มโนมยิทธิ ๒ ปัจจุปปันนังสญาณ-ยถากรรมมุตาญาณ

ปัจจุปปันนังสญาณ และ ยถากรรมมุตาญาณ
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

ปัจจุปปันนังสญาณ

ปัจจุปปันนังสญาณ นี่มีประโยชน์ ในการที่เราจะรู้ว่าปัจจุบันใครอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ มีชีวิตอยู่ หรือว่าตายไปแล้ว มีความสุข หรือว่ามีความทุกข์ ผลงานที่เราสั่งงานไว้ที่โน่นที่นี่ เขาทำดีตามที่เราสั่งไหม หรือว่ามีการบิดพริ้วเป็นประการใด

อันนี้มีความจำเป็น บรรดาท่านพุทธบริษัท จำเป็นจะต้องรู้ และก็จำเป็นจะต้องทำ เพื่อเป็นความสุขของเรา

ยถากรรมมุตาญาณ

ยถากรรมมุตาญาณ เป็นญาณเครื่องบอกให้รู้ว่า ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ความเสียหายก็ดี ความได้กำไรก็ดี ที่ปรากฏขึ้นมาเวลานี้ เป็นผลของความดีมาจากไหน

นั่นก็หมายความว่า ถ้าเรารวยขึ้นมามีลาภสักการะมาก ลาภเกิดจากผลอะไร ผลความดีในชาติปัจจุบัน หรือผลความดีในชาติที่เป็นอดีต ชาติในอดีต ชาติไหน เราทำอะไรไว้ ภาพนั้นจะปรากฏ ถ้าผลงานมันขาดทุน เราก็ทราบอีกเหมือนกันว่า ขาดทุนเพราะกรรมอะไร เราทำพลาดเพราะใช้ปัญญาน้อยไป ใช้ความละเอียดลออน้อยไป หรือว่ากรรมอะไรที่เราเคยรบกวนเขาไว้ เข้ามาสั่งสม มาทำลาย มาสนองเรา

ดูการป่วยไข้ไม่สบาย

ความจริง ยถากรรมมุตาญาณ มีประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องการป่วยไข้ไม่สบาย ยถากรรมมุตาญาณ ก็บอกเหมือนกัน

เราทราบว่าการป่วยไข้ไม่สบายนี้ เราไม่ชอบ มันเสียเงิน เสียทอง เสียเวลา เสียทรัพย์สิน เสียความสุข แม้เราไม่ชอบ แต่เราก็ต้องดู อย่าไปนั่งบ่น อย่าไปนั่งว่า ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่ากรรมเก่า ๆ หรือกรรมใหม่ที่เราทำไว้

อย่างในสมัยผมเป็นเด็ก ๆ ก็ไม่เด็กนักละ ผมบวชแล้วนะ ก่อนที่ผมจะมีพรรษาครบ ๒๐ พรรษาอยู่ ๔ ปี เวลานั้น ผมกำลังอาบน้ำอยู่ที่หน้าวัด ผมทำงานทั้งวัน งานตั้งแต่เช้า เวลาผมหนุ่ม ๆ ผมทำงานยันกลางคืน ญาติโยมมาหาก็รับแขก ญาติโยมกลับไปแล้วผมก็ทำงาน ทำงานกลางวันไม่เสร็จ ผมก็ทำกลางคืน

เป็นอันว่า วันนั้นมันร้อนจัด ผมทำงาน ก่อนจะทำวัตรเย็น ผมไปอาบน้ำที่หน้าวัด ลงไปแช่น้ำได้ประมาณ ๕ นาที ร่างกายมันเย็น จิตใจก็ชุ่มชื่น เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่านับตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป จะต้องป่วยและต้องนอนโรงพยาบาล ๒ ปี

ไอ้การนอนโรงพยาบาลนี่ ไม่ใช่เพียบแปร้ ไม่ใช่เพียบ แต่ถ้าไม่เข้ามันเพียบ เข้าไปแล้วมันก็สบาย ออกมาเมื่อไรอาการเพียบแปร้อีก อาการจะไม่ซ้ำกัน แต่เข้าไปมันก็สบาย จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลจริง ๆ ๒ ปี แต่ตอนต้น อาจจะเข้า อาจจะออกบ้าง และก็ต้องไปพักฟื้นอีก ๑ ปีใกล้ ๆ โรงพยาบาล ซึ่งหมอจะติดตามรักษาให้

ความรู้สึกเกิดขึ้น ในขณะที่มีความเย็น ก็เชื่อกำลังใจ ว่าความจริงอย่างนี้ต้องปรากฏ แต่ว่า คนอย่างผม ไอ้นี่ผมก็ไม่ได้อวดนะ ผมไม่เคยไว้วางใจผมเลย ความรู้สึกของผมไม่ไว้วางใจ ผมปล่อยเวลาทิ้งช่วงไป ประมาณ ๑ อาทิตย์ วันหนึ่ง ตอนเช้ามืด ทำจิต ตอนตี ๒ เป็นปกติ ผมก็ลุกขึ้นทำกรรมฐานของผม

บางคืนผมนอนชั่วโมงเดียว บางคืนก็ไม่ได้หลับเลย เช้าก็ทำงานต่อไปร่างกายในตอนนั้นมันดีมาก ร่างกายแข็งแรง กำลังก็ดี ไม่เหมือนเวลานี้ เวลานี้วันที่พูดนี่ก็โยเย ๆ เดินก็งง นั่งก็งง นอนก็งง ไม่มีความสุข ร่างกายไม่มีความสุข แต่ใจผมมีความสุข ถ้าถามว่า พูดได้อย่างไร มันจะแปลกอะไร ผมนั่งไม่ไหว ผมก็นอนพูด ก็ใช้ไมโครโฟน นี่เวลานี้ผมก็นอน ที่ฟังเสียงนี่ผมนอนพูด ผมตั้งใจว่าขณะใดที่ผมอยู่ในระหว่างธรรมะ ถ้ามันตายเวลานั้นผมพอใจ

ผมปล่อยเวลาไว้ ๑ อาทิตย์ ต่อมาตอนเช้ามืดทำจิตสบาย ขึ้นไปกราบถามตรงพระพุทธเจ้าถามว่าความรู้สึกของผมที่ปรากฏนั้นมันจะตรงตามความเป็นจริงไหม

ท่านก็บอกว่า “จริง งานการทุกอย่างต้องระมัดระวัง อย่าให้มันยาว เพราะป่วยคราวนี้ ไม่มีโอกาสจะออกมาทำงานต่อไปได้อีก”

