ศูนย์พุทธศรัทธา
- ประวัติศูนย์พุทธศรัทธา
- ดำริในการสร้างศูนย์พุทธศรัทธาของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
- เยี่ยมชมศูนย์ฯ
- ครบรอบ ๒๐ ปี ผลการดำเนินงานและกิจกรรมของศูนย์ฯ
- ครบรอบ ๒๕ ปี ผลการดำเนินงานและกิจกรรมของศูนย์ฯ
- ครบรอบ ๓๗ ปี /๒๕๖๕
- สมเด็จองค์ปฐม ปางพุทธลีลาประทานพร
- ตำนานเมืองขีดขิน-เมืองโบราณใกล้ศูนย์พุทธศรัทธา
- พระบูชา/วัตถุมงคลของศูนย์พุทธศรัทธา
- การเดินทางไปศูนย์ฯ
มโนมยิทธิ
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
กิจกรรมบำเพ็ญกุศล
ห้องธรรมะ/เรื่องเล่า
ลิ้งก์เว็บไซต์ที่เกี่ยวเนื่อง
ปัญหาผู้ไม่เคยฝึกมโนมยิทธิมาก่อน
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอบปัญหาธรรม
หลวงพ่อ:- “คำว่า มโนมยิทธิ แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ
มโนมยิทธิ นี่เป็นการเตรียมอภิญญา จะเรียกวิชชาสามตรง ๆ ก็เข้มเกินไป จะเรียกอภิญญาก็ยังอ่อนอยู่ เป็นการเตรียมอภิญญา เตรียมเพื่อรับอภิญญาหก
วิชชาสามจริง ๆ ไปไม่ได้ แต่เห็นได้ นั่งอยู่ตรงนี้ สามารถเห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นพระอริยะ สามารถคุยกันได้ นั่งอยู่ตรงนี้ สามารถคุยกับเปรตได้ คุยกับอสุรกายได้ คุยกับพวกสัตว์นรกได้ แต่ก็นั่งอยู่ตรงนี้เอง
ทีนี้สำหรับ มโนมยิทธิ นี่ ก็เป็นอภิญญาทางใจส่วนหนึ่ง ต้องถือว่าเป็นกึ่งหนึ่งของ อภิญญา เพราะว่าสามารถเอาจิตไป เอากายในไป
ทว่า ถ้าเป็นอภิญญาจริงๆ เขายกตัวไปเลย จะไปสวรรค์ไปพรหม เขาเอาตัวไปเลย นั่นต้องใช้กำลังเข้มแข็งกว่า สูงกว่า แต่ว่ากันโดยผล มีผลเสมอกัน เพราะไปเห็นมาได้เหมือนกัน”
ผู้ถาม:- “หลวงพ่อคะ ถ้าอย่างดิฉันต้องการฝึกบ้าง ต้องใช้เวลากี่วันคะ….?”
หลวงพ่อ:- “ก็สุดแล้วแต่คุณจะทำได้ ถ้าคนทำได้เร็วไม่ถึงวันก็ได้ อันนี้จริง ๆ นะ ถ้าทำได้เร็วใช้กำลังใจถูกต้อง โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้หญิงนี่จะได้เร็วมาก เพราะพวกผู้หญิงนี่ไม่ค่อยสงสัย เพราะตัวสงสัยเป็นตัวนิวรณ์
ส่วนใหญ่จริง ๆ พวกผู้หญิงนี่ มักจะเป็นได้วันแรก นี่พูดถึงส่วนใหญ่นะ แต่พลาดมาวัน ๒ วันที่ ๓ ก็มี ใช้เวลาไม่มากหรอก เราไม่ต้องนับเดือน ไม่ต้องนับปีกัน
ถ้าคุณจะฝึก คุณต้องไปซ้อมกำลังใจเสียก่อน ถ้าซ้อมกำลังใจให้ทรงตัว มาวันแรกก็ได้ มันอยู่ที่ความเข้าใจ คือ ไม่ต้องทำอะไรมาก ทรงอารมณ์ไว้เฉย ๆ หายใจเข้า นึกว่า “นะ มะ” หายใจออก นึกว่า “พะ ธะ” ไม่ต้องทำให้มันเครียดหรอก ให้มัน ชิน เท่านั้นเอง
คำว่า “ชิน” หมายความว่า ถ้าให้เราภาวนาอย่างนี้เมื่อไร เราภาวนาได้ ไม่ต้องไปนั่งเครียดทั้งวันทั้งคืน ซ้อมให้ทรงตัวนะ”
ผู้ถาม:- “หลวงพ่อคะ อย่างเรามีความศรัทธาจะฝึก มโนมยิทธิ เรามีความจำเป็นไหมคะ ที่เราจะต้องรู้รายละเอียดในความหมายของคำภาวนา นะ มะ พะ ธะ“
หลวงพ่อ:- “ก็ไม่ต้องไปละ อยู่ที่เดิมน่ะ ถ้าฉลาดแบบนั้น ไปไหนไม่ได้ เขาให้ภาวนา เพื่อเป็นกำลังของสมาธิเท่านั้น เขาไม่ต้องใช้ปัญญา ปัญญาเขาใช้ส่วนอื่น ถ้าขืนฉลาดแบบนั้นก็อยู่ที่เดิม
การเจริญพระกรรมฐาน เขาต้องไปตามจุด ต้องเฉพาะกิจที่เขาจะสอน ให้แจกแจงนั่น ต้องปฏิบัติในธาตุ ๔ เขาเรียกว่า จตุธาตุววัตถาน ๔ แต่อันนี้ไม่ใช่
เขาต้องการภาวนา เพื่อเป็นกำลังของจิต เพื่อให้จิตเป็นทิพย์ ชื่อเหมือนกัน แต่ใช้กิจต่างกัน
อย่างกับทัพพีเขาใช้คนหม้อข้าว เป็นทัพพีสำหรับหุงข้าว ถ้าเขาไม่มีช้อน เอามาตักข้าวเข้าปาก นี่มันกลายเป็นช้อนไป ใช่ไหม…..
นี่ก็เหมือนกัน ต้องใช้เฉพาะกิจของเขา ถ้าเรื่อยเปื่อยไปก็พัง รับรองได้เลย ถ้าเรื่อยเปื่อยไป นอกรีตนอกรอย อีกแสนชาติก็ไม่ได้ ต้องฉลาดพอดี ไม่ใช่ฉลาดเกินพอดี กิจอันนี้เขาทำเพื่ออะไร ถ้าเราจะแจงเป็นธาตุ ๔ ก็ไม่ใช่ลักษณะนี้ นั่นต้องหวลเข้าไปหาสุกขวิปัสสโก ไม่ใช่ฉฬภิญโญ หมวดแต่ละหมวดของกรรมฐาน ปฏิบัติไม่เหมือนกัน“
ผู้ถาม:- “หลวงพ่อคะ บางคนเขาภาวนาว่า “พุทโธ” แต่ว่าทำไมเขาไปได้คะ….?”
หลวงพ่อ:- “ถ้าเขาไปได้แล้ว อะไรก็ได้ ให้มันสตาร์ทติดเสียก่อน ถ้าไปได้แล้วจริง ๆ ไม่ต้องภาวนา นึกปั๊บมันถึงเลย กำลังเขาพอ เข้าใจไหม…..
คือว่า คำภาวนาที่เราใช้กันหนัก เพราะเรายังไม่คล่อง แบบเขียนหนังสือน่ะ อ่านหนังสือวันแรก สองวัน สามวัน เขียน ตัว ก.ไม่ได้ ถ้าเขียนคล่องแล้ว นึกเมื่อไรเขียนได้เลย ใครเขาพูด ก็เขียนได้เลยเหมือนกัน ถ้าคล่องจริง ๆ ไม่ต้องภาวนา พอนึกปั๊บมันถึงทันที“
ผู้ถาม:- “หลวงพ่อคะ บทสตาร์ทนี่ ต้อง “นะ มะ พะ ธะ” อย่างเดียวหรือคะ “สัมมาอรหัง” ได้ไหมคะ…?”
หลวงพ่อ:- “เอาแล้ว หาเรื่องตกร่องอีกแล้ว มันมีหลายสิบบท ไม่ใช่บทเดียว แต่ว่าบทนี้เท่านั้น ขณะที่ไปอยู่จึงจะคุยกับคนข้าง ๆ ได้ นอกนั้นเขาไปเงียบ จบจุดแล้วจึงมาเล่าสู่กันฟัง ฉันคิดว่า ถ้าไปกันเงียบ ๆ ชาวบ้านเขาจะหาว่าโกหก ฉันจะตัดตัวนี้ คือปัจจุบัน เห็นแล้วคุยได้เลย ถามทางโน้นก็บอกทางนี้ได้ทันที เขาต้องการอย่างนี้
ฉันยังจำคำแนะนำของหลวงพ่อปานได้ เมื่อก่อนฉันจะบวช ฉันบวชนี่ ฉันไม่ได้บวชตามประเพณีกับเขา บวชเพื่อพิสูจน์พระศาสนา พระศาสนาว่า สวรรค์มีจริง นรกมีจริง ฉันจะไปเที่ยว
หลวงพ่อปานท่านบอก ความต้องการของแกน้อยไป ข้าต้องการมากกว่านั้น แต่ว่าแกบวชแล้ว แกต้องรับคำสอน อย่างคนโง่ นะ
“อย่างคนโง่” ก็หมายความว่า ท่านบอกตรงนี้ จุดไหน ก็ไปแค่นั้นแหละ เดี๋ยวก็ถึง อันนี้ถูกต้อง เพราะท่านรู้จักทาง ท่านก็นำตรง ถ้าเราฉลาดเกินไป ก็เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาอีก ฉันอยู่กับหลวงพ่อปานเดือนเดียว ฉันได้หมด เพราะฉันยอมโง่
อย่างลูกสาวของฉันนี่ มันฉลาดมากเกินไป อย่างนี้เขาเรียกว่า “ฉลาดหมาไม่กิน” ใช่หรือเปล่า…?”
ผู้ถาม:- “ใช่ค่ะ”
หลวงพ่อ:- “ถ้าหมากิน เอ็งหมดไปนานแล้ว”
หลวงพ่อพูดให้กำลังใจว่า:- “ค่อย ๆ ทำไปนะ ไม่ต้องใช้เวลาให้มาก ไม่ต้องไปใช้เวลาที่สงัด นั่งเล่นทำอะไรเล่นก็ตาม นึกอะไรก็ภาวนา หายใจเข้านึก “นะ มะ” หายใจออก นึกว่า “พะ ธะ” สองสามครั้งก็ได้ ถ้ามันฝืนขึ้นมาก็เลิกกัน ต้องการให้อารมณ์ชินอย่างเดียว เวลาเขาฝึกจะได้ไม่แย่งกัน ให้แยกกันเสียให้เด็ดขาด
ยามปกติเราต้องการความสุข เราภาวนา “พุทโธ” ของเราไป แต่บางขณะเช่นเวลานี้ ฉันจะเอา “นะ มะ พะ ธะ” ไม่ยอมให้ “พุทโธ” มาแย่ง ไม่กี่วันหรอก อย่างมากก็ ๒-๓ วัน
ถ้าลองจนชินดีแล้ว เราต้องการภาวนา “นะ มะ พะ ธะ” ก็ให้อยู่แค่ “นะ มะ พะ ธะ” พุทโธให้แยกไป ถ้าเราต้องการภาวนา “พุทโธ” ก็ “พุทโธ” ไปตามปกติ อันนี้ก็ใช้ได้
ค่อย ๆ ทำไปนะ อยู่ที่ความเข้าใจตัวเดียว ใครจะคุมหรือไม่คุมไม่สำคัญ ต้องภาวนาถูกต้องตามแบบเขา ไม่งั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่วางแบบไว้ซิ ถ้าภาวนาอย่างไรก็ได้ พระพุทธเจ้าจะวางแบบไว้ทำไม สอนเสียอย่างเดียวก็พอใช่ไหม….”
“พุทโธ” น่ะเป็นสายของสุกขวิปัสสโกเขา สายสุกขวิปัสสโก ไปไหนไม่ได้ ได้แต่ตัดกิเลส สายเตวิชโชก็มีคำภาวนาตั้งหลายสิบแบบ แต่ถ้า “นะ มะ พะ ธะ” เป็นการเตรียมเพื่อ อภิญญา จึงไปได้
กรรมฐานไม่ใช่ว่าทำอย่างเดียว แบบจริง ๆ มี ๔๐ แบบ ถ้าเราใช้อะไรก็ใช้แบบที่ถูกต้อง ไม่งั้นไปไม่ได้”
ผู้ถาม:- “สมมุติว่าหนูฝึก “พุทโธ” หลวงพ่อจะฉุดหนูไปได้ไหมคะ…..?”
หลวงพ่อ:- “ได้ ฉุดลงใต้ถุนไป ไม่มีทาง จะฉุดได้ยังไง พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ฉุดใคร หลวงพ่อจะไปฉุดเอ็งเข้า ดีไม่ดี เขาจะมาตีเอาตาย โทษหนักเสียด้วย โทษถึงประหารชีวิต เรื่องอื่นยังพอทำเนา บรรเทาโทษได้ แต่ว่าเรื่องนี้ประหารชีวิตกันเลยนะ หนอยแน่……..
ไม่ได้หรอก ไอ้หนู ต้องฝึกเอง แล้วทำไมภาวนา “นะ มะ พะ ธะ” ไม่ได้..?”
ผู้ถาม:- “รู้สึกว่ามันเหนื่อยคะ”
หลวงพ่อ:- “แล้วที่ด่าชาวบ้าน ทำไมทำได้ล่ะ…?”
