมณ์ได้ทุกวัน ตลอดทุกวินาที ที่เราต้องการอยากจะรู้

ทีนี้ถ้าเราต้องการรู้อดีต สมมุติว่า เราไปเจอะวิหารร้าง เมืองร้าง สถานที่ว่างเปล่า เราก็อยากจะทราบว่าสถานที่นี้มีอะไรบ้าง มีใครที่มีความสำคัญเกิดในที่นี้บ้าง สมัยนั้นรูปร่างหน้าตาของบ้านเมืองเป็นอย่างไรความสุข หรือความทุกข์ของบ้านเมืองเป็นอย่างไร

ถ้ายังไม่คล่อง อันดับแรก ให้นึกถึงภาพพระพุทธรูป คือภาพพระพุทธรูป หรือภาพพระพุทธเจ้าจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดินให้ทำเรื่อย ๆ ไป

ผมจะเล่าถึงวิธีการที่ผมทำมาในกาลก่อน

ในกาลก่อนผมใช้วิธีการอย่างนี้ ผมจะเดินไปไหน ผมจะนั่งที่ไหนผมจะนอนที่ไหนก็ตาม ถ้าว่างจากอารมณ์อื่นนิด ผมจะจับภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธรูป อย่างใดอย่างหนึ่งให้เห็นอยู่ในอกตลอดเวลา

ผมเดินไปบิณฑบาต เดินไปธุระ ไม่รู้ละ ผมใช้ของผมตลอดวัน และก็เป็น ได้ตลอดวันจริง ๆ ก่อนจะดูหนังสือผมต้องเห็นภาพพระพุทธเจ้าก่อน ทำให้จิตสบาย จะเดินไปไหน จะพูดกับใคร จะเข้าโรงเรียน จะสอนนักเรียน ผมเห็นภาพพระพุทธ- เจ้าตลอด บางครั้งเห็นทั้งในอกและเห็นทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คลุมตัวผมตั้งแต่ศีรษะลงมา คือนั่งครอบเลย

และภาพอย่างนี้ ถ้าคนอันธพาลเขาจะบอกว่า จะเอามาจากไหน เป็นภาพอุปาทาน ก็ช่างเถอะ เราทำจิตสะอาด นึกว่าเป็นอย่างนั้น เห็นภาพอย่างนั้นจริง ๆ ก็แล้วกัน และผลใหญ่จะเกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท นั่นคือ ต้องการรู้อะไร รู้ได้ทันที

สมมุติว่าถ้าเราอยากจะรู้จักสถานที่นี้ ว่าสถานที่นี้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร บ้านเมืองสวยสดงดงามขนาดไหน มีใครเป็นคนสำคัญสมัยนั้น มีความสุข มีความทุกข์ เป็นประการใด

เราต้องการทราบ ภาพนั้นก็จะปรากฏกับเรา เมื่อภาพนั้นปรากฏกับเรา เราก็เชื่อมั่นทันทีว่าภาพปรากฏครั้งแรก ให้เชื่อทันที ว่านั่นของจริง แต่ที่นี้ เมื่อภาพปรากฏอย่างนั้นแล้ว อย่าเพิ่งไว้ใจตัวเอง ว่าภาพที่เห็นนั้นจะจริงหรือไม่จริง จะเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า

ในเวลาเดียวกันเราก็ใช้อารมณ์แบบนี้ ของอะไรบ้างที่มีความสำคัญอย่างหนึ่ง แม้จะเป็นโถแตก ๆ ชามแตก ๆ จะซุกอยู่ตรงไหน ฝังอยู่ไหนซึ่งไม่ลึกนัก พอจะคุ้ยเขี่ยได้ในสถานที่นี้มีไหม ถ้าภาพนั้นปรากฏขึ้นกับใจของเรา และก็บอกสถานที่ว่าที่ตรงนี้มีอย่างนั้น เดินไปจุดนั้นทันที ขุดคุ้ยดูของที่เราเห็นภาพ มันมีจริงมั๊ย

ถ้ามีจริง นั่นแสดงว่า ภาพ อตีตังสญาณ ของเราถูกต้องหมด เวลานี้ เราใช้ ปัจจุปปันนังสญาณ ญาณปัจจุบัน ว่าในปัจจุบันนี้ มีอะไรบ้าง มีความสำคัญที่ไหน

