หลวงพ่อฤาษีฯ สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน ๙

หลวงพ่อฤาษีฯ สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน
ตอนที่ ๙ พระสกิทาคามีมรรค-ราคะ ๑

      ไอ้ขันธ์ ๕ คือร่างกายของเราก็ดี ของเขาก็ดี ปรกติมันเป็นสุขหรือมันเป็นทุกข์ เราก็จะมองเห็นว่ามันทุกข์ทุกจุด เราจะทรงกายขึ้นมาได้นี่มันทุกข์ทุกวัน ไม่มีจะกินมันก็ทุกข์ กินเข้าไปแล้วมันก็ทุกข์ การหากินมันก็ทุกข์ ความปรารถนาไม่สมหวัง ความป่วยไข้ไม่สบาย อาการพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเราชอบใจ ความตายมันจะเข้ามาถึง มันก็ทุกข์ ใครทุกข์ มันทุกข์หรือเราทุกข์ แต่ความจริงเราไม่ใช่มัน เราทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะเราโง่ โง่ไปยึดถือว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา

 

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน
ในระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑

ตอนที่ ๙ พระสกิทาคามีมรรค-ราคะ ๑

ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย สำหรับเวลานี้ ท่านทั้งหลาย ได้พากันสมาทานศีล พากันสมาทานพระกรรมฐานแล้ว แล้วก็ท่านทั้งหลายกำลังจะสดับคำแนะนำในการเจริญพระกรรมฐาน ก่อนที่ท่านจะสดับการเจริญพระกรรมฐาน ขอท่านทั้งหลายจงนึกถึงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในตอนที่พระองค์ทรงประกาศไว้ในวันกลางเดือนสามที่เรียกกันว่าวันมาฆบูชา

วันนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า
ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่เธอจะไปประกาศพระศาสนาในที่ใดๆ ขอจงใช้คำสอนให้เหมือนกันทั้งหมด นั่นก็คือ
หนึ่ง สัพพปาปัสสะ อกรณัง เธอจงแนะนำบรรดาประชาชนทั้งหลายให้ละความชั่วทั้งหมด
สอง กุสลัสสูปสัมปทา เธอจงแนะนำให้เขาทุกคนสร้างแต่ความดี
สาม สจิตตปริโยทปนัง จงให้ทุกคนทำอารมณ์ใจให้ผ่องใส
เอตัง พุทธานะสาสะนัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทรงตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด

เป็นอันว่าคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมสุคตที่ทรงสอนไว้นี้ ขอบรรดาท่านทั้งหลายจงจำไว้สอนตัวเอง จงอย่าคิดว่าเราจะไปเป็นครูของใคร การที่เป็นครูชาวบ้านมันเป็นของไม่ยาก แต่ว่าเป็นครูตนเองนี่เป็นของยาก ก่อนที่เราจะเป็นครูเขา เราต้องดีเสียก่อน ดูตัวอย่างองค์สมเด็จพระชินวรคือพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงยังไม่สามารถจะทำลายกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานเพียงใด องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ไม่ทรงสอนคนอื่น

ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายจงจำพุทธภาษิตไว้ว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงพยายามตักเดือนตนเองไว้เสมอ

สำหรับวันนี้ ก็จะขอพูดถึงสกิทาคามีมรรคที่ยังค้างอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสกิทาคามีมรรคนี่ เราต้องทำกันหลายจุด และก็ต้องมีอารมณ์เข้มแข็งกว่าพระโสดาบัน สำหรับพระโสดาบันนั่นรู้สึกว่าเป็นของง่ายๆ มีอะไรไม่ยาก ที่เราไม่สามารถจะทรงกันไว้ได้ก็เพราะใจของเรามันเลว ถ้าใจของเรามันไม่เลว พระโสดาบันก็เหมือนกับกล้วยสุกที่ปอกเปลือกแล้ว และก็ใส่ปากอยู่แล้ว เหลือแต่ว่าจะกลืนกินเมื่อไหร่เท่านั้น