ผู้ถาม:- “หนูไม่เคยด่าใครคะ ครั้งเดียวไม่เคยค่ะ…”
หลวงพ่อ:- “น่ากลัวไปล่อหลายเที่ยว”
ผู้ถาม:- (หัวเราะ)
หลวงพ่อ:- “ไอ้นี่ต้องคิดซิว่า “พุทโธ”เหมือนกับนั่งอยู่กับบ้าน ถ้าเราจะไปอเมริกา เดินไปมันก็ไม่ไหว ก็ต้องขึ้นเครื่องบินไป แบบ “นะ มะ พะ ธะ” เขาฝึกเพื่อหาเครื่องบินไป
การฝึกในพระพุทธศาสนา เขามีตั้ง ๔ ประเภท ถ้าแบบใหญ่จริง ๆ มี ๔๐ แบบ แบบย่อยอีกนับพัน
อย่าง “นะ มะ พะ ธะ” เป็นส่วนหนึ่งของ อภิญญา แต่ก็ยังไม่เข้าถึงอภิญญาจริง ต้องถือว่าเตรียมเพื่ออภิญญา นี่เขามีจำกัดนะ แต่ว่าการปฏิบัติแบบนี้ เขาก็มีหลายสิบแบบนะ ถ้าเป็นแบบเก่า คนข้าง ๆ ถามไม่ได้ ฉันก็ไม่อยากสอนใคร
ฝึกแบบนี้ ถ้าไปได้ คนข้าง ๆ สามารถถามได้ตลอดเวลา ไปถึงไหน ๆ เล่าได้ตลอดเวลา ถ้านอกจากนี้ ไปก็นั่งเงียบอยู่คนเดียว เลิกแล้วกลับมาจึงเล่าสู่กันฟัง อย่างนี้ฉันว่าของเก่านั้นของดี แต่ว่าพวกที่เขามีความสงสัย ก็จะคิดว่าพวกนี้มาโกหก
จึงไปหาแบบนี้มา แบบนี้ก็ไม่ได้สร้างเอง เป็นของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน คนข้าง ๆ สามารถถามได้ เวลานี้ไปถึงไหน แล้วจะบอกได้ตลอดเวลา หาอย่างนี้มา ๒๓ ปี กว่าจะพบตำรานี้ ไม่ใช่ค้นคว้าเองนะ ทราบอยู่ว่าของพระพุทธเจ้าท่านมี แต่ตำราที่เราฝึก เราไม่พบ กว่าจะพบก็สิ้นเวลาบวชไป ๒๓ ปี
แต่ว่าวิธีอื่นน่ะทำได้ ถ้าเพื่อส่วนตัวนี่ ทำได้ตั้งแต่พรรษาต้น แต่ว่าเราจะรู้ เราก็ต้องรู้คนเดียว เลิกมาแล้วจึงมาเล่าสู่กันฟัง ทีนี้สำหรับคนรับฟัง ก็จะหาว่าโกหก
อย่างสมมุติว่า พ่อเขาตาย แม่เขาตาย เขาถามว่าพ่อแม่เขาอยู่ที่ไหน ตามผีนี่ตามง่ายกว่าตามคน ต้องการจะพบใคร มันพบทันที ถ้าเราจะเอาให้แน่นอน เมื่อพบแล้วก็ให้เขาแสดงตัว
เวลาที่เป็นมนุษย์รูปร่างเป็นอย่างไร แสดงให้ดูซิ เวลาป่วยยังไง ผอมหรืออ้วน อาการป่วยที่คนพอจะรู้ได้ ขอให้บอก พวกที่เขาถาม เขารู้ว่าเคยป่วยแบบไหน เขาอาจจะไม่รู้ทั้งหมด รู้จุดใดจุดหนึ่งนะ เขาจะบอกให้ฟัง
ถ้าถามถึงโรค มีอยู่หลายราย เขาบอกว่า ที่หมอหรือพยาบาลบอกว่าตายด้วยโรคนั้น ๆ จริง ๆ มันไม่ใช่ เขาตายอีกโรคหนึ่ง แต่พยาบาลเขาเข้าใจว่าโรคนั้น
นี่เราต้องถามอาการที่คนอื่นจะรู้ เขาทำท่าให้ดูเสร็จเรียบร้อย แล้วก็บอกคนข้างๆว่าพบแล้ว เวลาที่มีชีวิตอยู่ รูปร่างเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม…… และอาการที่จะตายจริง ๆ มีลักษณะแบบนี้ใช่ไหม….. คนนี้สมัยที่มีชีวิตอยู่ เป็นคนใจดี หรือชอบหัวเราะ หน้าบึ้งขึงจอ อะไรก็ตาม ถามเขา เขาบอกตามความจริงทั้งหมด
คงเข้าใจแล้วนะ สำหรับท่านที่ยังมีความสงสัยในคำภาวนาและการฝึกแบบนี้ แต่ก็คงจะสงสัยอย่างอื่นอีก จึงขอนำปัญหาและคำตอบให้คลายสงสัยเสีย”
ผู้ถาม:- “หลวงพ่อคะ ถ้าหากฝึกมโนมยิทธิสามารถขึ้นไปข้างบนได้แล้ว จะหลงวกวนอยู่บนนั้นไหมคะ…?”
หลวงพ่อ:- “แหม…อีหนูเอ๊ย อยากให้หลงจริง ๆ ถ้ามันไปติดอยู่วิมานใดวิมานหนึ่ง แหม…ดีจริง ๆ”
ผู้ถาม:-(หัวเราะ) “ไม่หลงใช่ไหมคะ…?”
หลวงพ่อ:- “ไม่หลงหรอก”
ผู้ถาม: “แล้วที่ครูเขาแนะนำว่าไปที่วิมาน วิมานอยู่ที่ไหนคะ……….?”
หลวงพ่อ:- “ถ้าเราไปถึงพระนิพพานได้ วิมานบนพระนิพพานก็ต้องมี เมื่อไปถึงนิพพานได้ เขาจะบอก ๒ จุด เพราะว่า ครูเขาไม่มีเวลาสอนมาก ถ้าเราขึ้นไปบนสวรรค์ ดูวิมาน ของเรามีไหม…..ถ้าไม่มีก็ไปดูวิมานของเราที่พรหมมีไหม…..ถ้าไม่มีก็เหลืออยู่แห่งเดียวที่นิพพาน แสดงว่าชาตินี้ตายแล้วไปนิพพานแน่
ถ้าหากว่าวิมานที่สวรรค์ยังมีอยู่ หรือยังมีอยู่ที่พรหม และวิมานที่นิพพานมีอยู่ แสดงว่า จิตเราจับวิปัสสนาญาณได้เล็กน้อย แต่มันหมองมันไม่แจ่มใส แต่วิมานเราอยู่จุดที่แน่นอน อันนี้แจ่มใส
ถ้าวิปัสสนาญาณเราดีพอ จิตเราเข้าถึงโคตรภูญาณ วิมานข้างล่างนี่จะหายหมด มันจะเหลือหลังเดียวข้างบน ถ้าเหลือหลังเดียวข้างบน ตายแล้วมันไม่มีที่อยู่ ต้องไปอยู่หลังนั่นแหละ
ถ้าพอถึงนิพพานแล้ว ยังถามว่าไปไหนอีก ถ้าอารมณ์ใจยังพอใจในการเที่ยว ก็แสดงว่ากิเลสยังหนาอยู่ ถ้าเที่ยวไป ๆ ไม่ช้ามันจะเบื่อเที่ยว จิตมันจะรักอารมณ์อยู่จุดหนึ่ง คือ ขึ้นไปนิพพานมันก็ไม่อยากขึ้น มันอยากจะตัดขันธ์ ๕ สบาย ๆ อารมณ์จิตเป็นสุข
แต่ก็มีเกณฑ์บังคับว่า นิพพาน ต้องไปทุกวัน เพื่อให้จิตมันจับเป็นเอกัคคตารมณ์ แปลว่า จิตมันเป็นหนึ่งเดียว ต้องการอย่างเดียว คือ นิพพาน ให้มีความผูกพัน
แล้วไปนิพพานไปที่ไหน….?
นิพพานมี ๒ จุดที่เราจะไปก็คือ ที่ประทับของพระพุทธเจ้าและก็วิมานของเรา ถ้าเราไม่เห็นพระพุทธเจ้า เรานึกถึงท่าน ท่านจะมาทันที คือว่า จิตอย่าปล่อยพระพุทธเจ้า ให้จิตมันเกาะไว้เป็นอารมณ์ ทีนี้ตายแล้วก็มาที่นี่แหละ
เรื่องของชีวิต มันจะตายเมื่อไรก็ช่าง คือว่าอย่าไปคิดว่ามันจะอยู่อีก ๒ ปี ตื่นขึ้นมา เราคิดว่าเราอาจจะตายวันนี้ มันถึงจะถูก อันนี้เป็น มรณานุสสติกรรมฐาน ใช่ไหม……
ถ้าวันนี้มันจะตายมันจะไปไหน ตื่นขึ้นมาปั๊บ เราคิดว่าเราจะตายวันนี้ จิตพุ่งปรู๊ดขึ้นนิพพานเลย ขึ้นไปแล้ว สัก ๒-๓ นาทีก็ช่าง ให้อารมณ์มันสดชื่น พิจารณาขันธ์ ๕ เท่านั้นแหละ
ถ้าจิตตอนเช้า เราจับเป็นอารมณ์ไว้ แล้วกลางวัน เราก็ไม่ได้นึกถึงนิพพาน มัวนั่งพูดกับเพื่อนบ้าง ทะเลาะกับเพื่อนบ้าง ขัดคอกับเพื่อนบ้าง หลบหน้าเจ้าหนี้บ้าง ตามเรื่องตามราวนะ บังเอิญตายวันนั้น มันก็ไปนิพพาน เพราะตอนเช้าเราตั้งอารมณ์ไว้แล้วใช่ไหม…..
คืออารมณ์ตอนเช้า เวลาที่จิตมันสบายตั้งอารมณ์ไว้เลย ตั้งอารมณ์ไว้ ก็อย่าตั้งไว้เฉย ๆ ไปเลย ไปนั่งอยู่ข้างหน้าพระพุทธเจ้าให้จิตมันชื่นใจ เวลานั่งข้างหน้าพระพุทธเจ้ามันสบายใจ ใช่ไหม……..ท่านสวย ท่านสว่าง ดูแล้วไม่อิ่มไม่เบื่อ อารมณ์มันก็มีความสุข คิดว่าที่นี่เป็นที่ที่เราจะมาในเมื่อขันธ์ ๕ มันพัง ให้ทำแบบนี้นะ”
ผู้ถาม:- “แล้วอย่างสมมุติว่า คนที่เขาฝึกได้แล้ว เขาไปได้ เขาก็เห็นวิมานของเขา แสดงว่าเขามีวิมานอยู่ ถ้าหากเราอยู่อย่างนี้ เราทำแต่ความดี เราจะมีวิมานไหมคะ……?”
หลวงพ่อ:- “เราก็มีบ้านอยู่”
ผู้ถาม:- “หนูอยากมีวิมานค่ะ”
หลวงพ่อ:- “ไปสร้างกุฏิสักหลังซิ”
ผู้ถาม:- “มีจริง ๆ หรือคะ?”
หลวงพ่อ:- “วิมานน่ะ เขามีด้วยกันทุกคน ถ้าทำความดี แต่ว่าเราจะสามารถไปเห็นวิมานของเราหรือไม่ อย่างการก่อสร้าง วิหารทาน สร้างโบสถ์ สร้างกุฏิ สร้างส้วม สร้างศาลา อะไรก็ตามเถอะ เราเอาเงินไปร่วมกับเขาด้วยความตั้งใจจริง วิมานจะปรากฏเลย เราจะรู้หรือไม่รู้อยู่ที่การฝึกจิต อย่างที่เขาฝึก “นะ มะ พะ ธะ” กัน”
หลวงพ่อ:- “เอาล่ะ สำหรับปัญหาผู้ยังไม่เคยฝึกก็มีเท่านี้ ต่อไปนี้เป็นปัญหาของผู้เริ่มฝึกใหม่ ๆ”
ปัญหาของผู้เริ่มฝึกมโนมยิทธิใหม่ๆ
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอบปัญหาธรรม
ผู้ถาม:- “บางคนเขาก็มาปรารภว่า มาครั้งแรกทำไมจึงฝึกไม่ได้…?”
หลวงพ่อ:- “พวกที่ไม่ได้ มันยัง ตั้งอารมณ์ไม่ถูก เขามีสิทธิ์ได้ มาถึงปุ๊บเดียว จะให้มันได้ ความเข้าใจมันยังไม่ดี ที่เรียกว่า ยังไม่เข้าใจ
บางคนก็ใช้ตาดูบ้าง บางคนก็ใช้ฌานหนักเกินไป มันก็ไม่ถูกจุด สูงเกินไปนิด ต่ำเกินไปนิด ก็ไม่ได้ ต้องพอดี ๆ คือว่า
ตอนจับทีแรก มันต้องอยู่แค่อารมณ์อุปจารสมาธิ เพราะอันนี้เป็นวิชชาสาม พอจับภาพได้ปุ๊บ บังเกิดความมั่นใจ จิตเป็นฌาน”
ผู้ถาม:- “ดิฉันก็เหมือนกันค่ะ เวลามีครูมาสอบถาม ว่าเห็นอะไรบ้างหรือยัง ก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเลย ตอบก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่เห็นอะไร ไม่เจออะไร ไม่ทราบว่าจะทำยังไงดี”
หลวงพ่อ:- “อันนี้มันเป็นอย่างนี้โยม มันเป็นอารมณ์ที่ไม่ชินนะ ทีนี้ที่เห็นนั้น เราไม่ใช้ตา มันเป็นกำลังของทิพจักขุญาณ ทิพจักขุญาณเบื้องต้น มันมัวเต็มที แล้วเราก็เห็นว่า เราจะต้องเห็นทางตา
คำว่า ทิพจักขุญาณ แปลว่า มีความรู้คล้ายตาทิพย์ มันเกิดเฉพาะความรู้สึก ไม่ใช่ลูกตาเห็น
นั่นมันเป็นอันดับก่อนที่จะก้าวขึ้น ถ้าตอนนี้เราจับอารมณ์นั้นได้ เมื่อเราจับได้แล้ว ครูเขาสนับสนุนโดยการพิจารณาตัดขันธ์ ๕ บ้าง นึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้าบ้าง และทำความรู้สึกเข้าหาพระจุฬามณี ตอนนี้จิตมันจะเริ่มเป็นฌาน ความรู้สึกที่ว่าเห็น มันจะมีความใสขึ้น ดีขึ้น ยิ่งกว่าเดิมหน่อยหนึ่ง หรือบางคนก็ดีมาก
ทีนี้ถ้าหากว่า ความรู้สึกที่ว่าเห็น ที่เราเรียกว่า ทิพจักขุญาณ จะดีมากดีน้อยขนาดไหน มันขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของจิตในเวลานั้น
ถ้าในเวลานั้น ความรู้สึกของจิตมันล้างกิเลสไปได้มากเทียบเท่ากับพระสกิทาคามี หรือพระอนาคามี เฉพาะในเวลานั้นนะ ไม่ได้หมายความว่า เป็นเสียจริง ๆ เลยนะ คือ เวลานั้น จิตมันสะอาดเทียบเท่ากับพระสกิทาคามีหรือพระอนาคามี ความรู้สึกที่เห็นมันชัดมาก การเคลื่อนไหวเร็วมาก ถ้าฝึกใหม่ ๆ ก็อยากเห็นชัดอย่างนี้ละ”
อีกคนหนึ่งอยากเห็นชัดเหมือนกัน ถามว่า
ผู้ถาม:- “ที่หนูทำอยู่เวลานี้ก็พอจะเห็นบ้างแต่ว่ายังไม่ชัด หนูอยากจะไปเห็นชัด ๆ ค่ะ จะทำอย่างไรคะ…?”หลวงพ่อ:- “ถ้าอยากไปก็แสดงว่าไม่อยากไป ถ้าอยากไปมันเป็นนิวรณ์ คืออุทธัจจะกุกกุจจะ มันคอยตัด อย่าอยากไปนะ ให้ทำแบบสบาย ๆ เราพอใจในผลที่เราได้มาแล้วในตอนก่อน จะได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้ารักษาอารมณ์ให้สว่างอย่างนี้มีผล
อย่าลืมว่าอภิญญาจริง มันยังมีเวลาอีก ๑๙ ปี กำลังอภิญญาจึงจะเข้ามาถึง ตอนนี้อภิญญาเล็ก แล้วก็พยายามฝึกไปเรื่อย ๆ นะ
ถ้าต้องการจะให้เห็นแจ่มใส ให้หมั่นจับภาพพระให้ใส เป็นประกายแก้วอยู่เสมอ วันหนึ่งสักครั้งหนึ่ง ให้เป็นประจำ ก่อนหลับก็ได้ ถ้าทำอย่างนี้ละก็ ท่านบอกว่าถ้าถึงวาระอีก ๗ วันตาย ตอนนั้นจะพบพระหรือเทวดาเป็นประกายใสปลอดโปร่ง และจิตใจจะจับอยู่ในภาพนั้น และวาระนั้นนั่นแหละ จิตใจจะตัดในที่สุด คือ จิตจะตัดเข้าอรหัตผล ตายแล้วไปนิพพานทุกคน ถ้าอยากเห็นชัดละก็ ตายแล้วไปถึงนิพพานชัดแจ๋วทุกคน”
ผู้ถาม:- “หลวงพ่อคะ การนึกปั๊บเห็นปั๊บแต่เป็นภาพเดิม อย่างนี้เป็นสัญญาใช่ไหมคะ.?”
