หลวงพ่อฤาษีฯ สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน ๑๑

หลวงพ่อฤาษีฯ สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน
ตอนที่ ๑๑ พระสกิทาคามีมรรค-ราคะ ๓

      ทีนี้ตอนมาถึงพระสกิทาคามี ปฏิบัติในตอนนี้ ความรวยในยามปรกติที่เราหาได้ ก็เกิดความพอ ความดิ้นรนในลาภสักการะ เหลือน้อยเต็มที แต่ว่างานทุกอย่างทำตามหน้าที่ มีนาอยู่ร้อยไร่ เราก็ยังทำเต็มร้อยไร่ ลงทุนเพื่อการค้าขายเท่าไหร่ เราก็ยังลงทุนอยู่ ถือว่าทำตามหน้าที่ แต่ว่าปราศจากความคดโกง ปราศจากการทุจริต การยื่นโยนสงเคราะห์ในการให้ทาน อย่างนางวิสาขามหาอุบาสิกากับท่านอนาถปิณฑิกะเศรษฐี ท่านสงเคราะห์ด้วยดีทุกอย่าง

 

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน
ในระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑

ตอนที่ ๑๑ พระสกิทาคามีมรรค-ราคะ ๓

สำหรับบัดนี้ ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานพระกรรมฐานและสมาทานศีลแล้ว บทว่า อิมาหัง ภควา อัตตภาวัง ตุมหากัง ปริจัชชามิ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนที่ได้ยินเสียงอย่างนี้และท่านว่าตามอย่างนี้ ความรู้สึกของท่านเป็นยังไง ท่านว่าตามไปตามประเพณี หรือว่า ว่าไปด้วยความตั้งใจ หวังจะอุทิศชีวิตและร่างกายเป็นการบูชาพระรัตนตรัยหรือเปล่า

สำหรับคำนี้เป็นเครื่องวัดกำลังใจของท่าน เพราะว่าคนที่จะเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จะเป็นพระโสดาบัน มีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริงๆ มีความเคารพในพระธรรม มีเคารพในพระสงฆ์จริง คือมั่นคงในคุณพระรัตนตรัยทั้งสามประการจริง และก็มีศีลบริสุทธิ์จริง มีอารมณ์จับพระนิพพานจริง นี่เป็นอาการของพระโสดาบัน

เมื่อคติเข้าถึงพระโสดาบันแล้วก็ บรรเทาความรัก บรรเทาความโลภ บรรเทาความโกรธ บรรเทาความหลง คำว่าบรรเทาความรัก ก็หมายความว่า มีรักอยู่ในขอบเขตของศีลธรรม รักกันเฉพาะคู่ตัวผัวเมีย นี่ผมหมายถึงความรักในด้านกามารมณ์ จิตใจไม่ไปยุ่งกับคนอื่น ด้านความโลภ พระโสดาบันยังมีการอยากรวย แล้วรวยอยู่ในขอบเขตของศีล รวยอยู่ในขอบเขตของระเบียบประเพณี ไม่อยากรวยนอกรีตนอกรอย พระโสดาบันยังมีความโกรธ ที่ว่าบรรเทาความโกรธ ก็เพราะว่าได้แต่โกรธ ประทุษร้ายเขาไม่ได้ พระโสดาบันยังมีความหลง เพราะว่ายังรักสวยรักงาม ยังมีความรัก ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ จึงชื่อว่ามีความหลง

แต่ถึงกระไรก็ดี พระโสดาบันยังมีความดีอยู่มาก คือ หนึ่งไม่ลืมความตาย ไม่ประมาทในชีวิต ประการที่สองมีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระอริยสงฆ์อย่างจริงจัง ไม่สักแต่ว่าทำความเคารพ และมีศีลบริสุทธิ์ จิตมีความสงบ รักพระนิพพานเป็นอารมณ์