สำหรับสกิทาคามีนี่ ความจริงเป็นอารมณ์ที่ก้าวเข้าไปสู่ความเป็นพระอรหันต์ เพราะว่ามีหลายท่านที่ได้พระโสดาบันแล้ว ก็ไม่ทราบว่าตนเองเป็นพระสกิทาคามี อนาคามีเมื่อไหร่ นั่งมานั่งไป พิจารณามาพิจารณาไปถึงอรหัตตผล รู้สึกตนเมื่อถึงอรหันต์เสียแล้ว อันนี้มีเยอะ ท่านที่จะได้ตามลำดับเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา แล้วถึงอรหันต์ อันนี้มีน้อย ส่วนใหญ่บางท่านกลับไม่รู้ว่าเป็นพระโสดาบันเมื่อไหร่ มารู้ตัวเอาเมื่อเป็นอรหันต์เสียแล้ว อย่างนี้มีมาก

แต่ก่อนที่จะพูดถึงอย่างอื่น ก็ขอเอาข้อปลีกย่อยเล็กน้อย แต่ว่ามีความสำคัญ มาแนะนำท่านเสียก่อน นั่นก็คือ เวลาเจริญพระกรรมฐาน เราก็จำที่จะต้องตามใจของใจ แปลกไหม คือว่าเราต้องตามใจใจ คือตามอารมณ์ที่มันต้องการในขณะนั้น

ในบางขณะอารมณ์ของเราต้องการสงบสงัด มันไม่ต้องการภาวนา ก็จงอย่าฝืนภาวนา หรือว่าอย่าฝืนพิจารณา มันอยากสงัดก็ให้สงัดด้วยกำลังฌาน รู้ลมหายใจเข้าออก เมื่อรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ถ้าจะภาวนาก็ใช้ศัพท์สั้นๆ คือใช้ศัพท์ว่าพุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่าพุท เวลาหายใจออกนึกว่าโธ

ถ้ามันไม่อยากจะขยับเขยื้อน ไม่อยากจะเคลื่อนไปด้านพิจารณาก็ปล่อย อย่าฝืน ถ้าฝืนแล้วผลจะเสีย ในเมื่อมันเป็นฌาน ก่อนที่มันจะเป็นฌานเราตั้งใจไว้ยังไง ตั้งใจคิดไว้ว่ากามฉันทะ คือ มีรูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัส เราไม่พึงปรารถนา จิตมันทรงฌาน มันจะมีกำลังตัดจุดนั้นของมันไปเอง ไม่ต้องไปวิตกกังวลว่า วันนี้เราไม่มีโอกาสพิจารณา ผลของการพิจารณาจะหย่อนลงไปไม่ต้องคิด เพราะว่าจิตมันทำกิจของมันเองโดยเฉพาะอยู่แล้ว

และอีกประการหนึ่ง ถ้าวันใดหรือเวลาใด ถ้าจิตมันต้องการใช้อารมณ์คิด เราก็คิดอยู่ในขอบเขตของพระกรรมฐาน อย่าคิดให้นอกลู่นอกทาง มันอยากจะคิดก็ปล่อยคิด บางทีมันก็อยากจะคิดเสียจนกระทั่งไม่อยากจะมาจับอารมณ์ทรงตัวก็ปล่อยมัน เวลานั้นจิตมันใช้ปัญญาหรือว่าปัญญามันหลักแหลมขึ้น เพราะอำนาจจิตที่เป็นกุศล

ตอนต่อที่จะพูดอย่างอื่นต่อไปขอย้ำสักนิดหนึ่ง ว่าอารมณ์ใจของเรานี่ ให้มันทรงอยู่ในด้านของสมาธิจิต คือคติที่ผมเคยพูดว่า เอาลัทธิของผู้คนในป่าที่เขาสอนกันมา เขาบอกว่า มึงมากูมุด มึงหยุดกูแหย่ มึงแย่กูตี มึงหนีกูตาม ความจริงคติของเขาดี แต่ทว่าเขาไปใช้ในการรบกัน มันก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าเขาทำได้อย่างนั้นจริงๆ บทชนะของเขาก็มี เพราะนั่นเป็นความฉลาดที่เราคาดไม่ถึง