ท่านก็บอกชัดว่า “การป่วยคราวนี้ มันเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ตัดงานภายใน และก็จะต้องแยก ยกตัวออกจากวัดไปอยู่ที่อื่น เพราะการป่วยคราวนี้เป็นการช่วยให้ทางจิตดีขึ้น ถ้าขืนอยู่ที่วัด กำลังใจจะไม่ดีขึ้นเลย ผลแห่งการตั้งใจมาก่อนเกิด จะไม่มีผล”

ผมก็ตกใจ ไอ้ผลการตั้งใจมาก่อนเกิด มันจะไม่มีผล ผมก็ถามว่า “ไอ้ก่อนเกิด ผมตั้งใจอะไรไว้”

ภาพนั้นท่านก็บอกว่า “ก่อนเกิดน่ะมาจากพรหม เดิมทีปรารถนาพุทธภูมิมาตลอดเวลา แล้วก็มาชาตินี้จะต้องบำเพ็ญบารมีให้ใกล้เต็ม ถ้าใกล้เต็ม ท่านก็บอกตรงๆว่า มีอายุถึง ๖๐ ปี บารมีพุทธภูมิจะเต็ม และก็จะไปอยู่ชั้นดุสิต แต่ว่าสิ่งที่ตกลงกันมาว่า จะมาลาพุทธภูมิ ลาพุทธภูมิลัดตัดทางไปเลย”

คำว่า “ตัดทางไปเลย” ผมไม่ได้หมายความว่า ผมจะเป็นพระอรหันต์ หมายความว่า ถ้าปรารถนาพุทธภูมิก็ช้านานมาก อยากจะลัดไปให้มันใกล้ทางซะ เป็นสาวกภูมิดีกว่า ยังไง ๆ เราก็ต้องมุ่งพระนิพพานเหมือนกันหมด

ท่านก็บอกว่า “ถ้าพูดถึงกฎของกรรม จากการเป็นนักรบ มีการฆ่าเขาบ้าง มีการทำลายทรัพย์สินเขาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎแห่งการฆ่าเขาหนักที่สุด ต้องมีเหตุให้ต้องนอนโรงพยาบาลจริง ๆ ๒ ปี

แต่ว่าไอ้การรบแต่ละครั้ง ก็ต้องประกอบด้วยความเมตตาปรานีเหมือนกัน ถ้ายึดพื้นที่เขาได้ ยึดคนได้ ก็ให้การเลี้ยงดูปูเสื่อทะนุถนอม ถ้าเขามีความทุกข์ ก็ช่วยให้เขามีความสุข เขาไม่มีกินก็ช่วยให้เขามีกิน”

ฉะนั้น ขณะที่ไปนอนที่โรงพยาบาล คนเก่า ๆ ที่เรารู้จักจะหาไม่ได้ จะมีสักคนสองคน ทุกคนเขาจะไม่มองเราเลย รวมความว่าเขาปล่อยให้ตายดีกว่า เขาจะคิดอย่างนั้นหรือไม่ ก็ไม่ทราบนะ นี่พูดเอาเอง แต่ว่าได้รับความเมตตาปรานีจากคนใหม่ คนใหม่ให้การอุปถัมภ์ค้ำชูเป็นอย่างดี

ยิ่งการเงิน ขณะที่เข้าโรงพยาบาลจะไม่มีติดตัว จะมีอย่างมากไม่เกิน ๒๐ บาท ไอ้ ๒๐ บาทนี่มันเป็นเงินประจำกระเป๋า คือถ้าจะไม่มีขนาดไหนก็ตาม จะเก็บไว้ ๒๐ บาทเป็นประจำ ถ้ามีมากกว่านั้นก็ทำบุญหมด

มีความรู้สึกว่า “ชีวิตของเราไม่มีความหมาย ตายแล้วเราเอาไปไม่ได้ ในเมื่อเราเอาไปไม่ได้ จะเก็บเอาไว้ทำไมให้มาก ทำให้มันเป็นประโยชน์แก่คนอื่น” ก็เลยทำบุญก่อสร้าง เลี้ยงพระหมด

แล้วก็ผลที่สุด ท่านก็เลยบอกว่า “เราจะไม่เป็นไร เมื่อถูกเขาทอดทิ้งมาก ๆ ความเบื่อหน่ายก็เกิด คนเก่าทอดทิ้ง แต่คนใหม่เขาเลี้ยง อันนี้เป็นกฎของกรรมของการยึดประเทศชาติเขา ทำให้คนเก่าเขามีความลำบาก แต่ว่าเมื่อเรายึดได้ เมืองไหนเป็นเชลย เราเลี้ยงเขาให้มีความสุข ฉะนั้นคนเก่า ๆ ที่เราเคยทะนุถนอมบำรุงมา เขาจะหลีก เขาจะไม่มองเรา ไม่มีใครสงเคราะห์ แต่คนใหม่จะเข้ามาสงเคราะห์”

ความจริง บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร เป็นความจริงตามนั้น ผมนอนป่วย ๒ ปี คนเก่าๆ ทายกเห็นหน้า ๒ คนเท่านั้นไปครั้งเดียว ไม่ได้เยี่ยมนะ ไปขอทรัพย์สินที่มีอยู่ ขอผมเถอะ ผมก็เลยบอกว่า ของทั้งหมดที่มีอยู่ที่วัด เป็นของสงฆ์ ผมออกมาจากวัด ผมไม่มีอำนาจอะไรเลย ผมคิดว่าเป็นของสงฆ์จริง ๆ ไม่ใช่เป็นเล่ห์เหลี่ยม

แล้วจากนั้นมา ก็ไม่มีใครเคยไปอีก แต่ว่าคนใหม่ที่ไม่เคยรู้จัก บรรดาท่านพุทธบริษัท อุ่นหนาฝาคั่งมาก เข้าไปนอนป่วยในที่นั้น พระที่เข้ามาป่วยก็ดี ฆราวาสก็ดี พลอยได้กินอาหาร วันหนึ่ง ๆ เต็มโต๊ะ โต๊ะใหญ่ ๆ เหลือแหล่ ข้าวของใช้ของกินบริบูรณ์ สมบูรณ์ นี่แหละเป็นผลจากการยึดชาติยึดเขตเขาได้ เราบำรุงเขา

บรรดาท่านพุทธบริษัท ยถากรรมมุตาญาณ มีประโยชน์อย่างนี้.

<< ก่อนหน้า                อ่านต่อ >>

ขอเชิญฝึกมโนมยิทธิ ณ ศูนย์พุทธศรัทธา ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา ๑๒.๓๐ น.