ที่นำมาพูดนี้เพราะว่าสงสัย สงสัยว่าคนในกลุ่มของเราบางคน จะมีนิสัยประเภทเพียงสักแต่ว่าจับปลายรูป คอยแต่ตำหนิติเตียนคนอื่น แต่ตนเองไม่มีความดีพอ คนที่ชอบตำหนิคนอื่นน่ะ แสดงว่าจิตใจมันเลวจัด ถ้าใจของเราไม่เลว มันก็ไม่อยากจะติใคร กิเลสบางประการก็สักแต่เพียงว่าทำสีหลอกชาวบ้าน ทำเหมือนว่าฉันนี่เป็นปราชญ์ เป็นคนดีมีความรู้ มีการบรรลุมรรคบรรลุผล แต่จิตใจของตนยังประกอบด้วยความเลวทราม แม้แต่การเคารพในพระรัตนตรัยก็ยังไม่มี นี่จุดนี้เป็นจุดสำคัญ คือเป็นจุดบอดสำหรับบุคคลที่เกิดมาแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราได้ฟังคำสอนกันทุกๆ วัน วันละหลายเวลา แต่จิตของเรายังไม่บรรเทาความรักในระหว่างเพศ ไม่บรรเทาความโลภ ไม่บรรเทาความโกรธ ไม่บรรเทาความหลง แสดงว่าเราเป็นอาภัพพะบุคคล เป็นบุคคลที่หาความดีไม่ได้ ที่พระพุทธเจ้าไม่ต้องการ ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายจงระมัดระวังจิตใจของท่านในเรื่องนี้ให้มาก อย่ามีความประมาท เกิดมาเป็นคนแล้ว จงอย่ากลับลงไปเป็นสัตว์นรก เพราะว่าถ้าอยู่แดนอย่างนี้ ถ้าลงก็ลงลึก เพราะว่าชาวบ้านเขาคิดว่าเราดี

ต่อแต่นี้ไปก็มาพูดกันถึงเรื่องพระสกิทาคามีมรรค สกิทาคามีมรรคในด้านอสุภสัญญาหรือว่าในด้านความรักในระหว่างเพศ ผมพูดมายาวไปหน่อย แต่ทั้งๆที่ยาวนี่ความจริงมันก็ยาวมาหลายปีแล้ว ถ้าจะเอาเรื่องนี้มาพูดกัน มาต่อกันทุกๆ ปีหรือทุกคราวที่ผมพูด มันก็จะกลายเป็นหนังสือเล่มใหญ่ แต่ทว่าอาศัยบุคคลบางคนที่มีน้ำใจหยาบ เป็นอาภัพพะบุคคลไม่ได้รู้เรื่องนี้เสียเลย เป็นที่น่าเสียดาย คือความรักกับความโลภนี่มันตัวเดียวกัน

วันนี้ก็จะขอพูดเรื่องความโลภสำหรับพระสกิทาคามี ที่เรียกว่าปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความเป็นพระสกิทาคามี เขาเรียกว่าสกิทาคามีมรรค จิตดวงนี้ แต่ความจริงเนี่ย เราตัดความรักในระหว่างเพศเสียได้ ความโลภมันก็ขาด ความโลภ หรือความโกรธ ความหลง มันก็มีกำลังเบาไปเสมอๆ กัน แต่เพื่อความเข้าใจของบรรดาท่านทั้งหลาย ก็จะขอนำมาพูดไว้

แต่ความจริงถ้าผมเองล่ะผมไม่อยากฟัง เพราะว่าผมไม่ได้ศึกษามามากอย่างพวกท่านศึกษากัน ผมศึกษามาตามปรกติ ครูบาอาจารย์สอนเล็กน้อยผมก็พยายามทำให้มันได้ จุดใดที่อาจารย์สอนถ้าเรายังทำไม่ได้เราก็ไม่เข้าไปหาครูบาอาจารย์ ส่วนใหญ่ผมก็นำมาจากตำรับตำรา ผมไม่ได้กวนอาจารย์มาก ถ้าส่วนใดในตำราที่ผมดูแล้วไม่เข้าใจ นั่นถึงจะเข้าไปหาครูบาอาจารย์ แต่ถ้าส่วนใดมีตำราอยู่แล้ว เราก็ปฏิบัติไป มันจะผิดหรือมันจะถูก จึงเข้าไปหาครูบาอาจารย์ใหม่ โดยการซักซ้อมผลแห่งการปฏิบัติ ส่วนใหญ่เราก็ปฏิบัติถูก แต่มันมีส่วนหยาบ ท่านก็เตือนเข้าไปหาส่วนละเอียด มันก็เป็นการเตือนเล็กน้อย อย่างนี้เราก็ทำกันได้