มึงมากูมุด หมายความว่า ถ้าข้าศึกมาหลบเสีย ข้าศึกก็ทำอันตรายไม่ได้
มึงหยุดกูแหย่ นั่นหมายความว่า ถ้าข้าศึกเผลอ เราก็แหย่ ก็โจมตีเก็บเล็กเก็บน้อย ทำลายกำลังของข้าศึก
ถ้า มึงแย่กูตี หมายความว่า ถ้าเขาเข้าถึงความยับเยินเมื่อไหร่ แย่กำลังอ่อนเมื่อไร โหมกำลังให้หนักตีให้พับ
มึงหนีกูตาม เมื่อเขาแพ้ตามติดประหัตประหารให้ใกล้ชิดทำลายให้หมด

ถ้ากองทัพใดกองทัพหนึ่งใช้คติแบบนี้เป็นปกติ แล้วสามารถปฏิบัติได้ กองทัพนั้นมีทางเดียวคือความชนะ ท่านทั้งหลายอาจจะคิดว่า ผมเอาเรื่องนี้มาพูดทำไม เราเป็นทหารอะไร ของใคร ไปรบกับใคร ผมก็ต้องตอบว่า เราเป็นทหารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กองทัพนี้เขาเรียกกันว่ากองทัพธรรม มีพระพุทธเจ้าเป็นจอมทัพ เรารบกับใครยังงั้นหรือ ผมก็ขอตอบว่า เรารบกับความชั่วคือกิเลส กิเลสก็คือความชั่วนั่นเอง

เวลาที่เราจะรบกับความชั่ว กิเลสมีเท่าไหร่ไม่ต้องคำนึงถึง กิเลสที่เราจะรบกัน เวลานี้ก็คือความรักสวยรักงาม ซึ่งมันเป็นอารมณ์ค้านกับความเป็นจริง คำว่าสวยว่างาม ไม่ว่าวัตถุธาตุหรือสิ่งที่มีชีวิตในโลกนี้ มันมีที่ไหน ขอท่านทั้งหลายที่รับฟัง กรุณาหาสิ่งที่มันไม่สกปรกในโลกนี้ มาให้ผมดูด้วย เพราะว่าเวลานี้ผมโง่จริงๆ โง่มากที่ไม่เคยเห็นคน ไม่เคยเห็นสัตว์ ไม่เคยเห็นวัตถุธาตุ ว่ามันสวย

อันนี้ผมพูดถึงเวลานี้นะ แล้วพวกท่านทั้งหลายอย่าไปถามว่าเมื่อเวลาที่ก่อนหน้านี้ ยังหนุ่มวัยคะนองอยู่เห็นไหม ว่ามันสวยสดงดงามมันสะอาด ตอนนั้นผมก็ต้องตอบว่าสวยทุกอย่างเหมือนกัน ผมก็เห็นเหมือนทุกๆ คนที่เขาเห็นว่าสวย เห็นสตรีเพศมีทรวดทรงดี ผิวดี วาจาอ่อนหวานเราก็รัก รักเพราะว่าเห็นว่าเขาสวย รักเห็นว่าเขาดี เห็นวัตถุธาตุต่างๆ ที่มีสีสันวรรณะลักษณะทรวดทรงดี อาการดีเราก็ชอบ ผมชอบเหมือนกัน ชอบหมด