คำถามคำตอบปัญหาเกี่ยวกับการฝึกมโนมยิทธิ โดยศูนย์พุทธศรัทธา

โพสท์ใน มโนมยิทธิ | ติดป้ายกำกับ , , | ปิดความเห็น บน มโนมยิทธิ ๒ ปัจจุปปันนังสญาณ-ยถากรรมมุตาญาณ

มโนมยิทธิ ๒ ประโยชน์ของการเจริญมโนมยิทธิ

ประโยชน์ของการเจริญมโนมยิทธิ
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

ความจริงเวลานี้ (พ.ศ.๒๕๒๗) ทางคณะสงฆ์ได้ประกาศ ให้ทุกวัด เจริญสมาธิกรรมฐาน จะเป็นสมถะ-วิปัสสนาก็ได้ เป็นการเจริญสมาธิ แต่ความจริงผมก็ดีใจ ที่ผมไม่ต้องรอให้คณะสงฆ์ประกาศ ผมทำของผมมาแล้วเป็นสิบ ๆ ปี หลังจากที่หลวงพ่อปานฝึกให้ผมได้บ้างเป็นแบบเป็ด ๆ คือ ผมมีความรู้ในพระกรรมฐานแบบเป็ด และเป็ดก็ไม่ใช่เป็ดเทศ เป็นเป็ดไทย บินไม่เก่ง ร้องไม่เก่ง เดินไม่เก่ง เตาะแตะ ๆ ไปตามเรื่องตามราวของผม

ผมก็อุตส่าห์นำประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผมได้จาก มโนมยิทธิ มาแนะนำบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร และก็บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อุบาสก อุบาสิกา ความจริงด้าน วิชชาสาม หรือด้าน มโนมยิทธิ ผมปลุกปล้ำมาเป็นสิบๆ ปี ญาติโยมก็สนใจบ้าง ไม่สนใจบ้าง ผมก็ไม่ว่า ผมไม่เคยว่า ผมไม่เคยเบื่อ

และโดยเฉพาะด้าน สุกขวิปัสสโก ญาติโยมสนใจมาก ผมก็เอา ญาติโยมชอบอะไรผมก็ไปแบบนั้น ที่ไหนญาติโยมชอบ สุกขวิปัสสโก ผมก็แนะนำด้าน สุกขวิปัสสโก ญาติโยมที่ไหนต้องการด้าน เตวิชโช ผมก็แนะนำด้าน เตวิชโช ญาติโยมพวกไหนต้องการ ฉฬภิญโญ อันนี้ผมสอนไม่ได้ ผมสอนได้แต่ มโนมยิทธิ แบบเป็ด ๆ เรียกว่าพอไปถึงสวรรค์-นรกได้ ด้วยกำลังของใจ ไม่เอากายเนื้อไป เอากายในไป

ผมก็ดีใจ กว่าคณะสงฆ์จะแจ้งมานี่ ผมทำมาแล้ว แนะนำมาแล้วเกิน ๔๐ ปี ก็รวมความว่า ผมก็ดีใจที่คณะสงฆ์ท่านเห็นชอบด้วย เพราะการเจริญพระกรรมฐานได้ประโยชน์ใหญ่จริง ๆ

วัดนี้และหลายวัดที่เจริญรุ่งเรือง อาศัยมโนมยิทธิช่วย

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ท่านมาสัมมนาพระสังฆาธิการที่วัดนี่ ผมก็บังเอิญได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสังฆาธิการ คือเป็นเจ้าอาวาสเป็ด ๆ อีกนั่นแหละ ไม่กี่วัน… ความจริงตำแหน่งนี้ผมโยนทิ้งมาทีหนึ่งแล้ว และตำแหน่งต่าง ๆ ที่พึงได้ผมโยนทิ้งหมด ผมไม่เคยสนใจเพราะมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ แต่นี่เป็นการบังเอิญว่า “วัดนี้ผมสร้าง ผมหนีไม่ได้ ถ้าวัดนี้ผมไม่ได้สร้างนะ ผมหนีไปแล้ว”

แต่ความจริงวัดนี้เดิมทีมันมีสภาพเป็นวัดร้าง ออกพรรษามีเจ้าอาวาสอยู่องค์เดียว วัดก็มีแต่ทรุดโทรมมาตามลำดับ ไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่หายไป พระพุทธรูปก็หมดไป ฝากุฏิดี ๆ ก็หมดไป กุฏิดีๆก็หมดไป ของดี ๆ มีไม่ได้ ก็หมดไปทั้งนั้น ก็รวมความว่า มันมีสภาพจะถึงวาระร้างอยู่แล้ว

ผมก็โด๋เด๋ ๆ มาตามเรื่องตามราว แต่บังเอิญญาติโยมมาสนับสนุน ทีแรกคิดว่าจะทำนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วเปิดเข้าถ้ำเข้าป่าไปเลยดีกว่า ผมว่าอย่างนั้น แต่มาญาติโยมหลายท่านได้สนับสนุน เอาสตางค์มาให้ ผมไปก็ไม่ได้ ไปก็เป็นขโมยเงินเขาละซิ ถ้าจะวางให้คนอื่นก็มีหวัง…ไม่รู้จะวางให้ใคร ดีไม่ดีไปวางให้โจรเข้าปล้นเงินบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ผมก็พลอยตกนรกไปด้วย

ทีแรกก็ตัดสินใจว่า ทำแค่นั้นเสร็จ แค่นี้เสร็จ ก็จะไป ในเมื่อไปไม่ได้ก็สู้ คำว่า สู้ นี่ ไม่ใช่ไปสู้ไปตีกับเขา สู้กับกำลังศรัทธาของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เอาไงก็เอากัน วัดนี้ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้นี่ อาศัย มโนมยิทธิ ช่วย อาศัย กรรมฐาน ช่วย อันนี้เป็นตัวอย่าง

และก็มีหลายวัดที่พระท่านมาฝึกได้ออกไป มีคนเขามาแจ้งให้ทราบว่า พระองค์นั้นพระองค์นี้มาฝึก มโนมยิทธิ จากหลวงพ่อแล้ว ไปถึงวัดท่านรุ่งเรืองจริง ๆ วัดของท่านสง่างาม คนเข้าช่วยเหลือในการก่อสร้าง เพราะ พระกรรมฐาน เป็นปัจจัย

ใช้เจโตปริยญาณดูสภาพจิต ใช้อตีตังสญาณดูอดีต

นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร ผมว่าความสะอาดของจิตของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไปไหนท่านไม่เคยอด พระพุทธเจ้ามีพระมากเท่าไร ก็มีที่พักมีอาหารฉัน เพราะจิตของท่านสะอาด พวกเราความสะอาดของจิตไม่เท่าพระพุทธเจ้า

โดยเฉพาะอย่างผมก็ไม่สะอาดสะเอิด น่ากลัวจะลูบพอลื่น ๆ กระมั้ง จิตคงจะไม่มีสภาพจิตแจ่มใสเป็นดาวประกายพรึก ถ้าจิตเป็นดาวประกายพรึกนี่เป็นจิตของพระอรหันต์ ผมก็ไม่รู้ จิตผม ผมไม่ค่อยสนใจจิตใจของใคร เวลานี้ผมไม่สนใจใครทั้งหมด