หลวงพ่อ:- “ไม่ใช่ เป็นสัญญาไม่ได้ คือว่าคนที่เขาชำนาญเขาไม่นั่งป๋อหลอหรอก อย่างฉันนึกปั๊บได้เลย บางทีไม่ทันจะนึกละ ไปแล้ว”
ผู้ถาม:- “ขึ้นไปถึงเลยหรือคะ..?”
หลวงพ่อ:- “ไปถึงเลย คือ มันจะเป็นสัญญาไม่ได้ สัญญามันได้แต่นั่งนึกเอา สัญญาก็นั่งจำแต่ภาพ เราเคยเห็นพระพุทธเจ้าในลักษณะไหน เราเคยเห็นวิมานของท่านในลักษณะไหนบ้าง วิมานของเราในลักษณะไหนบ้าง เรานั่งนึก อันนี้เป็นสัญญา
พอเรารวบรวมกำลังใจปั๊บแล้วไป อันนี้เป็นอภิญญา มันไม่ใช่สัญญา”
ผู้ถาม:- “หลวงพ่อคะ หนูนั่งทีไร เห็นไม่เต็มองค์ เห็นแค่เศียร เวลาขึ้นไปข้างบน เห็นวิมาน มีหลังคาสูง ๆ แต่เข้าไม่ได้ค่ะ ทำยังไงหนูจะเข้าไปได้คะ…?”
หลวงพ่อ:- “ตัดสินใจให้มันแน่นอน อารมณ์ไม่เด็ดขาดจริงยังห่วงขันธ์ ๕ อยู่ ยังห่วงร่างกาย ยังห่วงลูกยังห่วงฝาละมี(สามี) อะไรพวกนี้ ยังห่วงอย่างนี้ เข้าไม่ได้หรอก
ถ้าก่อนที่จะขึ้น ต้องตัดสินใจให้มันเด็ดขาด การเห็นภาพไม่ชัด มันบอกได้เลยว่า เราตัดสินใจไม่เด็ดขาด ไม่ต้องไปเปิดตำราที่ไหน นี่เป็นเครื่องวัด”
ผู้ถาม:- “แต่ฝึกครั้งแรกขึ้นไปเห็นชัดมากค่ะ…”
หลวงพ่อ:- “วันแรกเขาสอน เราไปตามเขา พอเขาทิ้ง ก็ชักห่วงหน้าห่วงหลัง พอออกไปหน่อย เอ… ไอ้โอ๋ไปไหนหว่า อยู่กับใคร…ก็ยังถือว่าดี
ควรจะตัดสินใจให้มันเด็ดขาด ตอนเช้ามืด ควรจะตัดสินใจไปเลยว่า ชีวิตนี้มันทรงตัวอยู่ขนาดไหน ก็ช่างมันเถอะ ถ้าตายเมื่อไหร่ ขอไปนิพพาน เอาให้แน่นอน ถ้าตั้งอารมณ์ดีจริง ๆ ถ้าตั้งใจแบบนั้น ทีหลังเห็นเต็มองค์ไม่ยาก”
ผู้ถาม:- “หลวงพ่อคะ เวลาฝึกมโนมยิทธิ บางวันก็อารมณ์ดี ขึ้นไปก็เห็นแจ่มใส แต่มันดีเป็นพักๆค่ะ”
หลวงพ่อ:- “อารมณ์ดีเป็นพัก ๆ นี่ถูก คือว่า ที่เป็นพัก ๆ เพราะว่า ร่างกายมันยังเกาะขันธ์ ๕ ถ้าเหนื่อยเกินไป เพลียเกินไป อันนี้อารมณ์จะมัวได้
แล้วก็ประการที่ ๒ ถ้ามันป่วยขึ้นมา มันจะทำให้ประสาทสั่นคลอนนิดหนึ่ง โดยที่เราไม่รู้ตัว อันนี้มัวได้
แล้วก็ประการที่ ๓ รวบรวมกำลังใจยังไม่เต็มที่ ก็ขึ้นเลย อันนี้มัวได้
การใช้กำลังอภิญญานี่ เราจะถือความสว่างมากสว่างน้อยไม่สำคัญ สำคัญว่า กำลังจิตของเรา เข้าถึงจุดหมายปลายทางไหม เขาถือตัวนี้ เป็นตัวสำคัญนะ
เพราะว่าเรายังมีขันธ์ ๕ อยู่ เราจะให้ทรงตัวอยู่เป็นปกติ มันไม่ได้แน่ พระอรหันต์ ยังไม่ได้เลย
บางคนก็มาบ่นให้ฟัง “ฝึกได้แล้ว พอกลับไปบ้าน ก็มืดไปมัวไป” ก็ต้องไปดูว่ามันมืดเพราะอะไร มืดเพราะศีลบกพร่องหรือเปล่า ถ้าศีลบกพร่อง เราเข้าพระจุฬามณีไม่ได้
ถ้าบอกว่ามืดเพราะสมาธิต่ำ ไม่ใช่ ถ้าสมาธิต่ำ มันไม่แสดงอาการของการมืด แต่การเคลื่อนของจิตมันจะช้าลง การมืดหรือสว่างมันอยู่ที่วิปัสสนาญาณ
ศีล เป็นภาคพื้น สมาธิ เป็นกำลังเดินทาง วิปัสสนาญาณ เป็นคบเพลิงสำหรับส่องทาง ทั้ง ๓ อย่างนี้ต้องขนานกัน
แต่ว่าบางทีศีลดี สมาธิดี วิปัสสนาญาณดี แต่ว่าร่างกายไม่ดี อันนี้ก็มืดเหมือนกัน
แต่หลวงพ่อไม่งั้นนะ ถ้าร่างกายไม่ดียิ่งสว่าง เพราะว่าถ้าร่างกายไม่ดี จิตมันจะดีทันที พอเริ่มป่วยนี่ จะป่วยมากน้อยก็ตาม จิตมันจะรวมตัวทันที พร้อมใส่กระเป๋าเตรียมตัวเดินทางใช่ไหม…
จำไว้นะ ไม่ใช่พอป่วยร้องอ๋อย ๆ คือว่า ร่างกายมันจะคราง มันจะร้อง มันจะเจ็บ มันจะปวด มันเป็นเรื่องธรรมดาของร่างกาย ไม่ใช่ว่าถือธรรมดา แล้วร่างกายจะไม่เจ็บไม่ปวด อันนั้นไม่ถูก
แม้แต่พระอรหันต์ทุกองค์ท่านก็เจ็บ ท่านก็รู้ว่าร่างกายเจ็บ ร่างกายหนาว ร่างกายร้อน ท่านก็รู้ ร่างกายป่วยไข้ไม่สบาย ท่านก็รู้ แต่ว่าท่านไม่ได้ทุกข์ จิตท่านไม่กังวล ท่านก็รักษาพยาบาล ท่านหิวท่านก็กิน ท่านร้อนท่านก็หาเครื่องเย็น ท่านหนาวท่านก็หาเครื่องอุ่น หาได้แค่ไหนพอใจแค่นั้น ถ้าหาไม่ได้ก็แค่นั้นแหละ แค่นี้เอง”
หลวงพ่อ:- “เอาละ คงจะพอเข้าใจแล้วนะ ต่อไปนี้เป็น ปัญหาของผู้ฝึกได้แล้ว”
ปัญหาของผู้เริ่มฝึกได้แล้วและการฝึกแบบเต็มกำลัง
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอบปัญหาธรรม
ผู้ถาม:- “ผมเคยชวนคนอื่น ๆ มาฝึกมโนมยิทธิ แต่แล้วเขาบอกว่า พอออกไปแล้ว กลัวใครจะมาทำร้ายร่างกาย มาเผาร่างกาย เรื่องนี้จริงไหมครับ…?”
หลวงพ่อ:- “ไอ้คนที่ได้มโนมยิทธิจริง ๆ ถ้าไปถึงสวรรค์ได้ เขาไม่อยากมองมนุษย์นะ เพราะเมืองมนุษย์มันเลอะเทอะด้วยประการทั้งปวง โลกทั้งโลกมันสกปรก ถ้าแดนสวรรค์ก็มีแก้วกับทอง สวรรค์มีความสุขมีที่อยู่สบาย ถ้าไปถึงพรหม เราก็ไม่อยากไปสวรรค์ เพราะพรหมเขาดีกว่า ถ้าเข้าถึงนิพพานเราก็ไม่อยากมองพรหม
ถ้าบังเอิญเวลานั้นใครทำร้าย หรือจะเอาร่างกายไปเผาเสียก็ดี จะได้ไม่ต้องกลับมา กลัวเขาจะไม่ทำยังงั้นน่ะซิ
ถ้ากลัวตายก็ฝึกวิชานี้ไม่ได้ อันนี้เป็นหัวใจสำคัญของการเจริญพระกรรมฐาน”
ผู้ถาม:- “มีลูกศิษย์บางคนนะคะ เขาไม่ชอบไปดูของสวย ๆ บนสวรรค์ เขาอยากไปนรก เขาบอกว่า เห็นในสิ่งที่ไม่ดี แล้วจะได้ไม่ทำในสิ่งนั้น”
หลวงพ่อ:- “เออ….ไอ้นี่เหมือนกับฉัน ไปได้ครั้งแรก ปีแรกฉันไม่ไปสวรรค์เลย ไปนรกจุดเดียว นรกนี่ใช้เวลา ๑ ปี ไปไม่ครบนะ นรกจริง ๆ มันมี ๔๐๐ ขุมกว่า ขุมใหญ่มี ๘ ขุม แต่ละขุมมันแยกไปอีก
ไปถึงก็ถามเขา แต่ละขุมเราเคยมากี่เที่ยว แต่ละครั้งที่เรามาทำบาปอะไร เราขอดูภาพเดิม สมัยเป็นมนุษย์เราทำบาปอะไร นรกขุมนี้ลงโทษ แบบไหน ฉันไปทุกขุม ฉันก็ไปถามเขาทุกขุม ลองไล่เบี้ยดู เป็นการลงโทษตัวเอง ปรามตัวเอง
อย่างไอ้หนูนี่คิดถูก ถ้าดูคนอื่นเขาลงน่ะมันไม่มันนะ ต้องดูของตัวเอง ดูว่าในสมัยที่เราเป็นคน เราทำอะไรผิด เราจึงลงนรก บางครั้งเราเป็นคนมีวาสนาบารมีสูง แต่ก็เมาในชีวิต มีอำนาจมากกว่าเขา ก็สร้างความชั่วข่มเหงเขาบ้าง ทำอะไรเขาบ้าง ตายแล้วก็ลงนรก
ต้องขอดูภาพเดิม อย่าดูแต่ภาพนรกเฉย ๆ นะ ดูว่าสมัยเป็นมนุษย์ เราทำอะไรไว้ จึงถูกลงโทษแบบนี้ มันจะได้ประสานกัน ที่สวรรค์ จุดแรกที่ต้องการไปให้ถึง คือ พระจุฬามณี อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์”
ผู้ถาม:- “หลวงพ่อคะ ดาวดึงส์กับจุฬามณีนี่ที่เดียวกันใช่ไหมคะ?”
หลวงพ่อ:- “ใช่ ที่เดียวกัน จุฬามณีตั้งอยู่ในเขตของดาวดึงส์”
ผู้ถาม:- “ดิฉันไปกราบท่านพ่อกับท่านแม่ที่ดาวดึงส์ค่ะ แล้วก็ไปนิพพาน”
หลวงพ่อ:- “ก็ได้ คือว่าเราต้องการให้อารมณ์จิตอยู่ที่นั่น ก็ต้องไปกราบทุกวันนะ ฉันก็กราบ ที่เราไปกราบพ่อแม่เพราะอะไร เพราะท่านจะไปนิพพานอยู่แล้ว
พ่อแม่นี่มีความจำเป็นต้องกตัญญู ทางที่ดีพอขึ้นไปที่นั่นแล้ว พอกราบท่านแล้ว ก็ต้องถามท่านว่า มีอีกบ้างไหมที่เป็นบิดามารดาเดิม ที่ยังเป็นเทวดาหรือพรหมอยู่ ขอเชิญมาประชุมหมด แล้วท่านก็จะมาหมด
พอมาแล้วก็กราบท่าน เราขอขอบคุณท่าน เราจะได้รู้ว่าพ่อแม่ที่อยู่เป็นเทวดาหรือพรหมมีเท่าไร พ่อแม่ของเราในอดีตมีเยอะ ขึ้นไปแล้วไม่หงอยเหงาแน่ ๆ เพลิดเพลินจนไม่อยากกลับทีเดียว”
ผู้ถาม:- “หนูมีปัญหาอันหนึ่ง คือก่อนนอน ก็ภาวนา นะ มะ พะ ธะ แล้วก็หลับไปเลย มีอยู่วันหนึ่งนะคะ ตอนใกล้เช้าค่ะ มีความรู้สึกว่าไม่ได้หลับ แต่มีความรู้สึกว่า จิตมันจะออกไป แต่ไม่ยอมลอยขึ้นไปข้างบน แล้วอยู่ ๆ ก็ดึงลงไปข้างล่างเลยค่ะ ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากจะให้ลง มันเป็นเพราะอะไรคะ…….?”
