ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน

ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

วันนี้ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๕ จะขอย้อนไปถึงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๕ วันนั้นปรากฏว่าป่วยหนัก มีอาการเป็นไข้ซ้อน ท้องก็เสีย ปรากฏว่ามีอารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์มืด ไม่สามารถจะไปนิพพานได้ มีอาการเป็นอย่างนี้อยู่ถึง ๒-๓ วัน

ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๓๕ จิตเริ่มโปร่ง ไข้ลดตัวลง จึงไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประทับ กราบทูลถามท่านว่า

“ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า อารมณ์ฟุ้งไม่สามารถจะมองเห็นนิพพานได้ ไม่สามารถจะไปนิพพานได้ อารมณ์อย่างนี้ ถ้าตายจะพลาดนิพพานไหม”

องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงตรัสว่า

“ภิกฺขุ ดูกรภิกษุ จิตมีสภาพจำ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คิดถึงนิพพาน แต่อารมณ์เจาะจงพระนิพพานของจิตมีอยู่ งั้นถ้าเธอตายเวลานั้น ก็ไม่สามารถจะพลาดนิพพานได้ ต้องมานิพพานได้แน่นอน”

อ่านเพิ่มเติม

โพสท์ใน คำสอนสมเด็จองค์ปฐม | ติดป้ายกำกับ , | 2 ความเห็น

ประวัติและการสร้างสมเด็จองค์ปฐม

ประวัติและการสร้างสมเด็จองค์ปฐม

สมเด็จองค์ปฐม ท่านเป็น พระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก ทรงพระนาม สมเด็จพระพุทธสิกขี เนื่องจากพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วมากมายนับได้แสนองค์ ฉะนั้นพระนามของพระองค์จึงซ้ำกัน โดยเฉพาะพระนาม สมเด็จพระพุทธสิกขี มีด้วยกัน ๕ พระองค์ จึงได้ขนานนามของสมเด็จองค์ปฐมว่า สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ ๑ จึงนับได้ว่า พระพุทธองค์ทรงเป็น สมเด็จองค์ปฐมบรมครู อย่างแท้จริง

สมัยที่พระพุทธองค์ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ซึ่งขณะนั้นคนมีอายุขัยประมาณ ๘ หมื่นปี พระพุทธองค์ทรงผนวชออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ ๔ หมื่นปี หลังจากผนวชได้ ๒ หมื่นปี จึงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระพุทธองค์ทรงโปรดเวไนยสัตว์ประมาณ ๒ หมื่นปี จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน

พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง ๔๐ อสงไขยกัปเศษ ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง ทรงใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมี เนื่องจากพระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก จึงไม่มีแบบอย่างที่จะให้พระพุทธองค์ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุพระโพธิญาณ ระยะเวลาที่บำเพ็ญพระบารมีจึงใช้ถึง ๔๐ อสงไขยกัปเศษ

การพบสมเด็จองค์ปฐมครั้งแรก
ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๑๑ คืนหนึ่ง พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังสอนพระกรรมฐาน และเมื่อเสร็จจากการแนะนำ ก็ได้ทำสมาธิ ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนปรากฏขึ้น คือ เห็นพระพุทธเจ้าในปางพระนิพพานทรงยืนสองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้าแล้วก็พนมมือ

พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีความรู้สึกในใจว่า บางทีอาจจะเป็นอุปาทาน เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็กๆ หลังคาตํ่าๆ หากพระพุทธองค์เสด็จเข้าไป หลังคาก็จะสูงขึ้นเอง แต่เวลานี้เห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ เมื่อนึกเพียงนี้ ก็เห็นภาพหลวงปู่ปานปรากฏขึ้นข้างหน้า หลวงปู่ปาน ท่านบอกว่า

“คุณ…ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา”

อีกประมาณ ๕ นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าอีกองค์ รูปร่างท่านใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางพระนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก้มศีรษะแสดงความเคารพ พอพระองค์เดินไปถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทรงตรัสว่า

“ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า… ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน”

พระพุทธองค์ก็เลยนั่งบนหัวของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แล้วทรงตรัสกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า

“นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนพระกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมก็ดี บอกฉันก่อน ฉันจะให้พูดตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น”

เป็นอันว่าเมื่อใดก็ตาม ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเทศน์ก็ดี สอนพระกรรมฐานก็ดี สอนธรรมก็ดี พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไม่เคยได้พูดตามใจคิดเลย เป็นเพราะพระพุทธองค์ท่านดลใจให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูด และแนะนำธรรม ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่เป็นที่ถูกใจของทุกคน เพราะพระพุทธองค์ท่านอาจจี้จุดเฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่บางคนอาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็คิดว่า เมื่อพระพุทธองค์ท่านมีบุญคุณอย่างนี้ จึงคิดที่จะหล่อรูปของท่าน