เมื่อก่อนนี้ ผมก็แบบเดียวกับเลขานุการเอกสิงคโปร์ ที่ประจำประเทศไทย ลูกศิษย์พลเอกทวนทอง สุวรรณทัต นั่นแหละ ปรากฏว่าเจอะใคร ได้ยินชื่อใครไม่ได้ ล่อปั๊บทันที ได้ยินชื่อปั๊บอันดับแรกใช้ เจโตปริยญาณ ก่อน ดูจิตของคนนี้มีสภาพเป็นอย่างไร ดูไปดูมา…

อย่าลืมว่าในเวลานั้น ผมก็เป็นเป็ดตัวเล็ก ๆ เวลานี้ตัวใหญ่ก็เป็นเป็ดไทย ไม่ใช่เป็ดเทศ เป็นเป็ดตัวเล็ก ๆ ไปเจอะเอาพระองค์สำคัญเข้า พระองค์นี้สำคัญจริง ๆ พอเขาบอกชื่อปั๊บ ผมก็จับจิตปุ๊บ โอ้โฮ…องค์นี้ประวัติเบื้องหลัง ใช้ อตีตังสญาณ ยาวเหยียด ยาวนี่ไม่ใช่เลวเหยียดนะ ดีเหยียด ตั้งแต่บวชมาธุดงค์ตลอด เวลาที่ใกล้พรรษาที่ไหนขออาศัยวัดจำพรรษา พอออกพรรษาแล้วก็เดินธุดงค์ต่อไป และกำลังใจของท่านเวลานั้นท่านสูงกว่าผมมาก

ความจริงเวลานั้น ผมยังหนุ่มอยู่ และผมก็ยังเป็นเป็ด ที่เดินตัวเล็กๆ เดินเตาะแตะ ๆ เดินก็จะชนจะล้ม ไปดูใจท่านเข้าปั๊บ ท่านปิดปุ๊บทันที มืดตื้อเลย อันนี้เป็นเครื่องวัด ผมเชื่อมั่นเลยว่าพระองค์นี้ดีจริง ๆ ถ้าไม่ดีจริงปิดไม่ทัน อารมณ์ใจนี่ มันรู้กันได้ง่าย ๆ เมื่อไร ใครเขานึกอะไรมานี่ใครจะรู้ นี่เราพอนึกปั๊บท่านปิดปั๊บ หันมาเลย ยิ้ม ท่านพูดเรื่องอื่นอยู่ หันมาพูด “คนเรามันก็แปลกนะ ไอ้คนอื่นเขาได้ คิดว่าตัวจะได้บ้าง มันไม่มีทางจะทำกันได้”

คำว่า ไม่มีทางทำกันได้ หมายความว่า รู้ไม่ได้แน่ ฉันจะปิด … เท่านี้ผมชื่นใจ ผมกราบได้ทันที กราบด้วยความสนิทใจว่าท่านเก่งจริง ๆ อาการเก่งอย่างนี้ ตามสันนิษฐานของผมว่า พระองค์นี้ต้องไม่ใช่ อภิญญาหก เข้าใจว่าจะเป็น ปฏิสัมภิทาญาณ เพราะคุยกันอยู่แท้ ๆ คนตั้งเยอะ เรานึกปั๊บปิดปั๊บทันที แล้วหันมายิ้มเลย นี่เก่งจริง ๆ

พระดีในกรุงเทพฯ มีไม่น้อย ท่านไม่อวด ต้องระวัง

ความจริงในประเทศไทยเรา อย่างนี้มีเยอะ ในกรุงเทพ ฯ ก็มี อย่าไปนึกว่าพระในกรุงเทพ ฯ ไม่ดีนะ มีดีนะเยอะเชียว จะไปชนพระดีตาย แต่ความจริงพระดีท่านไม่โอ่โถงนะ เราไปคุยกับท่านก็แบบธรรมดา ๆ ดีไม่ดีจะคิดว่าไอ้หลวงตาถุ่ย ๆ องค์นี้ไม่มีความหมาย ระวังให้ดีนะ

ระวังให้ดีนะ เพราะพวกนี้ท่านไม่มีอะไรจะอวด เพราะความจริง มหาเศรษฐีจะนำทรัพย์มหาศาลไปอวดขอทาน มันก็ไม่ได้ประโยชน์ และขอทานแกจะมีอะไรมาเบ่ง พระดี ๆ ก็เหมือนกัน ที่ผมเข้าไป ท่านก็ทำจ๋อง ๆ เพราะอะไรรู้ไหม

เพราะผมเป็นสภาพขอทาน ขอทานคือความดีผมมีนิดเดียวกระจุ๋มกระจิ๋ม ๆ ก็ไอ้เป็ดเดินเปาะแปะ ๆ และจะไปชนกับพระที่มีความดีได้อย่างไร ท่านก็เลยไม่รู้จะเอาอะไรมาอวด ท่านก็เลยเก็บเงียบ ทำเหมือนคนไม่มีอะไร นี่เป็นความดีของท่าน เราดีไม่เท่าท่าน ท่านก็ถ่อมตัวลงมา เป็นความดีที่ควรบูชา

อบรมศีลธรรม ไม่เกิดประโยชน์

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่บรรดาทางราชการมั้ง เห็นพระท่านว่านะ พระท่านบอกว่า ทางราชการขอให้พระอบรมศีลธรรม แต่ความจริงเรื่องอบรมศีลธรรมนี่ นิมนต์ผมไปที่ไหนผมไม่ไป และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรหลายวัดที่บอกให้ผมไปพูดที่นั่นพูดที่นี่

อย่าให้บอกเลยครับ ผมไม่ไปแน่นอน ถ้าขืนไปแล้ว มันไม่ได้ประโยชน์ โทษก็เกิดกับผมด้วย นั่นคือ ผมป่วยไข้ไม่สบาย แก่แล้ว เวลาจะพักผ่อนก็ไม่มี เวลาไปถึงที่ ก็ให้นั่งแกร่วรอถึงเวลาพูด พูดแล้วก็นั่งแกร่วอีก ไม่มีเวลาพักผ่อน อันนี้มันไม่ไหวจริง ๆ

และอีกประการหนึ่ง การพูดไม่มีผล ผมเทศน์มาตั้ง ๒๐ ปี ไม่เคยมีญาติโยมเลิกสุรา ไม่เคยดีขึ้นเลย ไปเทศน์ทีไรก็แค่นั้น ไปทีไรก็แค่นั้น ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นรับจ้างเทศน์ไป บางแห่งเขารู้สึกว่า ผมไปรับจ้างเขาเทศน์ ไปเทศน์เอาเงิน ผมก็เลยท้อใจไม่เกิดประโยชน์ ก็เลยมานั่งคิดใหม่ว่า ทำอย่างไรหนอ จะสนองคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ กลับมาใหม่ มาว่ากันเรื่อง พระกรรมฐาน