หลวงพ่อ:- “ถ้ามันดึงลงข้างล่างก็ให้มันดึงไป ไปเที่ยวนรก ถ้าปล่อยตัวหลุดแบบนั้น เป็นตัวอภิญญาแท้ คือ นะ มะ พะ ธะ ที่เราทำเวลานี้นะ ถ้ามันถึงจุด มันจะออก จุดออกของเขาจริง ๆ มันเหมือนกับตัวเราออกไปเลย มันออกไปจริง ๆ
ทีนี้มันจะดิ่งลง ก็ให้มันลงไป อารมณ์อันหนึ่ง เขาอาจจะบังคับให้ไปดูนรกข้างล่างว่าเป็นยังไง แต่ไปแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะกลับมาไม่ได้นะ กว่าจะกลับก็เช้า
ทีหลังตั้งใจไว้ก่อนว่า ถ้าออกได้จะขอไปพระนิพพาน แล้วไปจะหาแม่ หาปู่ แต่ว่าการตั้งใจไว้ก่อน เวลาภาวนาก็อย่านึกถึงท่านนะ ทิ้งเลย ถ้าออกปั๊บมันจะพุ่งไปเลย ขณะที่ภาวนาเราต้องทิ้งอารมณ์อยากจะไปนิพพาน จะไปหรือไม่ไปไม่สำคัญ แต่ทำใจให้สบายนี่ มันจะไปได้ ซึ่งซ้อมแบบนั้นน่ะดีแล้ว มันจะเคลื่อนได้ดี
ถึงฝึกแบบเต็มกำลังจริง ๆ ออกไปได้จะสนุกมาก เห็นวิมานเยอะแยะ ไม่มืดสลัว เห็นชัดเจนแจ่มใสดีมาก แทบไม่อยากกลับมาทีเดียว”
ผู้ถาม:- “กระผมสังเกตดู อย่างวิมานของหลวงปู่ก็ดี ของพระพุทธเจ้าก็ดี ปรากฏเห็นชัดดี แจ่มใสดี เวลาไม่ต้องการเห็นก็หายไป”
หลวงพ่อ:- “ใช่…ถ้าจิตเราไม่ต้องการเห็น แป๊บเดียวก็หาย มันเป็นไปตามกำลังของจิต แต่ความจริงไม่ใช่วิมานหายนะ จิตเราไม่เห็นเอง ถ้าเราไม่ต้องการ มันก็ไม่เห็น ไม่ใช่เราไปรื้อวิมานเขานะ ถ้าโยมไปรื้อวิมาน เทวดาตีตาย”
ผู้ถาม:- “เรื่องนี้องค์อื่นผมก็ไม่กล้าคุยครับ”
หลวงพ่อ:- “อาตมาไม่เป็นไรหรอกโยม ความจริงพระที่ท่านเข้าถึง ไม่มีองค์ไหนบอกนิพพานสูญ เรื่องของนิพพานมันมีอยู่อย่างนี้ เราจะเห็นได้หรือไม่ได้ มันมีอารมณ์ของจิตตามขั้น ถ้าจิตของเราเป็นฌานโลกีย์ล้วน ไม่มีทางเห็นได้เลย สมมุติว่าเราไม่เป็นพระอริยเจ้าจริง เวลานั้น จิตมันต้องว่างจากกิเลสชั่วเวลาหนึ่ง อันนี้จึงจะเห็นนิพพาน ถ้าตามเกณฑ์ที่จะเห็นนิพพานได้
ถ้าสุกขวิปัสสโกนี่ ท่านไม่เห็นเลยนะ ไม่เห็นผี ไม่เห็นเทวดา ไม่เห็นนรกสวรรค์ ไม่เห็นอะไรทั้งหมด ก็ชื่อว่า ตัดกิเลสได้
ถ้าเตวิชโช เขามีสองในวิชชาสาม คือ ทิพจักขุญาณ กับ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ถ้ายังเป็นฌานโลกีย์อยู่ ทิพจักขุญาณตัวนี้จะไม่สามารถเห็นนิพพานได้เลย จะเห็นได้แค่พรหมโลก นรกทุกขุมเห็นได้ สวรรค์ขึ้นไปถึงพรหมโลกเห็น ถ้าจิตเข้าถึงโคตรภูญาณเป็นอย่างต่ำ อันนี้จึงจะเห็นนิพพาน
ไม่ใช่ว่าทำทิพจักขุญาณได้ จะเห็นอะไรทั้งหมด ถ้าหากว่าเราปฏิบัติกันแล้ว ไปถึงนิพพานได้ แสดงว่าจิตเวลานั้น ว่างพอ สะอาดพอ”
ผู้ถาม:- “หลวงพ่อคะ เวลาขึ้นไปแล้ว แต่ว่าทรงอารมณ์อยู่ไม่นานก็กลับมาใหม่ อันนี้เป็นเพราะเหตุใดคะ ขอให้หลวงพ่อชี้ข้อผิดพลาดด้วยค่ะ…?”
หลวงพ่อ:- “มันไม่ผิดหรอก เวลาตั้งอารมณ์ จิตไม่ตั้งเป็นฌาน เพราะว่าอารมณ์ที่เป็นฌานมันน้อยเกินไป มันเป็นอุปจารสมาธิเสียมาก วิธีที่ฝึกเวลานี้ไม่ใช่ไปแก้จุดนั้น ไปแก้อีกจุดหนึ่ง
เมื่อยามว่างเราควรจะตั้งเวลาสัก ๓ นาที ๕ นาที จับลมหายใจเข้าออก แล้วว่า นะ มะ พะ ธะ เราจะนั่งท่าไหนก็ได้ ให้จิตมันอยู่ช่วงนี้ เฉพาะคำภาวนากับลมหายใจนะ แต่ว่าอาการอย่างนั้นจะมีได้ในบางขณะ บางทีเราเริ่มจับปั๊บ จิตมันตกต่ำลงไปเลย ถ้าหากว่ามันทรงไม่อยู่ ไปแล้วกลับมา พอกลับมาก็ทรงอารมณ์ให้สบาย ไม่ไปไหนละ
นั่งอยู่ภาวนาให้สบาย ๆ ให้จิตมันเป็นสุขพอ จิตมีกำลังปั๊บ ขึ้นไปใหม่ มันอยู่ได้ ไอ้นี่เรื่องธรรมดา”
ผู้ถาม:- “แต่บางครั้งในขณะที่ครูเขาทดสอบ มีความรู้สึกว่าจะตายค่ะ”
หลวงพ่อ:- “จะตายหรือ ดี คือ มีความรู้สึกว่าจะตาย ถ้ามันจะตายเวลานี้ เราขออยู่ที่นิพพาน”
ผู้ถาม:- “พอมีความรู้สึกว่าจะตายเลยไม่ยอมไป”
หลวงพ่อ:- “ไม่เป็นไรนะ นั่นเป็นอารมณ์อันหนึ่ง ถือว่าเป็นอารมณ์แทรกเข้ามา คือว่ากำลังใจเราจะมั่นคงไหม แต่การแทรกเข้ามารู้สึกว่าจะตาย จะดูว่าเรามั่นใจในพระนิพพานไหม หรือเราจะไปยุ่งกับทุกขเวทนา
ทีนี้ถ้าจิตมันตัด ตายก็ตาย ถ้าตายเราไปนิพพาน แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว คือว่าอาการที่เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่อาการของร่างกาย เป็นอาการถูกทดสอบจากพระอริยะ ถ้าเวทนาแบบนี้เข้ามา กำลังใจเราเป็นอย่างไร
ถ้ากำลังใจเราตัดสินใจว่า ถ้าเราตายเวลานี้เราไปนิพพานช่วงนี้ และตอนนั้นเราดีดตัวถึงพระนิพพานได้ ลงมาเราก็ไม่เป็นไร ถืออารมณ์อย่างเดียว คือว่า เราห่วงตัวหรือห่วงนิพพาน เขาต้องการเท่านี้แหละ
การเจริญพระกรรมฐาน มักจะมีเทวดา ครูบาอาจารย์และพระอริยะ มาทดลองเสมอ เพราะฉะนั้น อย่าได้กลัว ท่านต้องการให้เราได้ดี”
ผู้ถาม:- “หลวงพ่อคะ ตอนที่ฝึกมโนมยิทธินะคะ เมื่อขึ้นไปบนสวรรค์แล้ว เห็นใส่เสื้อผ้าเป็นธรรมดาค่ะ อันนี้เป็นภาพจริงหรือเปล่าคะ..?”
หลวงพ่อ:- “ภาพน่ะเป็นภาพจริง แต่ไม่ตรงความจริง”
ผู้ถาม:- “แล้วยังเห็นคนที่เขาอยู่บนสวรรค์ เขาก็แต่งตัวไม่เหมือนชาวสวรรค์ เราเป็นมนุษย์ ยังแต่งตัวสวยกว่าตั้งเยอะ”
หลวงพ่อ:- “ที่เราเห็นเขาอย่างนั้นน่ะ เขาทำภาพเดิมให้ดู คือว่าเขาเกรงว่าเราจะจำเขาไม่ได้ อันดับแรกเขาต้องแสดงแบบนั้นก่อน ถ้าเราเห็นแบบนั้น เราควรจะถามเขาว่า เวลานี้ภาพความเป็นจริงของท่านมีรูปร่างเป็นอย่างไร ขอให้แสดงความเป็นจริง”
ผู้ถาม:- “อยากถามเขาเหมือนกันค่ะ แต่ดูหน้าตาเขาแล้ว ไม่อยากจะพูดกับเขาเลย ตอนนี้พยายามฝึกให้ได้ฌาน ๔ ก่อนเผื่อจะได้ถอดจิตไปถึงอินเดียบ้าง”
หลวงพ่อ:- “ฌาน ๔ เป็นอย่างไร..?”
ผู้ถาม:- “ไม่ทราบซิคะ”
หลวงพ่อ:- “นี่กินขนมอยู่แล้วยังนึกว่ายังไม่ได้กิน ไอ้การไปสวรรค์ได้ ไปพรหมได้ นี่มันเป็นกำลังของฌาน ๔ ถ้ากำลังไม่ถึงฌาน ๔ มันจะไปถึงจุฬามณีไม่ได้
จำให้ดีว่า ขณะที่เราเห็นภาพครั้งแรก ที่ครูเขาฝึก อันนี้เป็นทิพจักขุญาณ ตอนนี้เป็นอุปจารสมาธิ ถ้าเห็นภาพแล้วภาพเริ่มแจ่มใส ตอนนี้เป็นฌาน แต่ถ้าไม่ถึงฌาน ๔ จะเคลื่อนจิตไม่ได้ ถ้าจิตเคลื่อนไปถึงพระจุฬามณีได้ จงทราบว่าระหว่างนั่นเป็นฌาน ๔ หมด เป็นฌาน ๔ สำหรับใช้งาน”
ผู้ถาม:- “เป็นยังไงคะฌาน ๔ ใช้งาน…?”
หลวงพ่อ:- “ฌานมันมี ๒ ลักษณะ ที่เขานั่งเข้าฌาน นั่งเฉย ๆ เป็นการฝึกให้ฌานมันเกิดขึ้น แล้วก็ทรงฌาน
ทีนี้ฌาน ๔ สำหรับใช้งาน ก็คือ จิตเคลื่อนไปสู่ภพต่าง ๆ หรือไปที่ต่าง ๆ อย่างเรานั่งอยู่ตรงนี้ คนที่นั่งอยู่ข้างหลังคิดอะไรอยู่ เราอยากรู้ เราก็รู้ หรือเขาทำอะไร เราอยากรู้ เราก็รู้ได้ แล้วเป็นฌาน ๔ ประกอบไปด้วยอภิญญา
ถ้าฌาน ๔ เฉย ๆ มันก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าไม่เคยได้อภิญญา
ความจริงถ้าฝึกมโนมยิทธิแบบเต็มอัตรา ที่ฝึกกันนี่ใช้กำลังเพียงครึ่งหนึ่ง ถ้าแบบเต็มอัตรามีสภาพเหมือนฝัน คือไปได้แบบตัวเราไปเที่ยวธรรมดา รู้สึกได้เต็มที่ ก็บังคับให้กำลังภาพมันหยาบหน่อย
ที่เราฝึกนี่ใช้กำลังเพียงครึ่งเดียว คือกำลังที่เราใช้แค่วิชชาสาม เนื้อแท้จริง ๆ ของมโนมยิทธิ ต้องเป็นกำลังของอภิญญา แต่ว่าถ้าจะหันเข้าไปฝึกอภิญญา มันเป็นของไม่ยาก อภิญญาต้องตั้งต้นด้วยกสิณ ๑๐ มี เตโชกสิณ อาโปกสิณ เป็นต้น
แต่ว่าได้มโนมยิทธิแบบนี้แล้ว ก็ใช้จับภาพกสิณได้ทันที เพราะว่าตัวที่ได้มโนมยิทธิ ถ้าเราไปเริ่มต้นกสิณจริง ๆ เราก็ถอยหลังเข้าคลอง คือจับผลของกสิณเลย กสิณถ้ามันได้ผลจริง ๆ มันมีสีเหมือนกันหมด มีสีใสเป็นประกายแพรวเหมือนกันหมด เดิมจะเป็นสีอะไรก็ช่าง
อย่างโลหิตกสิณ (กสิณสีแดง) จับภาพทีแรกมันเป็นสีแดง เขาต้องภาวนา “โลหิตกสิณัง” แต่ว่าถ้าทำไป ๆ สีแดงมันจะกลายจนกระทั่งขาว พอขาวแล้วก็เป็นประกายแพรวเต็มที่ ถ้าจิตมีกำลังถึงฌาน ๔ กสิณจะเป็นประกายแพรว ฉะนั้นกสิณทุกกองจะมีภาพเหมือนกัน เมื่อถึงฌาน ๔ เราจับกสิณก็เป็นประกายให้หมด
ใช้กำลังมโนมยิทธิที่เราได้ จับปลายของกสิณเลย แล้วมันจะคล่องตัว ปลุ๊บ ๆ จับได้หมด จับได้ก็ย้อนไปย้อนมาจนชิน จนกระทั่งอารมณ์เราจะใช้เวลาไหนก็ได้ กำลังปวดท้องขี้เต็มที่จับภาพกสิณก็ได้ ต้องได้จริง ๆ นะ ไม่ใช่ล้อเล่น ต้องได้จริง ๆ จึงจะฝึกอภิญญาได้”
ผู้ถาม:- “ถ้าฝึกอภิญญาได้ ก็แสดงฤทธิ์ได้ใช่ไหมคะ….?”