รวมความว่า การที่เราทำกันจริงๆ เราจับสักกายทิฐิตัวเดียว แล้วก็เอาสังโยชน์ทั้งสิบประการเป็นเครื่องวัดใจ เขาทำกันแค่นี้ เขาไม่ได้ทำกันมากกันมาย ผลที่มันจะพึงได้ ก็คือผลที่เราต้องการ แล้วก็เป็นผลที่พระพุทธเจ้าต้องการ นี่พูดกันถึงคนดี คนรู้จริง สำหรับคนเอาจริง นี้สำหรับผมพูดนี่ผมพูดเผื่อว่าไม่รู้ แต่ความจริงมันก็หนามากนะ ถ้าไม่รู้แบบนี้หนามาก ฟังกันมานานแล้ว ตำรับตำรามีอยู่ เทปมีฟัง และก็ฟังฟรีกันตลอด ถ้ายังไม่เข้าใจ ยังลดไม่ได้ล่ะก็ นิมนต์สึกไปเถอะถ้าเป็นพระ เป็นพระเป็นเณรนิมนต์สึกไปเถอะ ไม่มีอะไรจะดีหรอก

ตอนนี้มาพูดกันตามจุดของพระสกิทาคามีมรรค ในเมื่อความโลภนี่เราบรรเทากันมาได้แล้วจากพระโสดาบัน จริยาของพระโสดาบัน ก็ดูตัวอย่างนางวิสาขามหาอุบาสิกา และท่านอนาถปิณฑิกะเศรษฐี ท่านทั้งสองนี้เป็นผู้บรรเทาความโลภ

ความจริงท่านเป็นมหาเศรษฐี งานในยามปรกติในการทำมาหากินของท่าน ท่านก็ทำมาหากินเป็นปรกติ ไม่ใช่ว่าพอเจริญวิปัสสนาญาณเข้ามาแล้ว แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ เจริญสมถะวิปัสสนารักษาศีลทำอะไรไม่เป็น เขาไม่ใช่ยังงั้น เขาทำกินกันตามปรกติ เพราะว่าร่างกายมันจะต้องกิน จะต้องมีของใช้ เพราะร่างกายมันจะต้องใช้ แต่ว่าจิตใจของเขามีความรู้สึกอยู่อย่างเดียว คือตายแล้วเลิกกัน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราทำ เพราะความจำเป็น จำใจ เพราะร่างกายมันมี

ให้ทราบว่าพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ยังมีงานทำ เพื่อความเป็นอยู่ของขันธ์ ๕ และก็เพื่อความเป็นสุขของสังคม นี่เขาไม่ได้นั่งคิดจะมาร่ำมารวยกัน พอถึงพระสกิทาคามีนี่ เขาทำกันยังไง ความโลภมันถอยหลัง มันถอยหลังกลับไป ที่เราเรียกว่ามึงมากูมุด อันนี้พอถึงความเป็นพระอริยเจ้าแล้ว มีงไม่มากูก็มุด ความจริงระบบนี้เราก็ควรจะมุดมา ตั้งแต่ก่อนที่จะเป็นพระอริยเจ้า ถ้าก่อนเป็นพระอริยเจ้าเราไม่มุด ก็ตั้งหน้าตั้งตาสู้กับความโลภมันก็เสร็จ