พระกรรมฐาน

จึงมาพิจารณาด้าน สุกขวิปัสสโก ผลน้อยอีก ญาติโยมทำได้ ญาติโยมมักจะคุยกัน ว่าเวลานั่ง นั่งนานเท่านั้น นั่งนานเท่านี้ อารมณ์แบบนั้น อารมณ์แบบนี้ มันก็ไม่จริง และก็รักษาอารมณ์ได้ไม่จริง ก็เลยคิดว่าจะสอน สองในวิชชาสาม และก็ มโนมยิทธิ

ที่ว่า สองในวิชชาสาม เป็นฌานโลกีย์เป็นสมาธิต่ำๆ ความจริงไม่ถึงฌาน สองในวิชชาสาม นี่ ขึ้นด้วยอุปจารสมาธิ ยังไม่ถึงฌานสมาบัติ ก็ผมบอกแล้วนี่ว่าผมเป็นเป็ด ไป ๆ มา ๆ ก็มาจับได้ สองในวิชชาสาม โยมเอาไม่ได้อีก หาวิธีการต่างๆ หลายอย่างหลายแบบ ให้สร้างพระพุทธรูป เพ่งพระพุทธรูป ดูพระแก้ว ดูพระทอง ก็ไม่ไหวอีก ไปไม่รอด

ไปไม่รอดทำอย่างไร ? หันมาจับ มโนมยิทธิ เถอะ มโนมยิทธิ ตามกำลังที่ผมศึกษามา ยังไง ๆ โยมรับไม่ไหวแน่ เพราะต้องใช้กำลังมาก ใช้เวลามาก ไม่เหมาะกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท และก็ไม่เหมาะกับพระที่บวชใหม่ ๆ ใช้เวลาน้อย ๆ ในที่สุด ก็มาหาทางให้ง่าย และให้เร็ว ตามที่ฝึกอยู่เวลานี้ กว่าจะค้นพบก็นาน

การฝึกมโนมยิทธิ มีประโยชน์แบบไหน

มโนมยิทธิ นี่เป็นจุดบังคับจริง ๆ ถ้าญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิงที่มาฝึกนี่ ผมก็ไม่มั่นใจว่าท่านจะรักษาได้ทุกคน มีบางรายให้ไปแล้วสูญ ทำได้แล้วกลับไปบ้านไม่กล้าทำ เพราะไม่มีครูสอน

อันนี้เราก็ไม่ติกัน เพราะอะไร ความเข้มแข็งของจิต ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า “บารมี” ไม่เสมอกัน ท่านมีกำลังต่ำแค่นั้น เราจับโยนขึ้นไปที่สูงยอดไม้ ท่านก็หล่น

บางรายทำไปได้แล้ว ไปปล่อยให้เฝือ แล้วบอก ไปที่บ้านมันไม่สว่างไสว คือ ไม่สามารถจะทำให้แจ่มใสเหมือนเมื่ออยู่วัด อันนี้ก็ทราบได้ว่า กลับไปบ้านท่านไปทำศีลขาดตามเดิม ท่านไม่ทรงความดีเหมือนที่ปฏิบัติอยู่ที่นี่ ปฏิบัติอยู่ที่นี่ท่านรักษาความดีไว้ได้ สภาพของจิตยังสดใส อารมณ์ยังเป็นโลกียวิสัยนี่มันไม่ทรงตัว

แต่ว่าส่วนใหญ่ดีมาก เพราะอะไร เป็นกฎตายตัวของ มโนมยิทธิ ที่ต้องทำ มันก็ตรงกับที่คณะสงฆ์ขอร้องมา ฟังตามนี้นะ ญาติโยมพุทธบริษัทก็ดี บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรที่นั่งฟังก็ดี คือว่า จะให้ทรงตัวจริง ๆ ต้องเอา อุทุมพริกสูตร มาอ่านกัน ว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้อย่างไร ผมจะเล่าโดยย่อ ๆ

สะเก็ดความดีในพระพุทธศาสนา

สำหรับด้าน สะเก็ด พระพุทธเจ้าพูดไว้มาก ผมย่อเอา คือ

๑.เราไม่สนใจจริยาของใครเลย
๒.ไม่โอ้อวด
๓.ไม่ยกตนข่มท่าน
๔.ไม่ถือตัวเกินไป

เอาย่อ ๆ เท่านี้ ความดีขนาดนี้ พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า สะเก็ด ยังไม่ใหญ่โต เข้าไปเกาะ สะเก็ดนิด ๆ ของพระพุทธศาสนา อันนี้ต้องสังเกต ถ้าใครปฏิบัติไม่ได้อย่างนี้ ก็เกาะ สะเก็ด ไม่ได้ ไม่ต้องไปดูต่อไปแล้ว ญาติโยมที่รักษา มโนมยิทธิ ไว้ได้ดี ท่านรักษาไว้ได้ดี

เปลือกความดีในพระพุทธศาสนา

และอันดับที่สอง การเข้าถึง เปลือก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

เราต้องไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
ไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล
ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว

ก็รวมความว่า เราจะรักษาศีลให้ครบถ้วนแจ่มใส และหลังจากนั้น จิตมีความเข้มแข็ง สามารถระงับนิวรณ์ได้ทันทีทันใด ตามที่เราต้องการ

ไอ้นิวรณ์ กับปฐมฌาน เป็นศัตรูกัน ถ้าขณะใด อารมณ์ของนิวรณ์นิดหนึ่งอย่างใดอย่างหนึ่งมีขึ้นในจิต เวลานั้นกำลังของสมาธิจะสลายตัวทันที เวลาใดที่จิตระงับจากนิวรณ์ นิวรณ์ไม่ฟู สงบ เวลานั้นกำลังจิตเป็นสมาธิเป็นปฐมฌานทันทีเหมือนกัน โดยไม่ต้องภาวนา ไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้านิวรณ์ไม่ฟูขึ้น ปฐมฌานก็เข้ามา ถ้านิวรณ์มา ปฐมฌานก็ไป ก็แลกกันไปแลกกันมาอย่างนี้

และประการต่อไป อาการที่จะทรงตัว มีความแจ่มใสของจิต จิตจะผ่องใส ต้องการรู้ ต้องการเห็นอะไร เมื่อไร ได้ทันทีทันใด และก็มีสภาพไม่ผิด แจ่มใสด้วย นั่นก็คือ พรหมวิหาร ๔ พรหมวิหาร ๔ คือ

เมตตา ความรัก มีความรู้สึกไว้เสมอว่าเราจะรักคนรักสัตว์เสมอด้วยตัวเรา เราอยากจะฆ่าตัวเราไหม ไม่มีใครอยากฆ่า อยากจะขโมยของเราไปทิ้งไหม เราไม่มี รวมความ เราจะรักเขาเป็นมิตรที่ดีสำหรับเขา