แต่ว่ามาตอนนี้ ยังไงไม่ทราบ มันจะแก่ลง หรือยังไงก็ไม่ทราบ มันหมดดีไปเสียหมด ดีโดยจริยาของคนมี แต่ดีเพราะความสวยมองไม่เห็น เห็นจะเป็นเพราะ แก่เกินไปตาไม่ดี แก่เกินไปหูไม่เป็นเรื่อง และแก่เกินไปกำลังใจมันต่ำ มันจึงเห็นว่าไม่ดี

เป็นอันว่าเราใช้คติของเขาว่า มึงมากูมุด เรามุดอยู่ที่ไหน ตามปรกติที่ผมเคยแนะนำท่าน นักปฏิบัติที่เขาจะมีผล เขามุดกันอยู่เป็นปรกติ ก่อนที่มึงจะมากูก็มุด คือว่าตามปกติเราไม่ยอมให้มันมาแล้วจึงมุด ถ้ามาก่อนแล้วมุดไม่ทัน เมื่อมุดไม่ทันก็ถูกข้าศึกโจมตี

ฉะนั้นในยามปรกติเราต้องมุดเสียก่อน มุดตรงไหน มุดเข้าไปอยู่ใต้กระโปรง ใต้กางเกงเขาอย่างนั้นรึ จะมุดเข้าไปอยู่ในถ้ำในเหว มันไม่พ้นหรอกคุณ ถ้ามุดแบบนี้ หาวัตถุเป็นเครื่องกั้นเป็นที่กำบัง ไม่พ้น ต้องหาอารมณ์ของจิตเป็นเครื่องกั้น

มุดอันดับแรกก็คือ มุดให้จิตทรงตัวอยู่ในอานาปานุสสติกรรมฐาน พยายามรู้ลมเข้าลมออกอยู่เป็นปรกติ ถ้าเราจะภาวนาด้วย ก็ใช้ศัพท์สั้นๆ เช่น พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่าพุท เวลาหายใจออกนึกว่าโธ ทำอย่างนี้ให้มันทรงตัวอยู่ได้ตลอดวัน จนกว่าจะหมดเวลา เวลาที่มันหมดเป็นเวลาเท่าไร นั่นก็คือเวลาหลับ ถ้าตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จับลมหายใจเข้าออกทรงคำว่าพุทโธ ในเมื่อจิตเราไม่ว่าง กิเลสตัวไหนจะเข้ามาแทรก นิวรณ์ตัวไหนที่จะเข้ามาทำลายจิต มันไม่มี

วิธีมุดอย่างนี้เขาเรียกว่ามุดกลางๆ ยังไม่หลบตัวจริง หมายความว่า เรามุดไว้เสมอ ข้าศึกจะมาทางซ้าย จะมาทางขวา จะมาในลักษณะไหนก็ช่าง ฉันมุดไว้ก่อน มุดหลบนายไว้ก่อน

สำหรับข้าศึกที่จะเข้าโจมตีเราที่มีกำลังใหญ่ มันมีกำลังสามกองทัพ คือ กองทัพราคะหรือว่าโลภะ อันนี้เป็นอันเดียวกัน หนึ่งกองทัพ กองทัพโทสะ กองทัพโมหะ สามทัพนี่แหละที่มันคอยเข้าประหัตประหารเรา กองทัพที่เราจะต้องเข้าต่อสู้อันดับแรก สำหรับสกิทาคามีมรรค เวลานี้เราพูดกันถึงเรื่องพระสกิทาคามีมรรค และก็ในหมวดของอานาปานุสสติกรรมฐาน

ท่านที่ศึกษาหมวดนี้แล้วต้องจำให้ดี เพราะหมวดต่อๆ ไป ผมอาจจะพูดย่อหรือยาวก็ได้ตามใจผม สุดแล้วแต่ผมจะเห็นสมควร ว่าผมเห็นสมควรหรือไม่สมควร ก็ไม่ใช่เรื่องของผมโดยตรง เป็นเรื่องหลักสูตรในพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้