อันนี้ต้องทำให้คล่อง ต้องทำเรื่อยๆ

อย่าลืมว่าเรายังไม่ใช่พระอรหันต์ อาจจะผิดบ้าง อาจจะถูกบ้าง ไม่ต้องกลัว แบบเราเรียนหนังสือ กว่าจะเขียนหนังสือเป็นตัวขึ้นมาได้ เราก็ผิดๆ ถูกๆ เขียนเป็นตัวบ้าง ไม่เป็นตัวบ้าง เขียนถูกบ้าง เขียนผิดบ้าง เมื่อทำบ่อยๆ คล่อง เรานึกจะเขียนอะไร ก็เป็นไปตามใจเรานึก

อย่างคนที่เขายิงปืนแม่น ก็เหมือนกัน ความจริงเขาไม่ได้แม่น มาจากท้องมารดา ออกมาก็ยิงปืนแม่นได้ทันที ไม่ใช่อย่างนั้น เขาต้องซักต้องซ้อม ต้องใช้กระ-สุนกันมาก ๆ นับเป็นร้อยเป็นพันนัด ความคล่องตัวยิงแม่นเหมือนจับวาง จึงปรากฏขึ้น ฉันใด

การฝึกฌานสมาบัติ ก็เหมือนกัน กับที่พูด และผลที่สุด ก็ต้องทำอย่างนี้แหละครับ คือ ทำเหมือนคนบ้า ทำมันเรื่อย ๆ ไป เราบ้าเข้าไปหาความดี เราบ้าดี เราทำลายบ้าชั่ว คือกิเลส ทำเรื่อยๆไป อย่างนี้จิตจะเพลิดเพลิน

อย่างประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่เขาเขียนไว้ ถ้าเราหยิบประวัติศาสตร์ขึ้นมาอ่าน อ่านไปตามเขาเขียนก่อน หลังจากนั้นก็วางหนังสือ

จิตย้อนเข้ามา ทบทวนสภาพเดิม ว่าตามประวัติศาสตร์ ที่เขียนไว้นั้นความจริง ภาพจริงๆ เป็นอย่างไร ดูความสุข ความทุกข์ของคน เหมือนกับดูหนัง ถ้าถอยหลังเข้าไป เขาจะมีความสุขแค่ไหน เขาจะมีความทุกข์แค่ไหน ทำให้ชิน ทำให้คล่อง

ความเป็นทิพย์ของจิต

สำหรับ ความเป็นทิพย์ของจิต นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ทรงตรัสว่า ต้องทำบ่อย ๆ ความจริง ทำให้คล่อง ทุก ๆ วันน่ะดี มันจะมีการคล่องตัว หนัก ๆ เข้าความเป็นทิพย์ปรากฏกับจิตเป็นประจำ

ความเป็นทิพย์จะปรากฏกับจิตเป็นประจำและแม่นยำ ก็คือ ต้องทรงกำลังความดีของจิต ตามที่กล่าวมาแล้วว่า รักษาสะเก็ด รักษาเปลือก รักษากระพี้ รักษาแก่น ความดีในพระพุทธศาสนาไว้

อาการต่าง ๆ ที่ต้องสัมผัสกับเรา บางทีไม่ต้องใช้กำลังสมาธิใด ๆ พอมีอารมณ์สบายปุ๊บ สิ่งนั้นจะปรากฏทันที ถ้าภาพนั้นปรากฏให้เชื่อทันที โดยที่เราไม่ได้นึกไว้ก่อน ว่าเป็นของจริง แล้วก็สังเกตไว้ จะเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริง

บางครั้งถ้ากำลังใจยังต่ำ ยังเป็นทาสของนิวรณ์อยู่บ้าง บางครั้งก็จะถูกอารมณ์หลอนเหมือนกัน ฉะนั้น จะต้องพยายามระงับนิวรณ์ไว้ ทุกขณะจิตที่เราต้องการ นั่นก็หมายความว่า ถ้าเป็นพระนี่มีความจำเป็น อย่าให้นิวรณ์รบกวนเกินไป

เมื่อทำได้อย่างนี้ ญาณรู้ในอดีต หรือสิ่งที่ล่วงมาแล้ว มันจะไม่พลาด มีความสนุกสนานมาก ใครเขาพูดอะไรก็ช่างเขาเถอะ เราก็รับฟัง พร้อมกับที่เรากำลังนั่งฟังเขาพูดนั่นแหละ ก็ใช้จิตทบทวนไปทันที