หลวงพ่อ:- “แสดงฤทธิ์ได้ แสดงไปเดี๋ยวก็หลงตัวเอง ความสำคัญมีอยู่ว่า ทำอย่างไรจึงจะเข้าใจว่า สวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง พวกเปรต อสุรกายมีจริง ความสำคัญมันมีอยู่แค่นี้เอง
วิชานี้ที่เรามีอยู่แล้วทำเสียให้เต็มที่ ทำให้พอใจ เพราะว่าถ้าเราเป็นมโนมยิทธิเต็มที่ เต็มกำลัง เราก็รู้อะไรทั้งหมด เวลานี้เราก็รู้หมดอยู่แล้ว กำลังอ่อนหน่อยก็ไม่แปลก รู้ได้เหมือนกัน เราก็ใช้กำลังส่วนนี้รู้จักพระนิพพาน จิตก็จับพระนิพพานเป็นอารมณ์มันก็แค่นื้ ที่ทำทั้งหมดก็เพื่อนิพพานอย่างเดียว ไม่ใช่ทำเพื่ออวดชาวบ้าน”
ผู้ถาม:- “ถ้าหากเราฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว ต้องการดูกระแสจิตของเราเอง จะได้ไหมคะ?”
หลวงพ่อ:- “ได้…การดูใจเขาดูแบบนี้ คือ ดูแสงสว่างของใจที่มันออกมา กระแสจิตของนักปฏิบัติเป็นสีเนื้อหรือสีเคลือบแก้ว ถ้ายังเป็นสีเนื้ออยู่ ก็แสดงว่า บุคคลนั้นเป็นปุถุชนเต็มอัตรา ถ้าเป็นแก้วเคลือบหนาขึ้นไปทีละหน่อย ๆ จนกระทั่งเป็นแก้วใสสะอาด อย่างนี้ใช้ได้ในด้านสมถภาวนา
ต่อไปอีกขั้นหนึ่ง ถ้าเป็นประกายแพรวพราว อันนี้เขาถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ถ้าจะดีจริง ๆ มันเป็นแสงละเอียด เหมือนประกายแว้บ ๆ เหมือนกระจกน่ะดี แต่ยังดีไม่เต็มที่
ถ้าจะดูว่าอารมณ์จิตละเอียดไหม ถ้าวิปัสสนาญาณมาก จิตจะเป็นประกายมาก ถ้าประกายน้อย จิตมีวิปัสสนาญาณน้อย
ทีนี้กระแสจิตที่ออกมาน่ะ ออกเรียบร้อยดีไหม….หรือว่าลุ่ มๆ ดอน ๆ ถ้ากระแสจิตเรียบร้อยดี อย่างนี้มีหวัง ไม่มีทางพลาดหวังพระนิพพาน ท่านบอกไว้เลยนะ การเห็นกระแสจิต เรียกว่า เจโตปริยญาณ เป็นญาณหนึ่งในญาณ ๘ ถ้าฝึกมโนมยิทธิได้ ฝึกญาณ ๘ ได้ง่ายมาก”
ผู้ถาม:- “หลวงพ่อคะ ครั้งแรกที่ฝึกมโนมยิทธิ เวลาที่ขึ้นไปพระนิพพานแล้ว ครูก็จะปล่อยให้นั่งชมบารมีของพระพุทธองค์ พอกลับไปบ้าน ก็นึกถึงภาพนี้อยู่เสมอ บางครั้งจะเห็นว่า ที่ขึ้นไปอีกคน ไม่ใช่ภาพที่เห็นค่ะ?”
หลวงพ่อ:- “ตัวเรามีคนเดียว”
ผู้ถาม:- “แต่ทำไมถึงเห็น ๒ คนเล่าคะ……?”
หลวงพ่อ:- “เห็นได้ เพราะสภาพความเป็นทิพย์ เห็นกี่แสนคนก็ได้ รวมได้เป็นคนเดียวเสียเมื่อไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ถ้าใช้มันจะใช้กี่แสนคนก็ได้ ทำงานเหมือนกันหมด ทำงานคนละอย่าง คนหมดโลกนี่ต่างคนต่างพูดกันคนละเรื่อง เขายังทำกันได้ เพราะสภาพความเป็นทิพย์ ไม่งั้นเขาจะเรียกความเป็นทิพย์ทำไม…..?”
ผู้ถาม:- “คือสงสัยค่ะ ปกติเห็นแต่ตัวเราคนเดียว……. “
หลวงพ่อ:- “นี่เขาทำให้ดูอย่างนั้นแหละ อะไรบ้างที่เราผูกพัน เขาต้องสภาวะอย่างนั้นให้ดู ถ้าเราเห็นอย่างนั้น จิตมันก็ผูกพันอยู่กับสิ่งนั้น ถ้าตายปุ๊บมันก็ไปอยู่ที่นั่น ท่านหาทางให้จิตไปอยู่ที่นั่น”
ผู้ถาม:- “บางทีขออาราธนาบารมีท่าน ให้พาไปที่อื่น ท่านก็เกาะหัวจุกไปเลย บางทีก็เกาะพระบาท บางทีก็เกาะบั้นเอว”
หลวงพ่อ:- “จะถามอะไรก็ตาม ถ้าทำให้เราดึงดูดใจ ท่านก็ทำภาพนั้น ท่านใจดีจะตาย โดยมากท่านต้องการให้คนของท่าน อย่างน้อยต้องขึ้นดาวดึงส์ให้หมด (คำว่า “คนของท่าน” หมายถึง ลูกก็ดี หลานก็ดี บริวารก็ดี) เวลานี้คนของฉันไม่มี เพราะว่าตัดสินใจแล้ว เพราะถ้าตัดไปกันหมดแล้ว แสดงว่าไม่ค้าง ถ้ายังค้างอยู่ ยังไปไม่ได้ ก็ไปสมัยพระศรีอาริย์”
เรื่องการฝึกมโนมยิทธิแบบใหม่นี้ คนที่ไม่เคยฝึกมักจะมีปัญหาถามเสมอ เช่น “ถ้าฝึกไปได้แล้วเวลาจะกลับ กลับยังไง” หลวงพ่อก็ตอบว่า “ให้มันไปได้ก่อนเถอะน่า” ทั้งนี้ก็กลัวว่าไม่ได้กลับ และหลวงพ่อก็ยังบอกอีกว่า
“วิชานี้ เดี๋ยวนี้ เขาเฟื่องหมดแล้ว เขาได้กันเป็นแสนแล้ว เวลานี้ ก็หนักมาก ที่อเมริกา เยอรมันตะวันตก และเริ่มไปไหวตัวที่ ญี่ปุ่น กับ นิวซีแลนด์ ระวังนะ อยู่ประเทศไทย ชาวต่างประเทศจะมาสอนเอา เขาเอาความรู้ไปจากประเทศไทย เขาจะเอาความรู้ของไทยมาสอนคนไทยต่อไป”
ข้อนี้น่าคิดนะครับ เราเป็นคนไทย อยู่ใกล้พระพุทธศาสนา จะเป็นดังสุภาษิตที่ว่า “ใกล้เกลือกินด่าง” บางคนไม่กินแล้วยังว่ากระทบกระเทือนเสียอีก อันนี้ก็ไม่ขอว่ากัน เราถือว่า “ของจริงย่อมทนต่อการพิสูจน์” และเวลานี้ คนที่ได้พิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าก็มีเยอะแยะไป โดยเฉพาะผู้หญิง หลวงพ่อเคยบอกว่า
“พวกผู้หญิงนี่คล่องตัวกว่า ผู้ชายเราเสียท่าผู้หญิง แต่อีกพวกหนึ่งก็คือพระ เสียท่าฆราวาส พระนี่เสียท่าจริง ๆ เพราะพระมีศีล ๒๒๗
การฝึกกรรมฐานนี้ ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ มันเดินไม่ออก และพระเวลานี้ก็หนักใจเหมือนกัน เพราะเวลานี้ท่านบวชเข้ามาท่านรู้ตัวว่าเป็นพระหรือเปล่าก็ไม่รู้
ถ้าปฏิบัติแบบฆราวาสล่ะ เจ๊ง….สังฆาทิเสส ถ้าผิดเข้าไปแล้ว ไม่มีทางจะได้ฌานสมาบัติ ถ้ายิ่งเป็นปาราชิก ก็ขาดความเป็นพระภิกษุ ส่วนฆราวาสเขาตั้งตัวได้ วันนี้ศีลขาด พรุ่งนี้เขาตั้งตัวใหม่ได้ ใช่ไหม…..
ก่อนที่จะมาเจริญพระกรรมฐาน ศีลบกพร่องหรือไม่เป็นเรื่อง เละเทะมาก่อน พอ เริ่มเจริญพระกรรมฐาน ตั้งใจรักษาศีลทันที ศีลฆราวาส ฆราวาสเขาทำได้ ส่วนพระไม่เหมือนกัน พระถ้าพังแล้วพังเลย
การสอนเวลานี้ เวลาพระเข้าไปฝึกพระที่มารับการสอนก็รู้สึกหนักใจ แต่บางท่านก็เก่ง บางท่านแป๊บเดียวได้เลย แล้วก็คล่องตัว เพราะศีลเขาบริสุทธิ์ แต่เราก็อย่าไปถือว่าเขาไม่บริสุทธิ์ทุกองค์ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกนักตำราที่ท่านบอกว่าเป็นเปรียญฯ นั่นแหละ มันก็ ปะ ปะ ใช่ไหม…..
พวกที่เปรียญที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยิ่งเป็นนักเทศน์นี่ร้ายกาจ แต่ท่านที่ดีก็มีนะ ไม่ใช่ว่าจะชั่วทุกองค์ เพราะเคยสัมผัส เคยอยู่ร่วมกันมา แกบวชเข้ามาแล้ว มาเรียนหนังสือ แกไม่ได้นึกว่าแกเป็นพระ ตั้งหน้าตั้งตาจะสอบให้ได้ จะเอาผลนี่ไปแลกกับเปรียญ พวกนี้ก็เป็นอาชีพ ก็ถือว่าเป็น อุปสมชีวิกา อาศัยศาสนาเลี้ยงชีวิต แบบนี้แล้วจะไปได้อะไร ถ้าไปเกาะไอ้พวกนี้
แต่พระที่เป็นเปรียญที่เขาเก่งก็มี เขาดีจริง ๆ น่ะมี บริสุทธิ์จริง ๆ น่ะ อย่าไปนึกว่าเป็นเปรียญแล้วไม่ดีนะ พวกพระราชาคณะที่เป็นเจ้าคุณ ที่เป็นสมเด็จ ที่ไม่เป็นเรื่องก็เยอะ ที่ดีจริง ๆ ก็มาก
เราต้องเลือกดูอีกนะ ดูพื้นฐานของคน คนทุกคนถ้าหาจุดเลวก็มีเลวทุกคน ถ้าหาจุดดีก็มีดีทุกคน ใช่ไหม….จุดบกพร่องมันก็ต้องมี คนก็ต้องมีดี แล้วใครจะเลว ผิดมุมไหนล่ะ……?”