เวลานี้เรากำลังจะโจมตีข้าศึก หรือว่าจะมุดหนีข้าศึกคือกามฉันทะ เมื่อ ราคะได้แก่ ความรัก รักในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสในระหว่างเพศ อารมณ์ที่มั่วสุมไปด้วยกามารมณ์ อันนี้เราก็จำจะต้องมุดล่ะ

ทีแรกน่ะมุดกลางๆ พอเจ้าราคะมันมา คือยังไง อารมณ์รักตามที่กล่าวแล้ว ย้ำกันไม่ดีเสียเวลา ถ้ามันจะมาจะทำยังไง หรือว่ามันยังไม่มา วิธีมุดที่ถูกต้องก็คือรักษาอานาปานุสสติกรรมฐานไว้ ใช้กำลังใจทรงสมาธิตามสมควร และก็มุดหลบราคะ ด้วยการพิจารณาคนก็ดี สัตว์ก็ดี วัตถุธาตุก็ดี ทั้งหมดนี้ เราเห็นว่ามันสกปรกทั้งหมด

หาความจริง อย่าไปนึกเฉยๆ คลำตัวเรา อย่าคลำเขา คลำเขาน่ะมันคลำไม่ได้ถนัด คลำเราดีกว่า ที่พระอุปัชฌาย์บอกว่า เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ที่เป็นกรรมฐานสำคัญ ท่านทั้งหลายบวชมาแล้วเคยใช้บ้างหรือเปล่า ผมสะอาดหรือสกปรก ขนสะอาดหรือสกปรก หนังสะอาดหรือสกปรก เล็บสะอาดหรือสกปรก ฟันสะอาดหรือสกปรก ๕ อย่างนี้หาจุดให้พบ รวมความร่างกายทั้งร่างกายของเรานี่ ส่วนไหนบ้างที่มันสะอาด กรุณาหาความสะอาดให้พบ เพราะว่าคนที่พบความสะอาดในร่างกายของเรา ร่างกายของบุคคลอื่น หรือความสะอาดในวัตถุธาตุก็คือจอมโง่

วันนี้เรายังไม่พูดถึงความโลภ นี่เราจะเป็นอนาคามี เราต้องตัดตรงนี้ ทำอารมณ์จิตให้เป็นฌาน ฌานในอะไร ฌานในอานาปานุสสติกรรมฐาน ฌานในพุทธานุสสติกรรมฐาน ซึ่งทรงเป็นตัวกลาง ต่อมาก็ให้เป็น ฌานในอสุภสัญญา และกายคตานุสสติ

คำว่าฌานหมายถึงว่าอารมณ์ชิน มีความรู้สึกอย่างนั้นเป็นปรกติ ตลอดวันตลอดคืน ไม่ใช่เฉพาะว่าเวลาที่มานั่งฟังกัน ถ้าเอาแต่เฉพาะเวลาที่มานั่งฟังกันแบบนี้ ผมว่าขาดทุนมาก ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่า เวลามันนิดเดียว ฟังอยู่ทำอยู่ เวลา ๓๐ นาที ดีไม่ดีมันดีไม่ถึง ๕ นาทีก็เสร็จ

เราจะต้องพิจารณาหาความจริงว่าร่างกายของเราส่วนไหนมันสะอาด อุจจาระสะอาดมั้ย ปัสสาวะสะอาดมั้ย น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองสะอาดมั้ย มันก็ทั้งหมดทั้งกาย ตรงไหนมันสะอาด เราจะหาความสะอาดไม่ได้เลย ในเมื่อความสะอาดมันไม่มี มันก็ต้องสกปรก

เอาสิ ตอนนี้เราหาทางมุด ป้องกันข้าศึกตนนี้เรามุดเสีย มุดเอาจิตเข้าไปจับตามความเป็นจริงว่า โอหนอ ร่างกายของคนและสัตว์ วัตถุธาตุทั้งหมด มันมีแต่ความสกปรก ในเมื่อมันสกปรกอย่างนี้ เราควรจะรักมันหรือว่าเราควรจะเกลียดมัน เราก็ต้องเกลียดมัน รักมันไม่ได้ สิ่งที่เรารักคือเรารักของสวย เรารักของสะอาด เรารักของดี เราไม่ได้รักของเลว