อย่างอดีตใกล้ปัจจุบัน เขาบอก เมื่อวานนี้ เมื่อกี้นี้ คนนั้นว่าอย่างนี้ คนนั้นทำไอ้นี่ เราก็อย่าไปคัดค้านเขา ตั้งใจอย่างเดียว ว่าถ้าหากว่า ถ้าสิ่งที่เขาพูดมันจริง หรือไม่จริง เราต้องการทราบ พอต้องการทราบเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ปากเราคุย จิตมันก็รู้ได้ ภาพเหล่านั้น มันจะเกิดกับจิตทันที และจะพบว่าวาจาที่เขาพูด เรื่องที่เขาเล่าให้ฟัง มันมีความจริงหรือไม่มีความจริง เพียงใด นี่เป็นประโยชน์ใหญ่มาก

บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร เหตุการณ์ในอดีต รู้ได้ทั้งของคนของสัตว์ หรือของวัตถุ ก็เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่ติดในโลก ทั้งนี้เพราะอะไร

ใครที่ไหนที่มีความสุข ความทุกข์ มีอำนาจวาสนาบารมี ต่างคนต่างก็ตายหมด คนทั้งหลายเหล่านั้น จำนวนก็ไม่น้อย สมัยนั้น เขาก็ตายกันหมด ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่หามาด้วยความเหนื่อยยาก รบราฆ่าฟันกัน แย่งทรัพย์สินกัน แย่งคนรักกัน แย่งสถานที่กัน แย่งความเป็นใหญ่กัน ในที่สุดต่างคนต่างตายหมด

แล้วเราล่ะ จะนั่งเมาสถานที่ นั่งเมาบุคคล นั่งเมาทรัพย์สิน นั่งเมาอำนาจวาสนา แล้วมันจะดีตรงไหน ในที่สุดเราก็ตาย นี่เป็นปัจจัยให้เกิดความเบื่อหน่ายในการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือพรหม

ถ้าอยากจะทราบประวัติความเป็นมาของคน เห็นหน้าปั๊บ ได้ยินชื่อปั๊บ ต้องการรู้อดีต ต้องการ….รู้ทันที ว่าอดีตของบุคคลผู้นี้ (คำว่าอดีต คือ เวลาที่ผ่านมา แล้ว แม้แต่ ๑ วินาทีก็ถือว่าเป็นอดีต ถอยหลังออกไปจะยาวจะสั้นไม่สำคัญ) อยากรู้ว่าคนนี้ เขามีจริยาเป็นอย่างไร มีนิสัยเป็นอย่างไร มีอารมณ์ใจเป็นอย่างไร

ถ้าต้องการรู้อารมณ์ใจก็รู้ได้ เพราะความเป็นทิพย์ของจิต เราเรียกว่า “เจโตปริยญาณ” ความจริงไม่มีอะไรหรอกครับ “ความเป็นทิพย์ของจิตอย่างเดียว เรารู้หมด” ใช้อย่างไหนเรียกอย่างนั้น รู้จิตคนอื่น เรียกว่า “เจโตปริยญาณ”

ต้องการถอยหลังชาติของเราเอง เป็น “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ” รู้เรื่องราวในอดีตของคนอื่น ของสัตว์อื่นและของสถานที่เรียก “อตีตังสญาณ” ความจริงก็ ทิพจักขุญาณ ตัวเดียว ส่วนที่มีความสำคัญจริง ๆต้องฝึกฝนใน ทิพจักขุญาณ ให้มาก

ประวัติของผม

ผมก็เล่าประวัติของผม ไอ้ผมน่ะไม่ดีไม่เด่ละครับ ก็มีความรู้เป็ด ๆ นี่แหละ เอามาคุยกับพวกท่าน แต่ความจริงเป็ดนี่ก็ดีเหมือนกันนะ มันว่ายน้ำก็เป็น มันวิ่งก็ได้ มันบินก็ได้ มันเดินก็ได้ มันร้องก็ได้ ถึงแม้ว่าจะทำไม่ดีเท่าไก่ ทำไม่ดีเท่าปลา แต่มันก็ยังทำได้บ้าง

อย่างพวกเรานี่ ที่เราฝึก มโนมยิทธิ กัน ก็เป็นความรู้เป็ด ๆ ในพระพุทธศาสนา ที่เขาหา เขาคิดว่าวิเศษวิโสน่ะ ความจริงมันไม่ใช่ อันนี้เป็นความรู้เบื้องต้นในพระพุทธศาสนาจริงๆ

ผมเอง ก็รู้สึกขอบคุณบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่ท่านสงเคราะห์ผม สนับสนุนทุกอย่าง จนกระทั่งมีความเข้าใจในพุทธศาสนาตามสมควร

ชนต่างชาติเขาก็เก่ง

อย่าลืมว่า อตีตังสญาณ ก็ดี ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ก็ดี ทิพจักขุญาณ ก็ดี ญาณใด ๆ ก็ตาม ชนต่างชาติเขาก็เก่ง