ผู้ถาม:- “อีกพวกหนึ่งครับหลวงพ่อ พวกที่แก่วิทยาศาสตร์ไปอธิบายให้เขาฟัง เขาไม่ค่อยฟังครับ”
หลวงพ่อ:- “พวกแก่วิทยาศาสตร์ดี แต่พวกตุ่ย ๆ วิทยาศาสตร์ ไม่ค่อยได้ความนะ ให้เขาแก่จริง ๆ น่ะ ไม่เป็นไรหรอก คือว่าเขาจะเรียนสาขาไหนก็ตามเถอะ ถ้าเขาเป็นคนมีเหตุมีผลหน่อยมันไม่แปลก ถ้าจะค้นคว้าแบบไม่มีเหตุไม่มีผลมันอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ใช่ไหม…..เขาจะรู้ได้ว่าบ้านของเขามีถ้วยขนาดไหน มีโถขนาดไหน เขาก็นึกว่าบ้านคนอื่นมีเหมือนกับเขาทุกอย่าง อาจจะมีคนเขามีของดีกว่าก็ได้ ใช่ไหม… ถ้านักวิทยาศาสตร์จริง ๆ เขาเข้าใจอะไรง่าย มีเหตุมีผลดีมาก เจอะบ่อยไป สำคัญไอ้พวกลืมจริง ๆ น่ะซิ”
ปัญหาในการฝึกมโนมยิทธิ ก็ขอนำมาเพียงเท่านี้ จะคงช่วยให้ท่านทั้งหลายที่ยังไม่ฝึกก็ดี ฝึกแล้วก็ดี คลายความสงสัยลงได้มาก ใครที่ฝึกได้แล้วสามารถไปสอนคนอื่นได้นะ หลวงพ่ออนุญาต และหลวงพ่อแนะนำว่า
“พวกที่ได้มโนมยิทธิแล้วนี่ ถ้าไม่เป็นครูสอนเขาของเรามันจางง่าย พยายามสอนเขา ถ้าเราเริ่มสอนเขา จะได้ระมัดระวังตัวเอง คือเราจะได้ฝึกฝนตัวเอง
การสอนเขามันมีประโยชน์มาก มันได้ ๒ อย่าง ประการที่ ๑ การทรงตัว การคล่องตัว แจ่มใส มันจะเกิดขึ้น ประการที่ ๒ ได้ ธรรมทาน เป็นการเร่งรัดบารมีเดิม ให้มันแจ่มใสเร็วขึ้น เพราะธรรมทานมีอานิสงส์สูงมาก คือว่าผลที่เราจะพึงได้ แทนที่จะ ๑๐ ปี อาจจะเหลือ ๓ ปี อานิสงส์สูงมาก
สอนเขาใหม่ ๆ มันอาจจะงงก็ได้ ถ้าตามทันหรือไม่ทันไม่สำคัญ ให้มีความเข้าใจเรื่องตั้งอารมณ์เอาไว้ เพราะเราผ่านมาเรารู้ใช่ไหม…….. ถ้าเราไปถึงนั่นแล้ว เผอิญเราตามไม่ทัน ก็กวดไปทีหลังได้ ถามความรู้สึก ถ้าเขาไม่รู้สึก ก็แก้อารมณ์ที่ขัดข้องให้
ถ้าเป็นครูเขา สมเด็จฯ ท่านก็จะช่วยมากขึ้น คือว่าเป็นครูสอนเขา ให้ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าโดยตรง บอกว่า การสอนก็ดี การติดตามก็ดี ขอเป็นภาระของพระองค์
บางทีเราจะพูดสิ่งที่เราไม่เคยคิดไว้เลย ถ้าพูดไปนั่น มันเหมาะสมสำหรับบุคคลผู้นั้น ก็ต้องใช้แบบนั้นนะ พอเริ่มก็ขออาราธนาท่าน ขอเป็นภาระของพระองค์ จะเป็นผลดีแก่ผู้ที่รับฝึกต่อไป
สำหรับการฝึกมโนมยิทธิแบบเต็มอัตรา จะลองซ้อม ๆ ที่บ้านก็ได้ แต่เครื่องบูชาครูนี่ขาดไม่ได้นะ มีดอกไม้ ๓ สี ธูป ๓ ดอก เทียนหนัก ๑ บาท ๑ เล่ม สตางค์ ๑ สลึง ต้องตั้งไว้ทุกครั้งที่ทำการภาวนา หายใจเข้า นะมะ หายใจออก พะธะ เฉย ๆ โดยไม่ต้องการรู้การเห็นอะไร ทำเป็นสมาธิ ถ้ามันจะเต้นจะรำก็ปล่อยมันเลย การเต้นนี่มันจะเริ่มต้นตั้งแต่อุปจารสมาธิ แต่บางคนก็ไม่เต้นเลย พอถึงฌาน ๔ มันก็เลิกเต้น เพราะกำลังของจิตทรงตัว
จะสังเกตได้ ถ้ามันจะมีความสว่าง คือ เห็นจุดข้างหน้าขาวโพลน เป็นทางไปไกล เป็นทางขาวใหญ่ ถ้าเห็นข้างหน้า ก็ลองใช้กำลังใจพุ่งจิตไปตามสายของทางนั้น คิดว่าเราไปละ พอนึกว่าไปล่ะ ถ้ากำลังจิตเราพอ มันก็ไป พอมันออกไปแล้ว มันไม่ใช่ออกไปแบบความฝัน มันจะออกไปแบบชนิดมีสติ สัมปชัญญะสมบูรณ์ เหมือนกับออกจากตุ่มหรือกระบอก หรือเหมือนกับถอดไส้หญ้าปล้องออกจากหญ้าปล้อง ออกไปแล้ว ไปได้ชัด สว่างเหมือนกลางวัน มันจะเหลียวหน้าเหลียวหลังมาดูได้ มาดูไอ้โลกต่าง ๆ จะเห็นตัวเรานี่นั่งโด่อยู่ ดูแล้วก็เป็นคนสองคน”
“ต่อไปถ้าฉันสร้างที่ใหม่เสร็จ จะต้องพักการเดินทางออกต่างจังหวัด จะลองเอาคนที่ได้แล้วนี่แหละ มาฝึกแบบเต็มอัตรา คนที่ได้แล้วนี่ไม่ยาก ได้ใหม่หรือไม่ได้ไม่สำคัญ แต่ถ้าไม่เต็มแบบก็ยังดี ได้ผลเท่ากันนั่นแหละ แต่แบบนี้กำลังสูงหน่อย”
(หลวงพ่อเริ่มฝึกให้แล้ว เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๒๘ ที่ศาลาสองไร่เป็นเวลา ๑ เดือน)
มโนมยิทธิ ๒ อตีตังสญาณ
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
ญาณในอดีตนี่ก็เหมือนกัน ทำอย่างไรมันก็ไม่ยาก รู้แล้ว ทางที่ดีนะครับให้ถามตรงองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว หรือว่าท่านผู้ใดมีเทวดาองค์ใด มีพระอริยเจ้าองค์ใด ที่ท่านจะสงเคราะห์บอกให้ ให้ถามเฉพาะองค์นั้น อย่าเปะปะเอะอะโวยวาย ถามใครก็ได้ อันนี้ไม่ได้แน่นอน ต้องถามเฉพาะบุคคล
และเวลาจะเข้าถาม ทำจิตสะอาด วางเฉยเป็นท่ามกลาง ไม่ข้องแวะอารมณ์ใดทั้งหมด ใครดีใครชั่ววางทิ้งเสียก่อน ทำใจเป็นกลาง แล้วก็ถามท่าน อย่างนี้จะดี จะสะดวกมาก เพราะว่าคนที่รู้อะไรทั้งหมดคือ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค พวกเรายังเป็นโรคอุปาทานอยู่ ดีไม่ดีความหลงใหลใฝ่ฝันในอุปาทานมันจะกินเรา
ก็รวมความว่า เราใช้กำลังใจ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ให้ขึ้นใจ และการทรงรูป จับรูปพระพุทธรูปเป็นนิมิต อย่าทิ้ง ทำเป็นประจำทุกวัน
ต่อไปเราไม่มีพระพุทธรูป เดินทางไปไหน จับภาพส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วจำภาพนั้นไว้ เท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกอย่างจะเพียบพร้อมบริบูรณ์ด้วยประการทั้งปวง
อตีตังสญาณ คือ ญาณในอดีต สำหรับญาณในอดีต นี่ก็หมายความว่า สิ่งที่ล่วงมาแล้ว สิ่งที่ล่วงมาแล้วเราต้องการพบ เราต้องเอา อนาคตังสญาณ เข้าช่วยด้วย ถ้าเราตั้งใจจะรู้ “ทำใจสบาย”
คำว่า ใจสบาย ตามที่พูดมาแล้ว คือ รักษาสะเก็ด รักษากระพี้ รักษาเปลือก ไว้ให้ได้ ใจจะเป็นสุข ใช้อารมณ์ได้ทุกวัน ตลอดทุกวินาที ที่เราต้องการอยากจะรู้
ทีนี้ถ้าเราต้องการรู้อดีต สมมุติว่า เราไปเจอะวิหารร้าง เมืองร้าง สถานที่ว่างเปล่า เราก็อยากจะทราบว่าสถานที่นี้มีอะไรบ้าง มีใครที่มีความสำคัญเกิดในที่นี้บ้าง สมัยนั้นรูปร่างหน้าตาของบ้านเมืองเป็นอย่างไรความสุข หรือความทุกข์ของบ้านเมืองเป็นอย่างไร
ถ้ายังไม่คล่อง อันดับแรก ให้นึกถึงภาพพระพุทธรูป คือภาพพระพุทธรูป หรือภาพพระพุทธเจ้าจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดินให้ทำเรื่อย ๆ ไป
ในกาลก่อนผมใช้วิธีการอย่างนี้ ผมจะเดินไปไหน ผมจะนั่งที่ไหนผมจะนอนที่ไหนก็ตาม ถ้าว่างจากอารมณ์อื่นนิด ผมจะจับภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธรูป อย่างใดอย่างหนึ่งให้เห็นอยู่ในอกตลอดเวลา
ผมเดินไปบิณฑบาต เดินไปธุระ ไม่รู้ละ ผมใช้ของผมตลอดวัน และก็เป็น ได้ตลอดวันจริง ๆ ก่อนจะดูหนังสือผมต้องเห็นภาพพระพุทธเจ้าก่อน ทำให้จิตสบาย จะเดินไปไหน จะพูดกับใคร จะเข้าโรงเรียน จะสอนนักเรียน ผมเห็นภาพพระพุทธ- เจ้าตลอด บางครั้งเห็นทั้งในอกและเห็นทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คลุมตัวผมตั้งแต่ศีรษะลงมา คือนั่งครอบเลย
และภาพอย่างนี้ ถ้าคนอันธพาลเขาจะบอกว่า จะเอามาจากไหน เป็นภาพอุปาทาน ก็ช่างเถอะ เราทำจิตสะอาด นึกว่าเป็นอย่างนั้น เห็นภาพอย่างนั้นจริง ๆ ก็แล้วกัน และผลใหญ่จะเกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท นั่นคือ ต้องการรู้อะไร รู้ได้ทันที
สมมุติว่าถ้าเราอยากจะรู้จักสถานที่นี้ ว่าสถานที่นี้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร บ้านเมืองสวยสดงดงามขนาดไหน มีใครเป็นคนสำคัญสมัยนั้น มีความสุข มีความทุกข์ เป็นประการใด
เราต้องการทราบ ภาพนั้นก็จะปรากฏกับเรา เมื่อภาพนั้นปรากฏกับเรา เราก็เชื่อมั่นทันทีว่าภาพปรากฏครั้งแรก ให้เชื่อทันที ว่านั่นของจริง แต่ที่นี้ เมื่อภาพปรากฏอย่างนั้นแล้ว อย่าเพิ่งไว้ใจตัวเอง ว่าภาพที่เห็นนั้นจะจริงหรือไม่จริง จะเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า
ในเวลาเดียวกันเราก็ใช้อารมณ์แบบนี้ ของอะไรบ้างที่มีความสำคัญอย่างหนึ่ง แม้จะเป็นโถแตก ๆ ชามแตก ๆ จะซุกอยู่ตรงไหน ฝังอยู่ไหนซึ่งไม่ลึกนัก พอจะคุ้ยเขี่ยได้ในสถานที่นี้มีไหม ถ้าภาพนั้นปรากฏขึ้นกับใจของเรา และก็บอกสถานที่ว่าที่ตรงนี้มีอย่างนั้น เดินไปจุดนั้นทันที ขุดคุ้ยดูของที่เราเห็นภาพ มันมีจริงมั๊ย
ถ้ามีจริง นั่นแสดงว่า ภาพ อตีตังสญาณ ของเราถูกต้องหมด เวลานี้ เราใช้ ปัจจุปปันนังสญาณ ญาณปัจจุบัน ว่าในปัจจุบันนี้ มีอะไรบ้าง มีความสำคัญที่ไหน
อย่าลืมว่าเรายังไม่ใช่พระอรหันต์ อาจจะผิดบ้าง อาจจะถูกบ้าง ไม่ต้องกลัว แบบเราเรียนหนังสือ กว่าจะเขียนหนังสือเป็นตัวขึ้นมาได้ เราก็ผิดๆ ถูกๆ เขียนเป็นตัวบ้าง ไม่เป็นตัวบ้าง เขียนถูกบ้าง เขียนผิดบ้าง เมื่อทำบ่อยๆ คล่อง เรานึกจะเขียนอะไร ก็เป็นไปตามใจเรานึก
อย่างคนที่เขายิงปืนแม่น ก็เหมือนกัน ความจริงเขาไม่ได้แม่น มาจากท้องมารดา ออกมาก็ยิงปืนแม่นได้ทันที ไม่ใช่อย่างนั้น เขาต้องซักต้องซ้อม ต้องใช้กระ-สุนกันมาก ๆ นับเป็นร้อยเป็นพันนัด ความคล่องตัวยิงแม่นเหมือนจับวาง จึงปรากฏขึ้น ฉันใด
การฝึกฌานสมาบัติ ก็เหมือนกัน กับที่พูด และผลที่สุด ก็ต้องทำอย่างนี้แหละครับ คือ ทำเหมือนคนบ้า ทำมันเรื่อย ๆ ไป เราบ้าเข้าไปหาความดี เราบ้าดี เราทำลายบ้าชั่ว คือกิเลส ทำเรื่อยๆไป อย่างนี้จิตจะเพลิดเพลิน
อย่างประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่เขาเขียนไว้ ถ้าเราหยิบประวัติศาสตร์ขึ้นมาอ่าน อ่านไปตามเขาเขียนก่อน หลังจากนั้นก็วางหนังสือ
จิตย้อนเข้ามา ทบทวนสภาพเดิม ว่าตามประวัติศาสตร์ ที่เขียนไว้นั้นความจริง ภาพจริงๆ เป็นอย่างไร ดูความสุข ความทุกข์ของคน เหมือนกับดูหนัง ถ้าถอยหลังเข้าไป เขาจะมีความสุขแค่ไหน เขาจะมีความทุกข์แค่ไหน ทำให้ชิน ทำให้คล่อง
สำหรับ ความเป็นทิพย์ของจิต นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ทรงตรัสว่า ต้องทำบ่อย ๆ ความจริง ทำให้คล่อง ทุก ๆ วันน่ะดี มันจะมีการคล่องตัว หนัก ๆ เข้าความเป็นทิพย์ปรากฏกับจิตเป็นประจำ
ความเป็นทิพย์จะปรากฏกับจิตเป็นประจำและแม่นยำ ก็คือ ต้องทรงกำลังความดีของจิต ตามที่กล่าวมาแล้วว่า รักษาสะเก็ด รักษาเปลือก รักษากระพี้ รักษาแก่น ความดีในพระพุทธศาสนาไว้
อาการต่าง ๆ ที่ต้องสัมผัสกับเรา บางทีไม่ต้องใช้กำลังสมาธิใด ๆ พอมีอารมณ์สบายปุ๊บ สิ่งนั้นจะปรากฏทันที ถ้าภาพนั้นปรากฏให้เชื่อทันที โดยที่เราไม่ได้นึกไว้ก่อน ว่าเป็นของจริง แล้วก็สังเกตไว้ จะเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริง
บางครั้งถ้ากำลังใจยังต่ำ ยังเป็นทาสของนิวรณ์อยู่บ้าง บางครั้งก็จะถูกอารมณ์หลอนเหมือนกัน ฉะนั้น จะต้องพยายามระงับนิวรณ์ไว้ ทุกขณะจิตที่เราต้องการ นั่นก็หมายความว่า ถ้าเป็นพระนี่มีความจำเป็น อย่าให้นิวรณ์รบกวนเกินไป
เมื่อทำได้อย่างนี้ ญาณรู้ในอดีต หรือสิ่งที่ล่วงมาแล้ว มันจะไม่พลาด มีความสนุกสนานมาก ใครเขาพูดอะไรก็ช่างเขาเถอะ เราก็รับฟัง พร้อมกับที่เรากำลังนั่งฟังเขาพูดนั่นแหละ ก็ใช้จิตทบทวนไปทันที
อย่างอดีตใกล้ปัจจุบัน เขาบอก เมื่อวานนี้ เมื่อกี้นี้ คนนั้นว่าอย่างนี้ คนนั้นทำไอ้นี่ เราก็อย่าไปคัดค้านเขา ตั้งใจอย่างเดียว ว่าถ้าหากว่า ถ้าสิ่งที่เขาพูดมันจริง หรือไม่จริง เราต้องการทราบ พอต้องการทราบเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ปากเราคุย จิตมันก็รู้ได้ ภาพเหล่านั้น มันจะเกิดกับจิตทันที และจะพบว่าวาจาที่เขาพูด เรื่องที่เขาเล่าให้ฟัง มันมีความจริงหรือไม่มีความจริง เพียงใด นี่เป็นประโยชน์ใหญ่มาก
บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร เหตุการณ์ในอดีต รู้ได้ทั้งของคนของสัตว์ หรือของวัตถุ ก็เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่ติดในโลก ทั้งนี้เพราะอะไร
ใครที่ไหนที่มีความสุข ความทุกข์ มีอำนาจวาสนาบารมี ต่างคนต่างก็ตายหมด คนทั้งหลายเหล่านั้น จำนวนก็ไม่น้อย สมัยนั้น เขาก็ตายกันหมด ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่หามาด้วยความเหนื่อยยาก รบราฆ่าฟันกัน แย่งทรัพย์สินกัน แย่งคนรักกัน แย่งสถานที่กัน แย่งความเป็นใหญ่กัน ในที่สุดต่างคนต่างตายหมด
แล้วเราล่ะ จะนั่งเมาสถานที่ นั่งเมาบุคคล นั่งเมาทรัพย์สิน นั่งเมาอำนาจวาสนา แล้วมันจะดีตรงไหน ในที่สุดเราก็ตาย นี่เป็นปัจจัยให้เกิดความเบื่อหน่ายในการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือพรหม
ถ้าอยากจะทราบประวัติความเป็นมาของคน เห็นหน้าปั๊บ ได้ยินชื่อปั๊บ ต้องการรู้อดีต ต้องการ….รู้ทันที ว่าอดีตของบุคคลผู้นี้ (คำว่าอดีต คือ เวลาที่ผ่านมา แล้ว แม้แต่ ๑ วินาทีก็ถือว่าเป็นอดีต ถอยหลังออกไปจะยาวจะสั้นไม่สำคัญ) อยากรู้ว่าคนนี้ เขามีจริยาเป็นอย่างไร มีนิสัยเป็นอย่างไร มีอารมณ์ใจเป็นอย่างไร
ถ้าต้องการรู้อารมณ์ใจก็รู้ได้ เพราะความเป็นทิพย์ของจิต เราเรียกว่า “เจโตปริยญาณ” ความจริงไม่มีอะไรหรอกครับ “ความเป็นทิพย์ของจิตอย่างเดียว เรารู้หมด” ใช้อย่างไหนเรียกอย่างนั้น รู้จิตคนอื่น เรียกว่า “เจโตปริยญาณ”
ต้องการถอยหลังชาติของเราเอง เป็น “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ” รู้เรื่องราวในอดีตของคนอื่น ของสัตว์อื่นและของสถานที่เรียก “อตีตังสญาณ” ความจริงก็ ทิพจักขุญาณ ตัวเดียว ส่วนที่มีความสำคัญจริง ๆต้องฝึกฝนใน ทิพจักขุญาณ ให้มาก
ผมก็เล่าประวัติของผม ไอ้ผมน่ะไม่ดีไม่เด่ละครับ ก็มีความรู้เป็ด ๆ นี่แหละ เอามาคุยกับพวกท่าน แต่ความจริงเป็ดนี่ก็ดีเหมือนกันนะ มันว่ายน้ำก็เป็น มันวิ่งก็ได้ มันบินก็ได้ มันเดินก็ได้ มันร้องก็ได้ ถึงแม้ว่าจะทำไม่ดีเท่าไก่ ทำไม่ดีเท่าปลา แต่มันก็ยังทำได้บ้าง
อย่างพวกเรานี่ ที่เราฝึก มโนมยิทธิ กัน ก็เป็นความรู้เป็ด ๆ ในพระพุทธศาสนา ที่เขาหา เขาคิดว่าวิเศษวิโสน่ะ ความจริงมันไม่ใช่ อันนี้เป็นความรู้เบื้องต้นในพระพุทธศาสนาจริงๆ
ผมเอง ก็รู้สึกขอบคุณบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่ท่านสงเคราะห์ผม สนับสนุนทุกอย่าง จนกระทั่งมีความเข้าใจในพุทธศาสนาตามสมควร
อย่าลืมว่า อตีตังสญาณ ก็ดี ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ก็ดี ทิพจักขุญาณ ก็ดี ญาณใด ๆ ก็ตาม ชนต่างชาติเขาก็เก่ง
อย่างเลขานุการเอกของสถานทูตสิงคโปร์ ท่านพลเอกทวนทอง สุวรรณทัต เป็นคนฝึกให้ คนนี้เก่งมาก ใครเดินผ่านหน้าแกไม่ได้ แกดูหมด ว่าคนนี้มีสภาวะความจริงของจิตใจเป็นอย่างไรและการมานี่มีอะไรบ้าง เบื้องหลังที่ตาไม่เห็นแกเช็คหมด แล้วแกก็ฝึกภรรยา ฝึกลูกของแกให้ทำได้ ทั้งบิดามารดาของแกที่สิงคโปร์แกก็ทำได้
มีคนเคยถามว่า
“ก่อนจะเกิดเป็นชาวสิงคโปร์ เขาเคยเกิดที่ไหน?”แกก้มหน้านิดตอบได้ทันที เงยหน้าขึ้นมา แกบอกว่า
“ก่อนที่จะไปเกิดที่นั่น เดิมทีแกเป็นลูกชาวนาของเมืองไทย เป็นคนไทย”อย่างกับฝรั่งที่เดนเวอร์ สหรัฐอเมริกา ความจริงทั้ง ชิคาโก เดนเวอร์ แคลิ-ฟอร์เนีย เขาเก่งทั้งหมด แต่มีคนหนึ่งที่ผมชอบล้อ แกเป็นผู้หญิงตัวใหญ่ คนนี้ถามอะไรปั๊บ ก้มหน้าปุ๊บ เงยหน้าปั๊บ ตอบทันที เรื่องการระลึกชาติถอยหลัง แกรู้แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง ถ้าจะถามว่า แกโม้เรอะ ไม่ใช่ ผมถามสิ่งที่ผมรู้ และแกก็ตอบตรงกับที่ผมรู้ อันนี้มันเป็นเรื่องจริง เราควรจะภูมิใจ
ขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมทั้งหลาย เราเป็นพระไทยที่ประกาศตนว่า เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพวกเราก็พากันเย่อหยิ่งในใจ ว่าประเทศไทยรักษาพระพุทธศาสนาได้ดีกว่าทุกประเทศ
ความจริงพระพุทธศาสนา ต่างประเทศเขาอาจจะมีเหมือนเรา หรืออาจจะมีดีกว่าเราก็ได้ เราไม่รู้ ที่เราพูดว่าเรารักษาไว้ได้ดีกว่าทุกประเทศ อาจจะมีสภาพเป็นคางคกในกะลาครอบก็ได้ ที่เราไม่มองหน้าคนอื่นเขา ไม่ดูหน้าเขา ว่าหน้าเขากับหน้าเรา ใครมันแจ่มใสกว่ากัน
เวลานี้ชาวอเมริกากันขาว-ชาวอเมริกันดำ และก็ชาวเยอรมัน เจ๊กที่สิงคโปร์เขาทำกันได้ และก็คล่องตัว แต่พวกเรา ที่เป็นภิกษุสามเณร เป็นพระ หรือเป็นเณร ….มีความสำคัญมากจงอย่าคิดว่าของเหล่านี้ยาก ถ้าคิดว่ายากก็แย่ ทั้งนี้เพราะอะไร
เพราะว่าญาติโยมพุทธบริษัททั้งผู้หญิง ผู้ชาย ทั้งเด็กผู้ใหญ่ มีการคล่อง ตัวมาก นักเรียนนักศึกษาเขาได้กันมากและคล่องตัวดีด้วย สภาพความเป็นทิพย์ของจิตเขา มีสภาพแจ่มใส
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาพระเณร ระวังกาย ระวังใจ ระวังวาจาไว้ให้มาก อย่าทำตนให้ลืมความเป็นพระ อย่าทำตนให้ลืมความเป็นเณร เพราะอะไร เพราะว่า ญาติโยมพุทธบริษัท มากท่าน ที่ทำได้ ท่านชอบเช็คพระ ตั้งแต่โลกันตนรกถึงนิพพาน
แต่ปรากฏว่าไปพบเอาพระช้างสีดอของเมืองไทย ในโลกันตนรกบ้าง ในอเวจีมหานรกบ้าง ขุมอื่นมีน้อย และก็พระช้างเผือกที่อยู่สวรรค์บ้าง พรหมโลกบ้าง เลยพรหมบ้าง
ถ้าถามว่าเป็นพระสมัยไหน เขาไม่ดูสมัยไกลน่ะซี เขาเล่นในสมัยใกล้ๆสมัยรัตนโกสินทร์นี่ก็ชอบชมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสมัยปัจจุบันนี่ เขาพบกันมากมาย
บางท่านก็เกิดความสลดใจ บอกว่า ความจริงท่านมีจริยาดีมาก เรียบร้อยดีทุกอย่าง สงบเสงี่ยมเรียบร้อย เรียกว่าน่าเลื่อมใสน่าไหว้น่าบูชา แต่ว่าพอตายไปแล้ว ลงอเวจีบ้าง ลงนรกโลกันต์บ้าง เขาก็ใช้การทบทวนถาม เรียกขึ้นมาถามได้จากขุมนรก
ท่านผู้นั้นก็เล่าตามความเป็นจริงทุกอย่าง เอาเงินเข้าบ้านบ้าง เอาของเข้าบ้านบ้าง ของที่ชาวบ้านเขาถวายมา บางท่านก็ทำตัวหมดสภาพความเป็นพระเลย เป็นฆราวาสที่ห่มผ้าเหลือง มีลูกมีเมียได้ ก็รวมความว่าท่านไม่ไหว
เรื่องนี้บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย ต้องระมัดระวัง
ก็มีญาติโยมมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี แถวสระยายโสม ครูถามถึงความต้องการของพระ พระที่ท่านควรจะบูชา อันนี้เขาดูถอยหลังไปได้ ยังไม่ตายนะ ยังไม่ตายเขาใช้ ปัจจุปปันนังสญาณ กับ อตีตังสญาณ
ปัจจุปปันนังสญาณ ว่าปัจจุบันนี้ ท่านประพฤติดี หรือประพฤติชั่ว ควรจะบูชาหรือไม่ควรบูชา
อตีตังสญาณ ถอยหลังไปอีกนิดหนึ่ง ท่านทำอะไรไว้ ที่เป็นการควรบูชาหรือไม่ควรบูชา
ความจริงความรู้นี้ก็ดี เป็นเหตุให้บรรดาญาติโยมทั้งหลายรู้จักว่า พระองค์ไหนควรบูชา พระองค์ไหนไม่ควรบูชา จะได้พยายามผ่อนปรนค่อย ๆ กัน ดันพวกทำลายพระพุทธศาสนาให้สลายตัวไป ที่ท่านปลอมเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ไม่หวังดีในการปฏิบัติ หวังอย่างเดียวคือทรัพย์สินในการเลี้ยงชีพ อันนี้เป็นการทำลายความดี ของบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระพุทธศาสนา
และก็อย่าลืมว่า ชาวต่างชาติเขามีความฉลาดมาก เขามีการคล่องตัวมาก บรรดาพวกท่านทั้งหลาย ที่นั่งอยู่ที่นี่ ท่านเป็นพระ เราไม่ได้แข่งกับเขา แต่ว่าในฐานะเราเป็นเจ้าของบ้าน ที่เราคุยกับเขาว่าเรามีพระพุทธศาสนา เราต้องพยายามทำให้มีสภาพแจ่มใส
ความจริงเขาจะดีขนาดไหน เป็นเรื่องของเขา เราทำให้ดีที่สุด อารมณ์ติดในชีวิตคิดว่า มันไม่ตาย เลิกคิด ยอมรับนับถือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ให้ทรงตัว พยายามทรงศีลให้บริสุทธิ์
จงอย่าคิดว่าอาบัติแสดงได้ ถ้าแสดงทีไร มันตกนรกทุกทีนะ ขึ้นชื่อว่าความชั่ว มันชั่วแล้วมันดีไม่ได้ ตั้งใจไว้โดยเฉพาะว่า เราบวชเพื่อนิพพาน ตามพระบาลีว่า
“นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหต๎วา” ซึ่งแปลเป็นใจความว่า “ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มา เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน”
อย่างนี้จิตจะสดใสทุกวัน สมกับเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
มโนมยิทธิ ๒ อนาคตังสญาณ
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
อนาคตังสญาณ นี่ก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน เป็น ทิพจักขุญาณ นั่นเอง ก็รวมความว่า เราปฏิบัติใน ทิพจักขุญาณ อย่างเดียว เป็นผลมาจากมโนมยิทธิ เราก็รู้อนาคตได้
อนาคตังสญาณ คือ รู้เหตุการณ์ข้างหน้า รู้เรื่องของเรา และรู้เรื่องของคนอื่น รู้เรื่องของสัตว์อื่น รู้เรื่องของสถานที่ และอยากจะทราบว่า (ถ้าเป็นคนไทยนะ) ประเทศไทยข้างหน้า จะเป็นอย่างไร จะหมดสภาพความเป็นไทยไหม ถ้าสงครามเกิดขึ้น (เวลานี้สงครามก็ล้อมรอบประเทศไทย)