ทีนี้ตอนมาถึงพระสกิทาคามี ปฏิบัติในตอนนี้ ความรวยในยามปรกติที่เราหาได้ ก็เกิดความพอ ความดิ้นรนในลาภสักการะ เหลือน้อยเต็มที แต่ว่างานทุกอย่างทำตามหน้าที่ มีนาอยู่ร้อยไร่ เราก็ยังทำเต็มร้อยไร่ ลงทุนเพื่อการค้าขายเท่าไหร่ เราก็ยังลงทุนอยู่ ถือว่าทำตามหน้าที่ แต่ว่าปราศจากความคดโกง ปราศจากการทุจริต การยื่นโยนสงเคราะห์ในการให้ทาน อย่างนางวิสาขามหาอุบาสิกากับท่านอนาถปิณฑิกะเศรษฐี ท่านสงเคราะห์ด้วยดีทุกอย่าง

ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า ท่านทั้งสองนี้ในยามที่เข้าไปสู่วัด จะมองเห็นมือท่านเป็นผู้มีมือเปล่าไม่มี ในตอนเช้าหรือก่อนเที่ยง ท่านจะมีอาหารไปถวายพระ เวลาเข้าไปวัด เวลาในเวลาวิกาล ก็จะมีเภสัชเข้าไปเสมอ สำหรับการให้ทานของท่านทั้งหลายพวกนี้ ท่านให้ไม่หวังผลตอบแทน ให้เพื่อเป็นการหวังในการสงเคราะห์ จิตคิดจะละโมบโลภมากไม่มี มีจิตดวงเดียวคือการให้

ทว่าการให้ของพระอริยเจ้านี้ท่านเลือกบุคคลที่จะให้ พระสงฆ์ชื่อว่าปุญญักเขตตัง เป็นเนื้อนาบุญของโลก แต่ทว่าถ้านาเลว ท่านก็ไม่ให้เหมือนกัน อย่างภิกษุโกสัมพีไม่เชื่อในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทะเลาะกันแตกร้าวกัน บรรดาพระอริยเจ้าที่เป็นฆราวาสทั้งหลายไม่ยอมใส่บาตรเด็ดขาด พระพวกนั้นจะได้กินอยู่บ้าง ก็ชาวบ้านที่เป็นปุถุชนคนหนาแน่นไปด้วยกิเลส ที่ถือกันว่าชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ เห็นว่าหัวโล้นห่มผ้าเหลืองก็ใช้ได้ แบบนั้นเป็นแบบที่ส่งเสริมผู้ทำลายความดีของพระศาสนา เรียกว่าส่งเสริมโจรผู้ปล้นพระศาสนา ฆราวาสผู้นั้นก็ทำไม่ถูกเหมือนกัน อย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ

ในขณะที่บรรดาภิกษุชาวโกสัมพี จะไปขอขมาโทษต่อพระพุทธเจ้า ที่พระเชตวันมหาวิหาร ตอนนั้นท่านอนาถปิณฑิกะเศรษฐีท่านเป็นพระโสดาบัน ท่านขออนุญาตองค์สมเด็จพระพิชิตมาร จะไม่ยอมให้พระบรรดาทั้งหลายพวกนี้เข้ามา เห็นมั้ย ว่าพระอริยเจ้าน่ะเขาไม่ได้เคารพส่งเดช ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าโกนหัวโกนคิ้วห่มผ้าเหลืองเขาก็ไหว้ เขาเลือกที่ไหว้ เขาจึงเป็นพระอริยเจ้าได้ ฉะนั้นการให้ก็เหมือนกัน การให้ของพระอริยเจ้า ย่อมให้ไม่หวังผล แต่ทว่าการให้ประเภทนั้น ก็จะต้องดูคนว่าเป็นบุคคลผู้ควรให้หรือไม่