ถ้าโอกาสมี เราจะเกื้อกูลเขาให้มีความสุข ตามกำลังที่เราจะพึงทำ

เราจะไม่อิจฉาริษยาใคร เมื่อบุคคลอื่นได้ดีพลอยยินดีด้วย

ใครเพลี่ยงพล้ำ เราไม่ซ้ำเติม เราวางเฉย

อารมณ์อย่างนี้ บรรดาพุทธบริษัท พรหมวิหาร ๔ นี่ถ้าประจำใจไว้เสมอ ศีลก็บริสุทธิ์ ทาน จาคะก็สมบูรณ์แบบ และก็สมาธิก็ตั้งมั่น วิปัสสนาญาณ คือปัญญาก็แจ่มใส เพราะอารมณ์ใจเยือกเย็น เป็นกำลังใหญ่ ตัดโลภะ-ความโลภ ตัดโทสะ-ความโกรธ ตัดโมหะ-ความหลง จิตจะสะอาดอยู่ตลอดเวลา จิตมีความเยือกเย็น อารมณ์เป็นฌานตลอดเวลา ต้องการจะรู้อะไรขึ้นมา ระงับนิวรณ์ปั๊บเดียว มีความรู้สึก จิตแจ่มใสสะอาดทันที ทำได้อย่างนี้ ถือว่าเป็นการทรงฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์จะทรงตัว ไม่มีการเสื่อมคลาย ไม่มีการถอยหลัง อันนี้ญาติโยมพุทธบริษัททำได้ดีมาก เยอะ

รักษาอารมณ์ทั้งหมดนี้ พระพุทธเจ้าทรงเรียกเข้าถึง เปลือก ที่พระองค์ทรงสอน แต่ว่า เปลือก ความดีที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำได้เยอะจริงๆ รักษาไว้ได้ดี ทำให้โลก ทำให้ประเทศชาติมีความเยือกเย็น มีความสามัคคีกัน มีศรัทธา-ปสาทะดี

กระพี้ความดีในพระพุทธศาสนา

และต่อไป ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติได้ นี่เข้าถึง กระพี้

ถึงแม้จะเป็นการระลึกชาติแบบเป็ด ๆ เขาก็ทำกันได้ บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย บางท่านฟังแล้วจะหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม หาก็หาไปเถอะ แต่อย่าลืม คนเขาทำได้ เวลานี้ เวลาฝึก ครูเขาฝึกกัน ผมไม่ได้ฝึกเอง ผมเป็นแต่เพียงประธาน นอนเป็นประธานอยู่ที่นั่นบ้าง นอนเป็นประธานอยู่ที่กุฏิบ้าง บางทีหายใจครอก ๆ ทำท่าจะตายบ้าง บางทีก็นั่งโงงเงง ๆ

อย่างเมื่อสองวันนี่ เมื่อวานกับวันนี้โงงเงงบอกไม่ถูก วันที่ ๑๗ กับวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๒๗ มันจะทรงตัวไม่ไหว วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ชาวสามพรานมา ๗๐ คนกว่า ลงรับไม่ได้ มันไม่ไหวจริง ๆ ทรงตัวไม่ได้ วันที่ ๑๘ ดีอยู่พักหนึ่ง ตอนเย็นชักจะไม่ไหวอีกเหมือนกัน เวลานี้ก็เลยต้องนอนพูด สบาย พูดมันไปอย่างนี้ ถ้ามันจะตาย ระหว่างธรรมะก็ยอม อันนี้ประโยชน์ใหญ่

สำหรับ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติ ญาติโยมก็สามารถทำกันได้ อย่าลืมว่าครูเป็นเป็ด ลูกศิษย์คงจะไม่ใช่หงส์ แต่ดีไม่ดีลูกศิษย์อาจจะเป็นหงส์ก็ได้

อย่างท่าน โลลุทายี ท่านไม่เอาไหน แต่สามารถแนะนำ ให้พระทั้งหลาย สามารถไปได้ดี เขาไม่ได้เรียนมาจากท่าน เขาเรียนมาจากพระพุทธเจ้า แต่ว่าบางรายท่านก็ทำเขาเปิดไปเหมือนกัน

สำหรับท่าน โลลุทายี ท่านไม่ใช่เป็ด ท่านเป็นห่าน อย่างท่าน จักขุบาล นี่ท่านเป็นวิสัยสุกขวิปัสสโก แต่พระที่อยู่กับท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณกันเป็นแถว นี่จะถือว่าครูเป็นเป็ด แล้วลูกศิษย์จะเป็นเป็ดเสมอไปไม่ใช่ ครูเป็นเป็ด ลูกศิษย์อาจจะเป็นหงส์ทองก็ได้

ฉะนั้นผมก็ในขั้น อักขาตาโร ตถาคตา การประพฤติปฏิบัติเป็นหน้าที่ของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและเพื่อนภิกษุสามเณร ผมมีหน้าที่บอกเท่านั้นเอง ผู้รับฟังอาจจะทำได้ดีกว่าผู้บอกเยอะแยะไป ถมเถไป เป็นอันว่า กระพี้ในพระพุทธศาสนา ญาติโยมก็สามารถทรงตัวได้

แก่นความดีในพระพุทธศาสนา

ต่อมา แก่น จุตูปปาตญาณ หรือ ทิพจักขุญาณ ท่านก็ทำกันได้ดีอีก และต่อมา ปัจจุปปันนังสญาณ ก็ดี อตีตังสญาณ ก็ดี อนาคตังสญาณ ก็ดี ท่านทำกันได้ดีมาก

ดีจนกระทั่งท่องเที่ยวไปเจอะพระในนรก เป็นพระช้างสีดอซะด้วย และก็โลกันต์บ้าง อเวจีบ้าง และก็ไปเจอะพระในปัจจุบันนี่ใกล้ๆ ในสวรรค์บ้าง พรหมโลกบ้าง เลยพรหมไปบ้าง ทำให้กำลังใจญาติโยมพุทธบริษัทมั่นคงในความดี และก็สลดหดหู่ท้อถอยในความชั่ว อย่าลืมว่าทุกคนยังเป็นปุถุชนยังไม่หนักแน่นนัก อาจจะพลาดได้ แต่พลาดน้อยดีกว่าพลาดเป็นปกติ