รวมความ มึงมากูมุด ปรกติเรารีบมุดไว้ก่อน อย่าพึ่งให้มันมา ในเมื่อมันมา เราก็มุดอีกทีหนึ่ง ไอ้ตัวราคะมันมา มุดด้วยอสุภสัญญาและกายคตานุสสติ

ที่นี้ มึงหยุดกูแหย่ เป็นอันว่าอารมณ์ของกามฉันทะมันเริ่มหยุด ใจเริ่มชักจะไม่สนใจ เห็นคนและสัตว์เห็นว่า แหมมันสกปรกไปหมด อย่าลืมว่าตอนนี้เป็นอารมณ์ของฌาน อย่าเผลอ ถ้าเผลอคิดว่าเป็นพระอรหันต์ล่ะก็ซวยบอกไม่ถูก

มึงหยุดกูแหย่ ก็หมายความว่า ในเมื่ออารมณ์มันหยุด ในเมื่ออารมณ์มันหยุดแล้ว ก็เสริมใช้กำลังเข้าโจมตี นั่นคือปัญญามานั่งพิจารณาว่า อสุภสัญญาคือร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี วัตถุธาตุก็ดี สกปรก มันสกปรกอย่างเดียวรึ หันเข้าไปจับสักกายทิฏฐิในวิปัสสนาญาณ ว่าร่างกายคนก็ดี สัตว์ก็ดี นี่มันไม่สกปรกอย่างเดียว มันประกอบไปด้วยธาตุ ๔ ทรงตัวชั่วคราว แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนได้ ๓๒ ชิ้น ที่เรียกกันว่าอาการ ๓๒ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ตับ ไต ไส้ ปอด เป็นต้น ผมไม่อยากจะแยก แยกเข้ามันยุ่ง ดูทีเดียวให้มันสกปรกไปหมดดีกว่า ไปไล่เบี้ยตำรา ก็รู้สึกจะเลวเกินไป มันยืดมันยาด พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ธรรมของเราไม่ใช่ธรรมอันเป็นเครื่องเนิ่นช้า

ต่อไปเราก็มาพิจารณาว่ามันเป็นธาตุ ๔ มีอาการ ๓๒ สภาวะของมันเป็นยังไง หนึ่ง อนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ สอง ทุกขัง มันมีสภาพแห่งความทุกข์ สาม อนัตตา มันสลายตัว อย่างนี้เขาเรียกว่า วิปัสสนาญาณอย่างอ่อน รู้ว่ามันไม่เที่ยง รู้ว่ามันเป็นทุกข์ รู้ว่ามันเป็นอนัตตา

ถ้าวิปัสสนาญาณอย่างแข็ง ก็คือว่า มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาอุปาทานสร้างขึ้น มันเกิดขึ้นมาจากความเลว ไม่ใช่เกิดขึ้นมาจากความดี เกิดแล้วก็พัง เราคือจิตที่มาสถิตในกายนี้ ไม่เป็นเรื่อง เราอาศัยเรือนร่างหรือบ้านเรือนที่สกปรกโสโครกหนัก มีสภาพเหมือนกับป่าช้าที่เต็มไปด้วยความเน่า เราไม่เอาแล้ว ไป ไม่ขอจับ เจ้าสกปรก ก็สกปรกแล้วยังโยเยแบบนี้ ไม่มีการทรงตัว ฉันขอลาแล้ว สร้างจิตให้เป็นนิพพิทาญาณ มีความเบื่อหน่าย