อย่างเลขานุการเอกของสถานทูตสิงคโปร์ ท่านพลเอกทวนทอง สุวรรณทัต เป็นคนฝึกให้ คนนี้เก่งมาก ใครเดินผ่านหน้าแกไม่ได้ แกดูหมด ว่าคนนี้มีสภาวะความจริงของจิตใจเป็นอย่างไรและการมานี่มีอะไรบ้าง เบื้องหลังที่ตาไม่เห็นแกเช็คหมด แล้วแกก็ฝึกภรรยา ฝึกลูกของแกให้ทำได้ ทั้งบิดามารดาของแกที่สิงคโปร์แกก็ทำได้

มีคนเคยถามว่า
“ก่อนจะเกิดเป็นชาวสิงคโปร์ เขาเคยเกิดที่ไหน?”

แกก้มหน้านิดตอบได้ทันที เงยหน้าขึ้นมา แกบอกว่า
“ก่อนที่จะไปเกิดที่นั่น เดิมทีแกเป็นลูกชาวนาของเมืองไทย เป็นคนไทย”

อย่างกับฝรั่งที่เดนเวอร์ สหรัฐอเมริกา ความจริงทั้ง ชิคาโก เดนเวอร์ แคลิ-ฟอร์เนีย เขาเก่งทั้งหมด แต่มีคนหนึ่งที่ผมชอบล้อ แกเป็นผู้หญิงตัวใหญ่ คนนี้ถามอะไรปั๊บ ก้มหน้าปุ๊บ เงยหน้าปั๊บ ตอบทันที เรื่องการระลึกชาติถอยหลัง แกรู้แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง ถ้าจะถามว่า แกโม้เรอะ ไม่ใช่ ผมถามสิ่งที่ผมรู้ และแกก็ตอบตรงกับที่ผมรู้ อันนี้มันเป็นเรื่องจริง เราควรจะภูมิใจ

อย่าทำตนให้ลืมความเป็นพระ

ขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมทั้งหลาย เราเป็นพระไทยที่ประกาศตนว่า เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพวกเราก็พากันเย่อหยิ่งในใจ ว่าประเทศไทยรักษาพระพุทธศาสนาได้ดีกว่าทุกประเทศ

ความจริงพระพุทธศาสนา ต่างประเทศเขาอาจจะมีเหมือนเรา หรืออาจจะมีดีกว่าเราก็ได้ เราไม่รู้ ที่เราพูดว่าเรารักษาไว้ได้ดีกว่าทุกประเทศ อาจจะมีสภาพเป็นคางคกในกะลาครอบก็ได้ ที่เราไม่มองหน้าคนอื่นเขา ไม่ดูหน้าเขา ว่าหน้าเขากับหน้าเรา ใครมันแจ่มใสกว่ากัน

เวลานี้ชาวอเมริกากันขาว-ชาวอเมริกันดำ และก็ชาวเยอรมัน เจ๊กที่สิงคโปร์เขาทำกันได้ และก็คล่องตัว แต่พวกเรา ที่เป็นภิกษุสามเณร เป็นพระ หรือเป็นเณร ….มีความสำคัญมากจงอย่าคิดว่าของเหล่านี้ยาก ถ้าคิดว่ายากก็แย่ ทั้งนี้เพราะอะไร

เพราะว่าญาติโยมพุทธบริษัททั้งผู้หญิง ผู้ชาย ทั้งเด็กผู้ใหญ่ มีการคล่อง ตัวมาก นักเรียนนักศึกษาเขาได้กันมากและคล่องตัวดีด้วย สภาพความเป็นทิพย์ของจิตเขา มีสภาพแจ่มใส

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาพระเณร ระวังกาย ระวังใจ ระวังวาจาไว้ให้มาก อย่าทำตนให้ลืมความเป็นพระ อย่าทำตนให้ลืมความเป็นเณร เพราะอะไร เพราะว่า ญาติโยมพุทธบริษัท มากท่าน ที่ทำได้ ท่านชอบเช็คพระ ตั้งแต่โลกันตนรกถึงนิพพาน

แต่ปรากฏว่าไปพบเอาพระช้างสีดอของเมืองไทย ในโลกันตนรกบ้าง ในอเวจีมหานรกบ้าง ขุมอื่นมีน้อย และก็พระช้างเผือกที่อยู่สวรรค์บ้าง พรหมโลกบ้าง เลยพรหมบ้าง