เป็นอันว่าสำหรับเรื่องสกิทาคามีมรรคในเรื่องทานนี่ ผมจะไม่พูดอะไรมาก เพราะว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าท่านตัดราคะมาเสียได้แล้ว หรือบรรเทาเสียจนกระทั่งมันสยบ เรื่องโลภะความโลภ มันจะมาจากทางไหน ก็จะทรงไว้แต่เพียงอาชีพที่มีความสุจริต แต่ก็ไม่ใช่ขี้เกียจ ยังหาเพิ่มเติมตามความจำเป็น แต่ว่าจิตใจของท่านไม่ผูกพันในทรัพย์สิน

จะยกตัวอย่างจริยาของบุคคลในปัจจุบัน ที่การบริจาคทานของท่านผู้นี้ มีจริยาคล้ายพระอริยเจ้า นี่ฟังกันให้ดีนะ ผมไม่ได้บอกว่าคนพวกนั้นเป็นพระอริยเจ้า เขาจะเป็นกันหรือไม่เป็นผมไม่รู้ เพราะว่าผมไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่ผมจะบอกว่าเขาพวกนั้นบริจาคทานในการสงเคราะห์คล้ายพระอริยเจ้า นั่นก็คือคนในคณะกรรมการเจ้าหน้าที่ศูนย์ของเรา เจ้าหน้าที่ในศูนย์ของเรานี่ ผมก็นับตัวไม่ถ้วนเหมือนกันว่าใครบ้าง หรือว่าบุคคลที่เขาสงเคราะห์เข้ามาในศูนย์ของเรา คือคำว่าศูนย์ของเรานี่ เป็นศูนย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ขอร้องให้ผมตั้งขึ้น ศูนย์นี้ต้องชื่อว่าเป็นศูนย์ของพระองค์ ไม่ใช่ศูนย์ของผม

ถ้าศูนย์ของผมน่ะผมทำมานานแล้ว แต่มันเตาะแตะๆ คล้ายกับเด็กสอนเดิน ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงขอร้องให้ตั้งขึ้น แล้วพระองค์ก็ทรงพระราชทาน พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ มาหนึ่งแสนบาท เป็นการเริ่มต้นของศูนย์ ต่อมาก็ทรงพระราชทานอีกสองครั้ง เฉพาะเงิน รวมแล้วสองแสนเศษเกือบสามแสน แล้วยังมีสิ่งของที่คนอื่นเขาโดยเสด็จพระราชกุศลอีกมากมาย เมื่อใครเขามอบของก็ทรงพระราชทานส่งมาให้ ฉะนั้นศูนย์นี้จึงชื่อว่าเป็นของพระองค์

นี่การพระราชทานทรัพย์สงเคราะห์กับคนยากจนในถิ่นทุรกันดารหรือไม่กันดารก็ตาม อย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี และก็เช่นกับบุคคลทั้งหลายที่เขาสงเคราะห์ร่วมมากับสงฆ์ก็ดี เจ้าหน้าที่ทั้งสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษที่ช่วยเราทำงานทุกอย่าง เธอทำงานกันไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ไม่มีสินจ้างรางวัลใดๆ และก็สละทรัพย์ส่วนตน เสียค่ารถ ค่าพาหนะ ค่าอาหาร ในการมาทำการช่วยจัดการงานของศูนย์ก็ดี หรือว่าไปช่วยแจกของกับคนที่ยากจนในถิ่นทุรกันดารก็ดี เธอทั้งหลายเหล่านั้นไม่เคยเอาเปรียบศูนย์

คำว่าเอาเปรียบศูนย์ก็หมายความว่า ไม่ทำงานแต่ว่ารับเงินค่าจ้าง นี่เงินค่าจ้างพวกเธอเองทั้งหมดไม่เคยรับ ผมก็ไม่เคยให้ และนอกจากเธอจะทำงานกันอย่างแข็งแรงอย่างคาดไม่ถึง ก็ยังเสียสละทรัพย์ส่วนตัว ร่วมกิจการของสงฆ์ในการแจก นอกจากนั้น ค่ารถ ค่าพาหนะต่างๆ ค่าโดยสาร ที่ต้องเช่ารถเขาไป เธอก็ออกกันเอง ค่าอาหารการบริโภคเธอก็ออกกันเอง แล้วเราไปดูน้ำใจของบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ ที่เขาทำ เขาทำน่ะเขาหวังผลตอบแทนหรือเปล่า ที่เป็นวัตถุ ว่าการให้แล้วคนพวกนี้จะต้องมายกมือไหว้มาขอบคุณ ขอบคุณแล้วต้องชำระหนี้ จะต้องเอาของมาให้เป็นการตอบแทน เพราะการให้แก่คนทั้งหลายเหล่านั้น เราไม่รู้จักมาก่อน การที่จะไปทวงบุญทวงคุณนั้น มันเป็นไปไม่ได้