ที่นี้ มึงหนีกูตาม ถ้ามันหนีออกไป หมายความว่า ไอ้เจ้ากามฉันทะมันไม่สามารถจะเข้ามายุ่งใจได้เต็มที่ เราก็ตามติดเข้าโจมตีมันอย่างหนัก มึงหนีกูตาม เราก็พิจารณาไปเลย ตามพิจารณาไปว่าโลกนี้มีอะไรทรงตัวบ้าง นี่ดีไม่ดีน่ะผมสอนคุณอย่างนี้คุณเป็นอรหันต์ ไม่แน่ ดีไม่ดีปุ๊บปั๊บคุณเป็นอรหันต์เข้าเลย นี่ผมไม่รับรองนะ ผมพูดอย่างนี้ ผมไม่มั่นใจว่าคุณจะได้อยู่แค่พระสกิทาคามี

เราก็จับ มึงแย่กูตี ตัวสุดท้ายไปเลย ตามตีให้ยับเยิน วิธีตีให้ยับก็หมายความว่า ไอ้ขันธ์ ๕ คือร่างกายของเราก็ดี ของเขาก็ดี ปรกติมันเป็นสุขหรือมันเป็นทุกข์ นี่เราเบื่อมันเต็มทีแล้ว มันสกปรก มันไม่มีการทรงตัว ตีให้พังว่ามันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์

เราก็จะมองเห็นว่ามันทุกข์ทุกจุด เราจะทรงกายขึ้นมาได้นี่มันทุกข์ทุกวัน ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะการกินมันทุกข์ใหญ่ ถ้าไม่มีจะกินมันก็ทุกข์ กินเข้าไปแล้วมันก็ทุกข์ ทีนี้ของที่จะกินนี่ต้องหามา การหากินมันก็ทุกข์ หนาวนักมันก็ทุกข์ ร้อนนักมันก็ทุกข์ ปวดอุจจาระปวดปัสสาวะมันก็ทุกข์ ความปรารถนาไม่สมหวังมันก็ทุกข์ ความป่วยไข้ไม่สบายมาถึงมันก็ทุกข์ อาการพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเราชอบใจมันก็ทุกข์ ความตายมันจะเข้ามาถึงมันก็ทุกข์

ใครทุกข์ มันทุกข์หรือเราทุกข์ แต่ความจริงเราไม่ใช่มัน เราทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะเราโง่ โง่ไปยึดถือว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา เราก็ต้องควานหา ต้องตัดทุกข์ทิ้งให้ได้ ตามตีมันเลย ทุกข์มันมาจากอะไร ทุกข์มันมาจากตัณหาคือความอยาก อยากเกิด อยากมีผัว อยากมีเมีย อยากมีลูก อยากมีหลาน อยากมีเหลน อยากร่ำรวย อยากใหญ่อยากโต อยากมีชื่อมีเสียง มันตัวอยาก รวมความว่าอยากก่อให้มันมีร่างกายต่อไปอีก คืออยากก่อให้มันทุกข์ต่อไป

อันนี้เป็นอาการของความทุกข์ ทุกข์มันมาจากตัณหานี้หนอ พระพุทธเจ้าบอกว่าจะตัดตัณหาด้วยอะไร ตัดตัณหาด้วยศีลบริสุทธิ์ ศีลของท่านมันมีอยู่แล้วสมาทานทุกวัน ถ้าหากว่าเรารักษาศีลของเราให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ศีลทรงตัวอย่างนี้ เมื่อศีลทรงตัวดี ก็เป็นเกราะอันหนึ่งที่จะป้องกันอบายภูมิ ศีลบริสุทธิ์เป็นพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี เวลานี้ผมกำลังพูดกับท่านที่เป็นพระสกิทาคามีมรรค เรื่องศีลจึงไม่มีการหนักใจ