ต่อมาเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เจริญพระกรรมฐานแล้ว จึงได้อาราธนาสมเด็จองค์ปฐมขอพบ พระพุทธองค์ท่านก็ปรากฏให้เห็น ทรวดทรงสวยงามมาก หน้าของท่านอิ่มเหมือนรูปไข่ แก้มอิ่ม ทรงยิ้มน้อยๆ ริมฝีปากไม่บุ๋ม ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าที่เขาปั้นกัน จะพบว่าช่างเขาปั้นแก้มตรงปากจะบุ๋มลงไป

แล้วสมเด็จองค์ปฐมก็แสดงรูปร่างสมัยเป็นมนุษย์ และก็เปลี่ยนมาเป็นปางพระนิพพาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ถามว่า ถ้าจะปั้นรูปของพระองค์ จะให้ปั้นแบบไหน จะให้ปั้นปางพระนิพพานหรือมนุษย์

พระพุทธองค์บอกว่าให้ปั้นแบบนี้ก็แล้วกัน พระพุทธองค์ทรงแสดงภาพให้ดู เป็นเหมือนกับพระพุทธรูป และมีเรือนแก้วแบบพระพุทธชินราช รูปที่ทรงให้ปั้นไม่เหมือนกับรูปจริงของท่าน แต่พระองค์ท่านต้องการให้ปั้นแบบที่ท่านต้องการ

พระพุทธองค์ได้มาแสดงภาพให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อดูถึง ๓ วันติดๆ กัน วันละประมาณ ๑ ชั่วโมง พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ได้ดูอย่างละเอียด แต่ก็คิดในใจว่า ช่างเขาปั้น แต่เขาไม่เห็นภาพ เขาจะปั้นได้ไม่เหมือน จึงได้ขอบารมีพระองค์ท่าน เวลาช่างปั้น ขอได้โปรดดลใจ ให้เป็นไปตามพระพุทธประสงค์ พระองค์ท่านก็ยอมรับ

คัดย่อจาก หนังสือมรดกของพ่อ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(วัดท่าซุง) จ.อุทัยธานี

โพสท์ใน คำสอนสมเด็จองค์ปฐม | ติดป้ายกำกับ , | 1 ความเห็น

๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ ฉลองครบรอบ ๒๔ ปี ศูนย์พุทธศรัทธา

๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ ฉลองครบรอบ ๒๔ ปี ศูนย์พุทธศรัทธา

ในศุภวาระที่ศูนย์พุทธศรัทธาได้ก่อตั้งมาครบ ๒ รอบ ๒๔ ปี
จะขอนำประวัติและกิจกรรมต่างๆ โดยย่อมาให้ทุกท่านได้ร่วมอนุโมทนา

ศูนย์พุทธศรัทธา
สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง

ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๒๘
ซึ่งเป็นวันมหามงคลของปวงชนชาวไทย
คือวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลมหาราช
จวบจนบัดนี้ได้ก่อตั้งมาจะครบ ๒๕ ปี ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ นี้

ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา
ศูนย์พุทธศรัทธาได้จัดงานทำบุญฉลองครบรอบ ๒๔ ปี
งานบวชเนกขัมมะบารมีครั้งที่ ๖๖ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
และถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช

ในศุภวาระที่ศูนย์พุทธศรัทธาได้ก่อตั้งมาครบ ๒ รอบ ๒๔ ปี
จะขอนำประวัติและกิจกรรมต่างๆ โดยย่อมาให้ทุกท่านได้ร่วมอนุโมทนา

อ่านเพิ่มเติม

โพสท์ใน มุมมองศูนย์ฯ | ติดป้ายกำกับ | ปิดความเห็น บน ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ ฉลองครบรอบ ๒๔ ปี ศูนย์พุทธศรัทธา

การตั้งอารมณ์ก่อนตาย

การตั้งอารมณ์ก่อนตาย
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

ผู้ถาม:- “หลวงพ่อคะ ถ้าจิตเราจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นอารมณ์นี่นะคะ แล้วเวลาจะตายเราจะมีสติไหมคะ? ”