ก็ต้องดูตัวอย่างน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมาชิกคือบุคคลผู้มีศรัทธาสงเคราะห์ศูนย์ก็ดี เจ้าหน้าที่ของศูนย์ของเราก็ดี ที่ทำงานกันเป็นสาธารณะประโยชน์โดยไม่หวังผลตอบแทน จริยาการให้ทานแบบนี้ เป็นจริยาของพระอริยเจ้า ถ้าจะกล่าวกันไปก็มีจริยาคล้ายกับจริยาของ นางวิสาขามหาอุบาสิกา หรือท่านอนาถปิณฑิกะเศรษฐี

ถ้าอารมณ์แห่งการให้มีอย่างนี้ล่ะก็ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนอย่างหนึ่ง นี่ประการหนึ่ง เด็กของเราหลายคน มีน้ำจิตน้ำใจเป็นกุศล ถึงกับอยากจะลาออกจากราชการ มาทำงานของศูนย์ ที่ไม่มีผลตอบแทน ไม่มีเงินเดือน ไม่มีเบี้ยเลี้ยง นี่พวกเธอเสียสละกันขนาดนี้ น้ำใจอย่างนี้แหละ เป็นน้ำใจที่ตัดโลภะ ความโลภ และเป็นน้ำใจที่ตัดความโลภเช่นเดียวกับพระอริยเจ้าทั้งหลาย

ฉะนั้นผมจะไม่แนะนำอะไรมาก หากว่าท่านไม่เข้าใจล่ะก็ จงดูตัวอย่างบรรดาเด็กหญิงและเด็กชาย ของเราผู้ชายน้อย ผู้หญิงมาก เด็กๆ ที่มาทำงานเพื่อศูนย์ ทำงานสงเคราะห์คนผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ถึงวันเวลา บางคนก็รับราชการมีหน้าที่ตำแหน่งสูง จนถึงเป็นถึงนายพล แต่เขาทุกคนผู้นั้นเวลาทำงานก็ทำงานอย่างกุลี เข้าไปคลุกคลีกับคนทุกคน อย่างไม่ถือเนื้อถือตัว ไม่แสดงความรังเกียจว่าคนทั้งหลายเหล่านั้น จะเป็นคนจนจะมีฐานะเช่นใด ใจของท่านทั้งหลายพวกนั้น เต็มไปด้วยความโอบอ้อมอารี มีความเมตตาปรานี หวังในการสงเคราะห์ และก็คนทุกคนที่ทำงาน ไม่มีเงินเดือน ไม่มีเบี้ยเลี้ยง ออกค่ากินเอง ออกค่าพาหนะเอง

นี่ตัวอย่างของบรรดาท่านทั้งหลายที่ช่วยทำงานของศูนย์ เป็นตัวอย่างที่ดี เป็นจริยาที่แสดงถึงว่าจิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีโลภะอันขาดแล้ว หมายความว่ามีความโลภในด้านอกุศลนั้นขาดแล้ว

โลภะแปลว่าได้มา ต้องเพ่งเอาสองประการ คือได้มาเพราะความโลภ เป็นการทำลายความดี หรือได้มาด้วยความสุจริต ถ้าเขาได้มาด้วยความสุจริต คนเป็นพลทหาร พลตำรวจ เขาทำความดีจนกระทั่งเลื่อนขึ้นเป็นนายพล อย่างนี้ไม่ใช่ความโลภ เป็นสัมมาอาชีวะ คนที่ประกอบกิจการงานในการค้าการขาย ทำไร่ทำนาหรือว่ารับจ้าง ถ้าสร้างความดีจนมีฐานะร่ำรวย อย่างนี้ไม่ใช่ความโลภ เป็นสัมมาอาชีวะ พระอริยเจ้ายังต้องทำ