อันนี้ อีกตัวหนึ่งที่จะเข้ามาทำลายตัณหาคือสมาธิ สมาธิก็คือมีอารมณ์ทรงตัว
ทรงตัวอยู่ในศีลเป็นปรกติ เรียกว่า สีลานุสสติกรรมฐาน
ทรงตัวอานาปานุสสติปรกติ เรียกว่า อานาปานุสสติกรรมฐาน
ทรงตัวอยู่ในพุทธานุสสติ ภาวนาอยู่เรื่อยๆ จัดว่าเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน
จิตเห็นสภาวะต่างๆ เป็นของเน่าเฟะเละไม่ดี เป็น นิพพิทาญาณ จัดว่าเป็น อสุภกรรมฐาน กับ กายคตานุสสติกรรมฐาน

จนกระทั่งอารมณ์เกิดความเบื่อหน่ายจริงๆ เมื่อเห็นคนก็เบื่อ เห็นสัตว์ก็เบื่อ เห็นวัตถุธาตุก็เบื่อ เพราะมันหาความสวยสดงดงามตามความปรารถนาที่ต้องการไม่ได้ มันเบื่อ นั่งก็เบื่อ นอนก็เบื่อ หลับก็เบื่อ ตื่นก็เบื่อ เบื่อหมด เห็นคนสวยอยากจะอาเจียน เห็นคนแต่งหน้าแต่งตา แต่งผิว แต่งพรรณ แต่งอะไรต่ออะไร มันนึกสงสาร ว่าโอหนอ นี่เขาแต่งไปหาความทุกข์กันทั้งนั้น เขาไม่ได้ทำเพื่อความสุข เขาเกิดมาเพื่อการสร้างทุกข์แท้ๆ อารมณ์ใจเราก็หดหู่ หดหู่มีความสะอิดสะเอียน มีความปรารถนาไม่ต้องการอยู่เสมอ อย่างนี้เรียกว่านิพพิทาญาณ นี่เรียกว่าเราตามตีให้มันพังไปเลย

มองดูเวลาท่านทั้งหลายหมดเสียแล้ว อยากจะพูดถึงสังขารุเปกขาญาณ ยังพูดไม่ถึง เป็นอันว่าจุดนี้เราระงับกันเพียงเท่านี้ นับต่อแต่นี้ไปขอท่านทั้งหลายตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าท่านจะเห็นว่าเวลาเป็นกาลเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร สวัสดี

— จบ ตอนที่ ๙ พระสกิทาคามีมรรค-ราคะ ๑ —

 

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน
ในระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑ มีทั้งหมด ๑๘ ตอน

ตอนที่ ๑ อานาปานุสสติกรรมฐาน
ตอนที่ ๒ ขณิกสมาธิ
ตอนที่ ๓ อุปจารสมาธิ
ตอนที่ ๔ อารมณ์ของฌาน
ตอนที่ ๕ วิปัสสนาญาณ
ตอนที่ ๖ อารมณ์พระโสดาบัน (๑)
ตอนที่ ๗ อารมณ์พระโสดาบัน (๒)
ตอนที่ ๘ พระสกิทาคามีมรรค
ตอนที่ ๙ พระสกิทาคามีมรรค-ราคะ ๑
ตอนที่ ๑๐ พระสกิทาคามีมรรค-ราคะ ๒
ตอนที่ ๑๑ พระสกิทาคามีมรรค-ราคะ ๓
(รออ่านต่อ)
ตอนที่ ๑๒ พระสกิทาคามีมรรค-โทสะ ๑
ตอนที่ ๑๓ พระสกิทาคามีมรรค-โทสะ ๒
ตอนที่ ๑๔ พระสกิทาคามีมรรค-โมหะ
ตอนที่ ๑๕ พระอนาคามีมรรค ๑
ตอนที่ ๑๖ พระอนาคามีมรรค ๒
ตอนที่ ๑๗ พระอรหัตตมรรค
ตอนที่ ๑๘ พระอรหัตตผล (ตอนจบ)

 

ฟังเสียงธรรม-หลวงพ่อฤาษีฯ สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน ๑๘ ตอน

เรื่องนี้ถูกเขียนใน หลวงพ่อสอนอานาปานสติ และติดป้ายกำกับ คั่นหน้า ลิงก์ถาวร