หลวงพ่อ:- “อ้าว..ถ้าเราจับเป็นอารมณ์ เวลานั้นมีสตินี่ เพราะเวลานั้นอารมณ์มันสูงจัด การจับพระนิพพานนี่ท่านเรียก “อุปสมานุสสติกรรมฐาน” ถ้าจับเป็นอารมณ์ ถ้าเวลาเริ่มป่วยเอาจิตจับไว้เลยนะ ทีนี้ในช่วงกลางระหว่างป่วยมันจะดิ้นตูมตาม อย่างไรก็ตาม จิตมันจะไม่ปล่อย

มีพระอยู่องค์หนึ่งท่านอายุมากแล้ว ท่านใช้อารมณ์แบบนี้นะ แล้วต่อมาท่านเป็นโรคกระเพาะ ท่านดิ้นถึงกับทะลึ่งพรวดๆ ก็เข้าไปหาท่าน พอจับตัวท่านปั๊บท่านก็หยุด พอเผลอหน่อยเดียวเอาอีกแล้ว แล้วก็สักครู่หนึ่ง ท่านก็หยุดดิ้น ไม่ใช่ดิ้นนะ ถึงกับโดดเลยนะ แน่น ตอนนั้นพอโดดแล้วก็เงียบ เงียบ รู้สึกสบาย พอสบายสัก ๒๐ นาที ไม่มีอะไรเลย อาการปกติ ท่านก็ลืมตาถามว่า “เพลหรือยัง” แล้วฉันก็มองดูนาฬิกาบอกว่า “ยังเหลืออีก ๒ นาที” ก็หลับตาไปอีกทีก็ ๕ โมงพอดี

นี่ก็หมายความว่า จิตมันมีสภาพจำ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้จิตจับอยู่จุดใดจุดหนึ่ง จับจุดนั้นแต่อย่างเดียว มันจะไปเฉพาะที่นั่น

ทีนี้เวลาที่ท่านตายไปแล้วก็ตามท่าน ก็ตามดูว่าไปอยู่จุดไหน อันนี้เป็นพยานได้ พระ ๒ องค์ ฆราวาสอีกคนหนึ่ง ฆราวาสก็มีสภาพแบบเดียวกัน ตอนต้นมาฝึกกรรมฐานบอกว่า

“อย่าสนใจในรูป ให้สนใจนิพพานอย่างเดียว สวรรค์ก็ดี พรหมก็ดี ไม่มีความหมาย”

ถ้าเราตั้งใจรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าบังเอิญตายแล้วไม่ถึงนิพพานมันจะต่อทันที เพราะอารมณ์เดิม จิตมันไปใช่ไหม..จิตมันรัก

ทีนี้แกก็มีสภาพแบบนั้น อีกประมาณสัก ๒๐ นาทีแกจึงสงบ พอสงบประเดี๋ยวยิ้ม ยิ้มสักครู่หนึ่งก็ตาย พอตายก็ตามไปดูที่นั่นละ ใช่ไหม.. ”

ผู้ถาม:- “ป่วยแบบนั้นไม่รู้สึกตัวนะคะ จิตเขาอยู่ที่ไหนคะ?”

หลวงพ่อ:- “ก็อยู่ที่จิต”

ผู้ถาม:- “ยังอยู่กับร่างกายใช่ไหมคะ?”

หลวงพ่อ:- “ถ้าหากว่ามันยังไม่ตายมันยังอยู่”

ผู้ถาม:- “มันได้รับความรู้สึกไหมคะ.?”

หลวงพ่อ:- “ไอ้นั่นเป็นเรื่องของประสาท ความรู้สึกประสาทมันใช้งานไม่ได้ แต่จิตมันใช้งานได้อยู่ ประสาทมันอยู่เหนืออำนาจจิต บังคับประสาทไม่ได้ ก็อย่างที่ดิ้นตูมๆ มันเรื่องของประสาทดิ้น จิตมันไม่ยอมดิ้นด้วย

ทีนี้ประเภทที่ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว อย่างภาษาหมอเขาเรียก “โคม่า” หรือคนโบราณเขาเรียก “ตรีทูต” อันนี้จิตมันยังทำงานอยู่”

ผู้ถาม:- “เวลาพูดกับเขา เขาไม่ได้ยิน”

หลวงพ่อ:- “ไม่ได้ยินเพราะประสาทไม่ทำงาน มันไม่รับเสียง คือประสาทมันใช้งานไม่ได้ แต่จิตมันยังทรงตัว”

ผู้ถาม:- “แต่จิตก็ยังยึดอารมณ์อยู่”

หลวงพ่อ:- “ยังอยู่ จิตนี่ไม่ปล่อย พอเริ่มต้นป่วยใหม่ๆ ถ้าจิตยึดอะไรอย่างมั่นคง มันจะยึดตลอด ฉันเคยเห็นมาหลายรายการแล้วนะ”

ผู้ถาม:- “ที่หลวงพ่อบอก “เอกัคคตารมณ์” หมายความว่าอย่างไรคะ.?”