ถ้าถามว่าเป็นพระสมัยไหน เขาไม่ดูสมัยไกลน่ะซี เขาเล่นในสมัยใกล้ๆสมัยรัตนโกสินทร์นี่ก็ชอบชมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสมัยปัจจุบันนี่ เขาพบกันมากมาย

บางท่านก็เกิดความสลดใจ บอกว่า ความจริงท่านมีจริยาดีมาก เรียบร้อยดีทุกอย่าง สงบเสงี่ยมเรียบร้อย เรียกว่าน่าเลื่อมใสน่าไหว้น่าบูชา แต่ว่าพอตายไปแล้ว ลงอเวจีบ้าง ลงนรกโลกันต์บ้าง เขาก็ใช้การทบทวนถาม เรียกขึ้นมาถามได้จากขุมนรก

ท่านผู้นั้นก็เล่าตามความเป็นจริงทุกอย่าง เอาเงินเข้าบ้านบ้าง เอาของเข้าบ้านบ้าง ของที่ชาวบ้านเขาถวายมา บางท่านก็ทำตัวหมดสภาพความเป็นพระเลย เป็นฆราวาสที่ห่มผ้าเหลือง มีลูกมีเมียได้ ก็รวมความว่าท่านไม่ไหว

เรื่องนี้บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย ต้องระมัดระวัง

ดูพระที่ควรบูชา

ก็มีญาติโยมมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี แถวสระยายโสม ครูถามถึงความต้องการของพระ พระที่ท่านควรจะบูชา อันนี้เขาดูถอยหลังไปได้ ยังไม่ตายนะ ยังไม่ตายเขาใช้ ปัจจุปปันนังสญาณ กับ อตีตังสญาณ

ปัจจุปปันนังสญาณ ว่าปัจจุบันนี้ ท่านประพฤติดี หรือประพฤติชั่ว ควรจะบูชาหรือไม่ควรบูชา

อตีตังสญาณ ถอยหลังไปอีกนิดหนึ่ง ท่านทำอะไรไว้ ที่เป็นการควรบูชาหรือไม่ควรบูชา

ความจริงความรู้นี้ก็ดี เป็นเหตุให้บรรดาญาติโยมทั้งหลายรู้จักว่า พระองค์ไหนควรบูชา พระองค์ไหนไม่ควรบูชา จะได้พยายามผ่อนปรนค่อย ๆ กัน ดันพวกทำลายพระพุทธศาสนาให้สลายตัวไป ที่ท่านปลอมเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ไม่หวังดีในการปฏิบัติ หวังอย่างเดียวคือทรัพย์สินในการเลี้ยงชีพ อันนี้เป็นการทำลายความดี ของบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระพุทธศาสนา

ต้องทำจิตให้มีสภาพแจ่มใส

และก็อย่าลืมว่า ชาวต่างชาติเขามีความฉลาดมาก เขามีการคล่องตัวมาก บรรดาพวกท่านทั้งหลาย ที่นั่งอยู่ที่นี่ ท่านเป็นพระ เราไม่ได้แข่งกับเขา แต่ว่าในฐานะเราเป็นเจ้าของบ้าน ที่เราคุยกับเขาว่าเรามีพระพุทธศาสนา เราต้องพยายามทำให้มีสภาพแจ่มใส

ความจริงเขาจะดีขนาดไหน เป็นเรื่องของเขา เราทำให้ดีที่สุด อารมณ์ติดในชีวิตคิดว่า มันไม่ตาย เลิกคิด ยอมรับนับถือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ให้ทรงตัว พยายามทรงศีลให้บริสุทธิ์

จงอย่าคิดว่าอาบัติแสดงได้ ถ้าแสดงทีไร มันตกนรกทุกทีนะ ขึ้นชื่อว่าความชั่ว มันชั่วแล้วมันดีไม่ได้ ตั้งใจไว้โดยเฉพาะว่า เราบวชเพื่อนิพพาน ตามพระบาลีว่า

“นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหต๎วา” ซึ่งแปลเป็นใจความว่า “ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มา เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน”

อย่างนี้จิตจะสดใสทุกวัน สมกับเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.

<< ก่อนหน้า                 อ่านต่อ >>

ขอเชิญฝึกมโนมยิทธิ ณ ศูนย์พุทธศรัทธา ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา ๑๒.๓๐ น.

คำถามคำตอบปัญหาเกี่ยวกับการฝึกมโนมยิทธิ โดยศูนย์พุทธศรัทธา

เรื่องนี้ถูกเขียนใน มโนมยิทธิ และติดป้ายกำกับ , คั่นหน้า ลิงก์ถาวร