อย่าว่าแต่พระสกิทาคามีหรือว่าพระโสดาเลย ถึงแม้พระอนาคามีก็ทำ สำหรับพระที่เป็นพระอรหันต์ท่านก็ทำ อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านสงเคราะห์บรรดาประชาชนทั้งหลาย จนกระทั่งเขามีความเลื่อมใสในพระองค์ ถวายของเข้ามาราคามากแสนมาก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงรับ แต่รับแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ไม่ได้ไปสั่งสมเพื่อความอยู่เป็นสุข เพื่อความร่ำรวยแต่ผู้เดียว กลับเอาของทั้งหลายเหล่านั้นปล่อยให้เป็นสาธารณะประโยชน์เพื่อความสุขของบุคคลส่วนใหญ่

นี่สำหรับเรื่องความโลภนี่วิธีตัด เขาก็ตัดกันด้วยการให้ทาน ไม่ใช่ตัดกันด้วยความละโมบโลภมาก อันนี้ผมพูดวันเดียว ให้ดูตัวอย่างเด็กๆ ที่มาทำงานก็แล้วกัน อธิบายไปมันก็ยุ่งพูดกันมาเยอะแยะแล้ว

เป็นอันว่าสำหรับพระสกิทาคามี เริ่มต้นตั้งแต่พระโสดาบัน พระโสดาบันลดความโลภคือการหามาด้วยการทุจริต จะหาแต่เฉพาะสุจริตทำเท่านั้น มีจิตเมตตาปรารถนาจะเกื้อกูลบุคคลทุกคนให้มีความสุข แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน อย่างนางวิสาขามหาอุบาสิกาและท่านอนาถปิณฑิกะเศรษฐี ท่านทั้งสองนี้ให้ทานไม่จำกัด

สำหรับท่านอนาถปิณฑิกะเศรษฐี จนลงไปถึงกับข้าวที่เป็นเม็ดไม่มีกิน มีกินเพียงข้าวปลายผสมกับน้ำผักดอง เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไป ท่านก็ไม่ลดทานของท่าน เคยถวายสงฆ์วันละ ๕๐๐ องค์เพียงใด ท่านก็ถวายเท่านั้น แม้แต่กับข้าว ข้าวมันจะไม่ดี ท่านก็เห็นว่าไม่สำคัญ ใจของท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยการให้ทาน นี่เป็นตัวอย่างว่าความโลภที่เราจะตัดกันได้ ก็เพราะอาศัยการให้ทาน จิตมีความสงสารปรารถนาในการสงเคราะห์ และการให้ทานนั้นเป็นการให้ที่ไม่หวังผลในการตอบแทน

สำหรับโลภะนี่ผมจะไม่สอนตามลำดับ เพราะไม่เห็นมีอะไร เพราะว่าถ้าเราบรรเทาความรักในระหว่างเพศเสียได้ ก็ชื่อว่าเราบรรเทาความโลภไปด้วย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะตัวรักกับตัวโลภนี่เป็นตัวเดียวกัน ฉะนั้นวิธีที่จะสอนก็จะไม่สอนอะไรมาก ให้คิดแต่เพียงว่า จิตคิดอยู่ว่าเราจะสงเคราะห์คนและสัตว์ให้มีความสุข ไม่ใช่คิดจะเอาเปรียบจะเอากำไร การแสวงหารายได้จะหาได้โดยชอบธรรมเท่านั้น สิ่งใดที่ไม่เป็นไปโดยชอบธรรมเราจะไม่หา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับท่านที่ปฏิบัติพระกรรมฐาน เริ่มต้นตั้งแต่จะปฏิบัติพระกรรมฐานเป็นต้นมา พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าพระโยคาวจร เป็นผู้ที่มีความประพฤติประกอบไปด้วยความดี จะต้องพยายามตัดทั้งราคะ พยายามตัดทั้งโลภะ พยายามตัดทั้งความโกรธ พยายามตัดทั้งความหลง