หลวงพ่อ:- “ที่ท่านเรียกว่า เอกัคคตารมณ์ คืออารมณ์อันเดียว คือทำอารมณ์ที่เป็นกุศลให้มันเป็นอย่างเดียวโดยเฉพาะ ที่เขาเรียกว่า “เอกัคคตารมณ์” และจิตมันมีสภาพจำ

เราจะสังเกตได้จุดหนึ่ง ถ้าว่าเราเคยเจริญสมาธิจิต แต่ว่าไม่เคยฝึกกรรมฐานโดยตรง ถ้าจิตมันมีอารมณ์โปร่งสบาย บางทีภาพเดิมมันขึ้นมา นี่ล่ะจิตมันมีสภาพจำ ฉะนั้น ถ้าหากว่าเราให้มันจำในของกุศล มันก็จำตลอด บางขณะเราอาจจะพูดไม่ดีกับเพื่อนบ้าง ไม่พอใจเพื่อนบ้าง ท่านบอกว่าก็ช่างมัน คือ ถืออารมณ์เดิม

เช้าน่ะตั้งอารมณ์ให้ดี เพราะช่วงนั้นจิตมันสะอาด ตื่นมาตอนเช้า
๑.ได้พักผ่อนดีแล้ว
๒.อารมณ์สบาย ก็ให้ตั้งอารมณ์ไว้เฉพาะกิจ มันจะจำตลอดวัน ถ้าตูมตามขึ้นมามันก็ไปจุดนั้นเลย

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราใช้ อนุสติ ซึ่งมี ๑๐ แต่ ๑๐ นี้ความหมายก็ดีทั้งหมด แต่ที่ดีจริง ๆ ก็คือ อุปสมานุสสติ คือ นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ คนประเภทนี้จะต้องมีนิสัยเป็นพุทธจริต พุทธจริตนี่เขาเป็นคนฉลาด ถ้าคนไม่ฉลาดก็ไม่เอา สอนเท่าไรก็ไม่เอา แม้แต่อยู่กับพระพุทธเจ้าก็ยังไม่เอาเลย “นิพพานัง” หรือ “นิพพานะ สุขัง” ก็ว่ามันไป

“ตอนเช้ามืดไม่ต้องภาวนาก็ได้ตั้งจิตไปเลย นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระอริยสงฆ์ พรหมและเทวดาทั้งหมดตลอดจนท่านผู้มีคุณ ขอจงเป็นพยานแก่ข้าพเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาแล้วทั้งหมด หรือจะทำในกาลข้างหน้าก็ตาม ไม่ต้องการอย่างอื่น ต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน จิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ เพียงเท่านี้แหละ

ตอนที่ภาวนา เราจะภาวนาว่าอะไรก็ได้ ที่เราคล่องตัว ใช่ไหม…ง่ายไหมล่ะ…ไอ้ที่ว่าง่ายน่ะ ฉันไม่ได้สร้างขึ้นมาเองนะ ในพระสูตรจากพระไตรปิฎกมีเยอะ”

.
หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

โพสท์ใน หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม | ติดป้ายกำกับ | 1 ความเห็น

ภาพงานบวชวันมาฆบูชา ๒๕๕๓

งานบวชเนกขัมมะบารมีครั้งที่ ๖๗ ณ ศูนย์พุทธศรัทธา
ถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องในวันมาฆบูชา ๒๗ กุมภาพันธ์-๑ มีนาคม ๒๕๕๓
ชมภาพบางส่วนของงานและอนุโมทนาบุญร่วมกันครับ

อ่านเพิ่มเติม

โพสท์ใน กิจกรรม ๒๕๕๓ | ติดป้ายกำกับ , , | 23 ความเห็น

มงคลชีวิตที่แท้จริง

มงคลชีวิตที่แท้จริง
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

      วัตถุที่เป็นมงคล และคนที่ชอบคิดว่าวัตถุเป็นมงคล ยังมีอยู่มาก แม้แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสั่งสอนไว้แล้ว เขาก็ยังคิดว่าวัตถุเป็นมงคล แต่ความจริงองค์สมเด็จพระทศพลไม่ได้เคยคิดอย่างนั้น ทรงตรัสว่า การกระทำความดีเท่านั้น เป็นมงคลชีวิตที่แท้จริง

อ่านเพิ่มเติม

โพสท์ใน ปกิณกะธรรม | ติดป้ายกำกับ | 1 ความเห็น