อ่านหนังสือพิมพ์พบ ปรากฏว่าญวนยกทัพเข้ามาประชิดไล่เขมร แต่ติดเขตไทย และทางด้านลาวก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ คือ กลางแม่น้ำโขง ทางด้านจังหวัดน่าน เขาก็ชิดเข้ามา ทางด้านตะวันตกก็ไว้ใจไม่ได้ ทางด้านใต้ ตะวันตก ตะวันออกก็ไว้ใจไม่ได้ รวมความว่าในทะเลหลวง เราก็ไว้ใจไม่ได้
อยากจะรู้ว่า ในสถานที่รอบประเทศมีอะไรบ้าง เราก็ใช้กำลังของ มโนมยิทธิ ที่เราฝึก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทิพจักขุญาณ ดูก็ได้ ดู อนาคตังสญาณ ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะวุ่นวายขนาดไหน ใครจะเป็นอะไรบ้าง อันนี้เราต้องการ…ทราบได้
ใช้กำลังของ มโนมยิทธิ ไปดูสถานที่ตั้ง ทิพจักขุญาณ เราก็ทราบ เห็นสถานที่ตั้งได้ แต่มันไม่ชัดนัก ไม่แน่ใจ ไปให้มันถึงที่ โดยใช้กำลังของ มโนมยิทธิ ไปในที่ตั้งของเขาเลย เขาตั้งกองทหารอยู่ที่ไหน มีอาวุธอะไรบ้าง และมีกำลังเท่าไร บางทีเห็นแล้วจะตกใจ เพราะอาวุธของเขามากมายเหลือเกิน ของประเทศไทยเรามีไม่เท่าเขา
กำลังคนไม่สำคัญ ความสามารถสำคัญ ความฉลาดสำคัญ ความสามัคคีสำคัญ ที่เราจะทรงความเป็นไทยไว้ได้หรือไม่ได้ เราทราบ
เราทราบถึงการปะทะ ระหว่างทหารไทยกับทหารข้าศึก ว่ามีสภาพเป็นอย่างไรในวันหน้า เราก็ทราบ จะได้สร้างความสบายใจให้ปรากฏ
เรื่องการทราบข้างหน้านี่ การพูดอย่างนี้ ไม่ได้สอนธรรมะกันอย่างเดียว มันเป็นเรื่องประวัติของผมด้วย แต่อย่าลืมนะครับ ไอ้เรื่องการทราบข้างหน้านี่ผมกลายเป็นคนบ้ามาหลายปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ผมก็พูดเรื่องน้ำมันในประเทศไทย ว่า “ในประเทศไทยมีน้ำมันมหาศาล มีทั้งแกสทั้งน้ำมัน” เวลานั้นกลิ่นคาวน้ำมันยังไม่ปรากฏ แต่สิ่งที่ปรากฏตามเสียงผมพูด คือ มีเสียงย้อนเข้ามาถึงหูว่าผมบ้า
ผมก็เลยนั่งนิ่ง ๆ ใครจะว่าดี ใครจะว่าชั่ว เป็นเรื่องของท่านผู้นั้น จะมีความ เห็น เราไปทำลายความเห็นกันไม่ได้ เรามีสิทธิ์จะพูดตามความที่เรารู้เราก็พูด ท่านก็มีสิทธิ์ที่จะตำหนิจะด่าจะว่า เป็นเรื่องของท่าน
ถ้าอาการอย่างนั้นปรากฏขึ้น อย่าลืมนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “นัตถิ โลเก อนินทิโต” คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก วัตถุต่าง ๆ ที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น หิน ปูน เป็นต้น ก็ยังถูกนินทา แม้แต่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาเอง ก็ยังถูกนินทา เขานินทายังไม่พอ เขายังด่าพระองค์ต่อหน้าอีกด้วย
ฉะนั้นทุกคนให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปสะดุ้งอย่าไปสะเทือน เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขานินทา เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขาติเตียน เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขาด่า เราก็ทำตามเรื่อง เราอยากจะทำอะไรตามความรู้ของเรา เราก็ทำ ท่านอยากจะด่าเราตามความรู้สึกของท่าน ท่านก็ด่า ให้เป็นเรื่องของท่านไป
อนาคตังสญาณ นี่มีประโยชน์มาก ได้รู้วิถีชีวิตของเราเอง ว่าข้างหน้าเราจะเป็นอย่างไร เวลาที่เรายังไม่ตาย ปีไหนจะมีสภาพเป็นอย่างไร จะป่วยไข้ไม่สบายเป็นยังไง จะมีความดี จะมีคนชม จะมีคนติเป็นยังไง ชีวิตเราจะรุ่งเรือง หรือจะซบเซาเป็นอย่างไร เราต้องการรู้ รู้แล้วก็บันทึกไว้ อย่าพูดไป รู้ไว้คนเดียว กาลเวลามันยังไม่ถึง ทางที่ดี รู้ยาว ๆ และก็ รู้สั้น ๆ ด้วย
คำว่า รู้ยาว ๆ หมายความว่า รู้ข้างหน้าไกลออกไปหลาย ๆ ปี หรือตลอดชีวิต และก็ รู้สั้น ๆ ก็วันสองวัน ห้าวันหกวัน เก้าวันสิบวัน นี่สำคัญมากเป็นเครื่อง วัดระยะยาว ที่เราเข้าใจ มีความรู้สึก มันจะถูกจะต้องไหม ถ้าระยะสั้นถูก ระยะยาวมันก็ถูก ถ้าระยะสั้นไม่ถูก ระยะยาวก็ไม่ถูก นี่ให้มีความรู้สึกตามนี้
แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราก็รู้เรื่องของเราไป ถ้าระยะสั้น ระยะยาวมันถูกหมด เราก็ดูอนาคตไกลแสนไกล นั่นคือ ตายไปแล้ว เราตายไปแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน ก็วัดกำลังใจของเราไว้ด้วย ตายไปแล้ว จะไปอยู่สวรรค์ หรืออยู่พรหมโลก หรือว่าไปนิพพาน
หรือว่าสถานสามสถานไม่เป็นที่พอใจ เราอาจจะเป็นมนุษย์ หรือว่าจะถอยหลังไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก ดูกฎของกรรมที่เราทำ มันจะให้ผลไปไหน อันนี้เราก็ทราบ
ว่าคนที่เราสัมผัส ที่เราคบหาสมาคม เขาจะดี หรือเขาจะเลว เวลานี้เขาดี เวลาหน้าเขาเป็นอย่างไร
ไอ้ผมน่ะมันก็เป็นคนจัญไร เรารู้แล้ว ความจริงเราเฉย ๆ ไว้ดีกว่า ความเมตตาเป็นปัจจัยให้เกิดความเร่าร้อนเหมือนกัน ถ้าเมตตาไม่ถูกทาง และผมก็เคยผ่านมาแล้ว ให้ความเมตตาปรานี แต่ความดีไม่ปรากฏ สิ่งที่สะท้อนย้อนหลังเข้ามา คือ เพื่อนเลวไม่ต้องการ พอดีแล้ว เขาลืมเลย อันนี้เยอะ
แต่ต่อไป ความเร่าร้อน ความทุกข์ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เกิดขึ้น ความปรารถนาไม่สมหวังเกิดขึ้น พอย้อนถอยหลัง กลับเข้ามาใหม่ ทีนี้ทำอย่างไร ผมก็รับในฐานะที่ผมคิดว่า “ผมเป็นมิตรที่ดีของคนทุกคนและสัตว์ทุกประเภทในโลก”
ผมถือว่า ผมจะเป็นมิตรที่ดี ตามกำลังใจที่ผมจะอดทนได้ แต่ว่าเรื่องการสงเคราะห์แบบนั้นก็เลิกกัน ถืออุเบกขา ถ้ามาถาม ก็จะบอกว่าไม่มีอะไรแล้ว เวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างวางหมด ผมก็วางจริง ๆ ครับ วางหมด หมายความว่า ผมไม่ยุ่งกับเรื่องของใคร ใครเขาจะดี เขาจะเลว เป็นยังไง จะพยากรณ์ให้ไม่มีอีก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะผมเข็ด
บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ที่มีกำลังศรัทธาในพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ท่านก็ดี มีหลายประเภท บางท่านก็องอาจ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส บางท่านก็นั่งขรึมอะไรของท่าน แต่ละคนจริยาไม่เหมือนกัน บางท่านก็มีความเมตตาปรานีโอภาปราศรัยดี บางท่านก็เงียบ
เราก็ใช้ อนาคตังสญาณ ว่าพระองค์นี้ ถ้าตายจากความเป็นคน จะเป็นเทวดา หรือจะเป็นพรหม หรือจะไปนิพพาน หรือว่าท่านไม่อยากจะไป จะถอยหลังกลับไปโลกันตนรก อเวจีมหานรก หรือนรกขุมไหน เป็นเปรต เป็นอสุรกายก็ได้
ใช้ อนาคตังสญาณ ดู ถ้าดูแล้ว เห็นแล้ว มีความเข้าใจแล้ว บันทึกไว้ วันหลังทำใจให้สบายลืมเรื่องเก่าเสียก่อน ลืมเรื่องที่บันทึกไว้ก่อน รวบรวมกำลังใจไปนิพพาน ถ้าจิตไปถึงตรงนั้น มันเป็นอุเบกขาจริง ๆ ไม่ยุ่งกับอะไรทั้งหมด จิตสะอาดมาก
หลังจากนั้นก็ทิ้งเรื่องเก่า กราบทูลถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ว่าคนนั้น ต่อไปข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ชีวิตในความเป็นมนุษย์ ชีวิตเมื่อตายแล้ว ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่เป็นพระอรหันต์ในเวลานั้น สมเด็จพระภควันต์ ก็สามารถจะบอกได้ ท่านบอกได้แน่
ก็มีคนหลายคนที่ท่าทางอีเหละเขะขะ ๆ ท่าทางมองกันแล้วไม่ค่อยจะดีนัก แต่ว่าความรู้สึกว่าเวลาข้างหน้าคนนี้จะดี แล้วเก็บความรู้สึกไว้ บางทีจะคิดว่าเราจะมีความเมตตาเกินไป แต่ว่าในที่สุดเขาก็ดีตามนั้น
นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน ถ้าใช้ อนาคตังสญาณ ทำบุญจะไม่ผิดบุญ จะไม่ต้องถูกเขาหลอกลวง ก็เคยพบมามาก ระยะใกล้ ๆ เห็นญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายเอาเงินไปทอดกฐินบ้าง ผ้าป่าบ้าง อันนี้ไม่ใช่ทั่วไปนะ อาตมาพบในสถานที่ใกล้จริง ๆ ของอาตมา พอกฐินเข้ามา ผ้าป่าเข้ามา ก็มีเหล้าเต็มศาลา เลี้ยงเหล้าเอะอะโวยวาย ได้ รับกฐินผ้าป่าที ห้าหมื่นหกหมื่น ถึงแสนก็มี ผ้าป่าทั้งปีรับหลายครั้ง คิดแล้วปีละเป็นแสน แต่ว่าไม่มีอะไรปรากฏขึ้นมาเลย เงินหมด อย่างนี้ชื่อว่าเป็นการทำบุญผิด
ถ้าเราใช้ อนาคตังสญาณ หรือ เจโตปริยญาณ ก็ได้
เจโตปริยญาณ ดูกำลังใจของบุคคลผู้รับผลทานจากเรา ที่เราไปทำบุญ หรือ ถวายเป็นทาน ทอดกฐิน ผ้าป่า
แต่ว่า อนาคตตังสญาณ ดูข้างหน้า ว่าเงินจำนวนนี้ ถ้าเราไปถวายไว้ เงินจะไปไหนบ้าง เราก็จะทราบชัด
ถ้ารู้ว่าเงินมันไปผิดทาง เราก็ไม่ให้เสียเลยก็หมดเรื่อง ไม่ทำ และก่อนจะไปจองกฐิน ก่อนจะไปบุ๊คสถานที่ที่เราทำบุญ เราก็ดูเสียก่อนว่า ควรทำหรือไม่ควรทำ อันนี้จะมีประโยชน์แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท จะไม่มีการสูญเสียอะไรทั้งหมด
แต่อย่าลืมนะ รักษากำลังใจ ตามที่กล่าวมา ภาพพระพุทธรูปก็ดี ภาพพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พยายามทรงเวลาให้มันทรงตัว จับให้ชัดเจนแจ่มใสไว้ อย่าลืม ฝึกกำลังใจ ให้เห็นชัดทุกวัน ทุกเวลาที่เราต้องการ
ยามว่างเกิดขึ้นเมื่อไร ใช้กำลังใจจับพระรูปพระโฉมทันที หรือ จับภาพพระพุทธรูปแก้วใส ที่เราใช้เป็นนิมิต ให้ติดตาติดใจไว้ตลอดเวลา
บอกว่าไม่มีเวลาจะทำ โถ… ไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องใช้เวลามาก นึกเมื่อไรเห็นปั๊บ นึกเมื่อไรเห็นปั๊บ ยามปกติของผม สมัยที่ผมฝึก ผมเห็นของผมได้ตลอดวันตลอดคืน เว้นไว้แต่หลับ ถ้าเห็นภาพพระในอก เห็นภาพพระคลุมตัวผม ผมจะชื่นใจ จิตมีความสุข
และการ ภาวนา นี่ ผมก็แปลกกว่าคนอื่นเขา อาจจะมีคนดีกว่าผมก็มาก นั่นคือ เวลาเดินบิณฑบาต ผมแทนที่จะว่า พุทโธ สัมมาอรหัง เป็นต้น ผมล่อ อิติปิโส ทั้งบท ว่าทั้งบทนี่เราไม่ลืม ต้องพยายามนึกในใจเบา ๆ ช้า ๆ ให้เคลื่อนไปจนกว่าจะจบ จนกว่าจะเดินไปบิณฑบาต จนกว่าจะเดินกลับ จนกว่าจะเลิก เข้ามากลับถึงที่ นั่นแหละ ผมถึงจะเลิกภาวนา อิติปิโส ทำอย่างนี้จิตใจชุ่มชื่น มีอารมณ์ทรงตัว
เมื่อใช้บทยาว ๆ ภาวนา ธุระที่จะคุยมันก็คุยไม่ได้ ถ้าคุยแล้วภาวนาจะขาด เราก็เลยไม่อยากจะคุย ในเมื่อไม่คุย จิตคุมอารมณ์ ผลต่าง ๆ มันก็เกิดตามมาทั้ง หมด ญาณต่าง ๆ มันก็เกิดปรากฏขึ้น และการจะใช้อารมณ์เข้าคุยกับเทวดาหรือพรหม หรือใครก็ตาม จะใช้เวลาได้แบบตามสบาย ๆ และการนึกถึง อิติปิโส กว่าจะไปบิณฑบาตกลับ มันไม่ใช่เวลาเล็กน้อย
นั่นหมายความว่า หัดทรงสมาธิทั้ง ๆ ที่มีงาน อันนี้มีความสำคัญมาก นักเจริญสมาธิเฉพาะเวลาสงัด ใช้ไม่ได้.