เป็นอันว่าสำหรับโลภะตัวนี้ สำหรับเรื่องพระโสดาหรือพระสกิทาคามี ผมก็ยอมงดพูดแต่เพียงเท่านี้ เพราะว่าตัวอย่างมีอยู่แล้ว ถ้าจะพูดไปก็ไร้ประโยชน์ ขอย้ำอีกนิดหนึ่งว่าดูตัวอย่างพวกเด็กๆ ที่มาทำงานเพื่อศูนย์ เธอทำงานกันเหน็ดเหนื่อย เธอจ่ายของเธอเอง ค่าเดินทางมาเดินทางไป กินระหว่างทาง บางทีมาถึงที่วัด เธอก็ซื้อกินของเธอเอง และการไปแจกของเป็นส่วนสาธารณะประโยชน์ เธอก็ต้องเสียค่าพาหนะเอง แล้วเธอก็ยังเสียสละสตางค์เอามาช่วยผมอีก ก็เกรงว่าหลวงพ่อจะขาดทุน แต่ความจริงถ้าพวกเธอไม่เรียกค่าจ้างมันก็เป็นบุญอยู่แล้ว เธอยังกลัวขาดทุน นี่แสดงว่าน้ำใจของเธอพวกนี้ มีจริยาในการให้ทานคล้ายพระอริยเจ้า อย่าลืมนะ ว่าผมพูดว่าคล้ายพระอริยเจ้า ผมไม่ได้บอกว่าพวกเธอเป็นพระอริยเจ้า เพราะการจะบอกอย่างนั้นเป็นเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ผู้เดียว

เอาละสำหรับวันนี้ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอทุกท่านพยายามตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยและตามสมควรแก่เวลาที่ท่านเห็นว่าสมควรจะเลิก สวัสดี

— จบ ตอนที่ ๑๑ พระสกิทาคามีมรรค-ราคะ ๓ —

 

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน
ในระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑ มีทั้งหมด ๑๘ ตอน

ตอนที่ ๑ อานาปานุสสติกรรมฐาน
ตอนที่ ๒ ขณิกสมาธิ
ตอนที่ ๓ อุปจารสมาธิ
ตอนที่ ๔ อารมณ์ของฌาน
ตอนที่ ๕ วิปัสสนาญาณ
ตอนที่ ๖ อารมณ์พระโสดาบัน (๑)
ตอนที่ ๗ อารมณ์พระโสดาบัน (๒)
ตอนที่ ๘ พระสกิทาคามีมรรค
ตอนที่ ๙ พระสกิทาคามีมรรค-ราคะ ๑
ตอนที่ ๑๐ พระสกิทาคามีมรรค-ราคะ ๒
ตอนที่ ๑๑ พระสกิทาคามีมรรค-ราคะ ๓

(รออ่านต่อ)
ตอนที่ ๑๒ พระสกิทาคามีมรรค-โทสะ ๑
ตอนที่ ๑๓ พระสกิทาคามีมรรค-โทสะ ๒
ตอนที่ ๑๔ พระสกิทาคามีมรรค-โมหะ
ตอนที่ ๑๕ พระอนาคามีมรรค ๑
ตอนที่ ๑๖ พระอนาคามีมรรค ๒
ตอนที่ ๑๗ พระอรหัตตมรรค
ตอนที่ ๑๘ พระอรหัตตผล (ตอนจบ)

 

ฟังเสียงธรรม-หลวงพ่อฤาษีฯ สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน ๑๘ ตอน

เรื่องนี้ถูกเขียนใน หลวงพ่อสอนอานาปานสติ และติดป้ายกำกับ คั่นหน้า ลิงก์ถาวร