ตายแล้วไม่สูญ

คำแนะนำที่ให้แนะนำไว้เป็นปกติ ก็คือ ทุกคนจงอย่าลืมความตายและตายแล้วไม่ใช่ตายสูญ ตายสูญอีกศาสนาหนึ่งไม่รู้ศาสนาไหน ได้ยินเสียงทางวิทยุบ้าง โทรทัศน์บ้าง หนังสือบ้าง “ตายแล้วสูญ” ก็เป็นเรื่องของท่าน เราอย่าไปตำหนิท่าน เมื่อท่านจะสูญก็เป็นเรื่องของท่าน พวกเราลูกศิษย์พระพุทธเจ้า “เราไม่สูญ”

เราไม่สูญ เพราะว่า เขาได้ อตีตังสญาณ ถอยหลัง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ถอยหลัง เขารู้ เขาเคยเกิดมาแล้วตั้งหลายแสนวาระ หลายแสนอสงไขยกัป เขาก็ยังไม่สูญ

อนาคตังสญาณ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร สามารถพิสูจน์พระที่ใหญ่ ใหญ่โดยฐานะ ใหญ่กว่าตัวท่านเอง ฐานะสูงกว่า อันดับไหนก็ตาม ว่าจะไปทางไหน เขาทราบ และ ปัจจุปปันนังสญาณ ไปชนกันในนรกเลย และสามารถคุยกันได้ รู้ปฏิปทาความชั่ว

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็ทำให้ทุกคนทราบ และเกิดความกลัว ว่าถ้าเราทำอย่างนั้นบ้าง อาจจะต้องมีโทษอย่างนี้ อันนี้ก็ต้องเป็น อนาคตังสญาณ พิสูจน์ตัวเองว่า ถ้าทำอย่างนั้นจะไปที่ไหน ก็ทราบได้อีก

ตอนนี้ล่ะ บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร เป็นเหตุให้บรรดาพระก็ดี ฆราวาสก็ดีที่เขาได้แล้ว เขามีความมั่นคง เอาเฉพาะคนที่มั่นคงนะ ที่เลอะเทอะมาประเดี๋ยวไปน่ะ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร บางทีมาคืนเดียวไป ผมไม่ใช่พระพุทธเจ้า มาประเดี๋ยวเดียวจะได้อะไร และก็มา ๆ ไป ๆ

ประเภทมาคืนเดียวนี่ผมไม่สนใจ ไม่สนใจเพราะท่านไม่เอาจริง แค่ใช้เวลา ๖-๗ วัน มันเป็นของไม่หนัก ชีวิตท่านทั้งชีวิต ท่านยังอยู่ไปอีกนาน แค่เวลาว่าง ๕-๖ วัน ว่างไม่ได้ ผมก็ไม่สนใจ ถ้าใครมาอยู่เพื่อปฏิบัติ ๓-๔ วัน ๕-๖ วัน ถึง ๗ วัน ผมสนใจเป็นพิเศษ บางทีผมป่วยไข้ไม่สบาย ผมคลานต้วมเตี้ยม ๆ ไปให้กำลังใจ ลงไปสอนเองให้กำลังใจ คนอย่างนี้ท่านดี

นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร และก็วัดหลายวัดที่ได้รับความรู้นี้ไป ทำให้วัดเจริญรุ่งเรือง คนที่เขารู้เหตุรู้ผล รู้กฎของบุญ รู้ผลของบุญ รู้ผลของบาป เขาก็ละความชั่ว เข้ามาทำความดี วัดเป็นศูนย์กลางแห่งการทำความดี

เป็นอันว่า ประโยชน์ของมโนมยิทธิ นี้ ประโยชน์ใหญ่มาก ทำให้คน มีความเข้าใจ ตั้งใจในเขตแดนของความสงบสุข และก็ ปลดเปลื้องความทุกข์ คือ ไม่ทำความทุกข์ให้เกิดแก่ผู้อื่น.

คัดลอกจาก หนังสือ พ่อสอนลูก
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

จากหนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

และจาก เทปคำบรรยาย
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

ขอเชิญฝึกมโนมยิทธิ ณ ศูนย์พุทธศรัทธา ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา ๑๒.๐๐ น.

คำถามคำตอบปัญหาเกี่ยวกับการฝึกมโนมยิทธิ โดยศูนย์พุทธศรัทธา

โพสท์ใน มโนมยิทธิ | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน มโนมยิทธิ ๒ ประโยชน์ของการเจริญมโนมยิทธิ

ปกิณกะธรรม หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ปกิณกะธรรม
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)

      มีข้อธรรมมากมาย ที่มักมีผู้สงสัยใคร่รู้อยู่เป็นจำนวนมาก และหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ท่านได้เมตตาแสดงไว้ในที่ต่างๆ ศูนย์พุทธศรัทธา จึงคัดเลือกและรวบรวมประมวลข้อธรรมดังกล่าวเป็น ปกิณกะธรรม

 

ปกิณกะธรรม
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)

 

๑.หนี้กรรมการฆ่าสัตว์

ให้จำไว้ด้วยว่า สัตว์ทุกประเภท เนื้อแท้จริงๆเขาเป็นคน อาศัยคนที่ทำความชั่ว ทำตัวให้ตกในบาปอกุศล เมื่อตกอบายภูมิคือนรกมาแล้ว ผ่านนรก ผ่านเปรต ผ่านอสุรกายมาแล้ว ก็มาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นการชำระกรรมหนักขั้นสุดท้าย แต่ว่าไม่ใช่ชีวิตเดียวนะ

ชำระกรรมหนักขั้นสุดท้ายนี้ ไม่ใช่ครั้งเดียว เคยฆ่าปลามากี่ตัว ต้องเกิดเป็นปลาให้เขาฆ่าเท่านั้นครั้ง หนักใจตรงเกิดเป็นยุงละซี่ จำไม่ได้ ถือว่าต้องใช้ชีวิตตามที่ฆ่าเขา พวกทำได้กำไรที่สุดคือพวกเรือตังเก โอ้โฮ วันหนึ่งแกล่อเป็นลำๆ เลย ไปเห็นใจหายวาบ ไอ้สัตว์ทุกประเภทก็คือคน ก็รวมความว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันใช่ไหม ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก แล้วก็รักสุข เกลียดทุกข์เหมือนกัน

 

๒.อายุขัยและวิธีต่ออายุ

การต่ออายุก็ต้องทำให้มันถูก ถ้าทำไม่ถูกแล้วก็เสียเงินเปล่า ถ้าบังเอิญเป็นอายุขัยต่อเท่าไรก็ไม่สำเร็จผล เพราะเชื้อไฟเดิมดับ หมดบุญบารมีที่ทำมา การหมดบุญบารมีนั้นแม้อายุขัยก็ไม่แน่ บางคนเป็นเด็กก็หมดอายุขัย บางคนเป็นหนุ่มเป็นสาว บางคนวัยกลางคน บางคนก็ถึงวัยแก่ อายุขัยนี่ไม่แน่นอนนัก คำว่าอายุขัยนี่หมายความว่า ก่อนที่จะเกิด กฎของกรรมดีหรือกรรมชั่ว กำหนดชีวิตให้มาเท่าไร ถ้ากำหนดชีวิตมา ๒๐ ปี ก็ต้องแค่ ๒๐ ปี ๑๐ ปีก็ต้อง ๑๐ ปี ๓ วันก็ต้อง ๓ วัน นี่เป็นอายุขัย ต่อไม่ได้ ถ้าตายก่อนนั้นเขาเรียก อุปฆาตกรรม หรือว่า อกาลมรณะ อย่างนี้ต่อได้

และถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย จะต่ออายุแบบนี้ ก็ต่อมันทุกวันก็หมดเรื่องกัน วิธีต่อทุกวันก็หมายความว่า ให้ทุกท่านมีความเคารพในพระรัตนตรัย คือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์อย่างจริงจัง และต้องเว้นจากกรรมที่เป็นปาณาติบาต ถ้ามีเวลา เดินผ่านไปมีใครเขาหาปลาหาเต่าที่เขาจะฆ่ามันให้ตาย ก็ซื้อพอกำลังที่เราจะซื้อได้ แล้วก็นำไปปล่อยในที่ปลอดภัย ไม่ใช่ปล่อยในหม้อข้าวหม้อแกงของเรานะ ไปปล่อยในสถานที่ที่เขาจะมีความสุข ในแม่น้ำก็ได้ในหนองคลองบึงก็ได้ ปล่อยให้เขารอดชีวิต

 

๓.วิธีต่ออายุป้องกันอุปฆาตกรรม

ตามวิธีโบราณจารย์ ท่านสอนไว้อย่างนี้นะว่า วิธีต่ออายุใหญ่ คือถึงปีหนึ่งถ้าเป็นวันเกิดหรือเป็นวันสำคัญของเรา วันไหนก็ได้ ทำกับข้าวทำอาหารพิเศษตามที่เราพอใจ เท่าที่ทุนจะพึงมี จัดการใส่บาตรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็ถ้าหากว่ามีเงิน ก็สร้างพระพุทธรูปสักองค์

พระพุทธรูปนี้จะเป็นพระดินเหนียวก็ได้ พระปูนซิเมนต์ก็ได้ เป็นปูนพลาสเตอร์ก็ได้ หรือพระโลหะก็ได้ ไม่จำกัด เพราะเป็นรูปพระแล้ว มีอานิสงส์เสมอกัน แต่ต้องมีหน้าตักไม่น้อยกว่า ๔ นิ้ว ถวายไว้เป็นสมบัติของสงฆ์

หลังจากนั้นก็เอาสัตว์ที่จะพึงถูกฆ่าตาย อย่างที่เขานำเอามาขายเพื่อแกงหรือที่เขาทอดแหสุ่มปลาได้ ถ้ามีสตางค์ก็ไปซื้อเขาสักตัวสองตัวตามกำลังแล้วปล่อยไป และก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและเทวดาที่ปกปักรักษาชีวิตเรา

ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้เป็นนิจ คำว่าอุปฆาตกรรม คือกรรมที่เข้ามาลิดรอนก่อนอายุขัยก็ดี และอกาลมรณะการที่จะตายก่อนอายุขัยก็ดี จะไม่มีสำหรับผู้ที่ทำแบบนี้ แต่ทว่าถ้ากรรมอย่างนี้เข้ามาถึง แค่ป่วยไม่มากก็เป็นของธรรมดา

 

๔.วิธีช่วยคนป่วยใกล้ตาย

การช่วยคนป่วยหนักจริง ๆ อย่าปล่อยให้หนักจนกระทั่งไม่มีความรู้สึก ตอนที่สติยังดีอยู่ ให้นิมนต์พระไปสวดสักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่สวดพระอภิธรรม แต่เป็นการสวดพระปริตร วงสายสิญจน์ล้อมรอบ ถ้าผู้ป่วยจะต้องตายเพราะสิ้นอายุขัยก็ต้องตายแน่ สายสิญจน์ป้องกันไม่ได้ แต่ว่าถ้าท่านผู้นั้นจะตาย อย่าลืมว่าคนป่วยก็เหมือนคนที่ตกน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็น เราส่งอะไรให้เกาะ เขาก็จะเกาะ ส่งไม้ให้เกาะเธอก็เกาะ ส่งสุนัขเน่าให้เกาะเธอก็เกาะ เพราะต้องการมีชีวิตอยู่

ก็เช่นกัน ถ้าคนป่วยเห็นพระสวดพระปริตร ก่อนสวดมีการสมาทานศีล จิตของคนป่วยในตอนนั้น ก็จะรับสมาทานศีลด้วยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ ทำให้เป็นคนที่มีศีล เวลาที่มีการสวดพระปริตร จิตก็จะฟังพระสวดด้วยความเคารพ จิตจะยึดอยู่กับพระ หลังจากพระกลับแล้ว จิตจะจับอารมณ์นั้นตลอด ในขณะป่วยไม่มีโอกาสทำลายศีล เพราะกำลังป่วยไม่สามารถจะไปฆ่าใครหรือไปลักขโมยใคร ถือว่าเป็นคนป่วยที่มีศีลบริสุทธิ์ ถ้ามีการถวายทานด้วย ไม่ว่าทานนั้นจะเป็นธูปเทียน ดอกไม้ ปัจจัยหรือโภชนาหารก็ตาม ถือว่าเป็นการถวายทานแก่พระสงฆ์ กำลังของทานจะช่วยคนป่วยได้อีกแรงหนึ่ง

อีกประการหนึ่ง ด้านอนุสสติ ถ้ามีพระพุทธรูปด้วย จิตของเธอจะจับพระพุทธรูปเป็นพุทธานุสสติ จำเสียงสวดมนต์เป็นธรรมานุสสติ การนึกถึงพระสงฆ์ที่สวดก็เป็นสังฆานุสสติ ถ้าเป็นอายุขัยที่จะพึงตาย บาปกรรมใดๆ ที่ทำมาแล้วในกาลก่อนจะไม่มีโอกาสให้ผลในเวลานั้น เหลือแต่บุญอย่างเดียวที่จะประคับประคองคนนั้น ให้ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก หรือไปนิพพาน

 

๕.อานิสงส์การถวายสังฆทาน

การถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิต และถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์มีศรัทธาแท้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวาย เกิดไปทุกชาติขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็ญใจไม่มี ในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน คนที่ถวายสังฆทานแล้วจะไม่ไปเกิดที่นั่น ผลที่ให้ไปไกลมาก กล่าวว่าแม้แต่พระพุทธญาณเองก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทาน

คำว่าไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทาน บำเพ็ญบารมีแล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมด นี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน

ทีนี้การถวายทานแก่พระ มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่ง คือหมายความว่า ถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕ ประการอย่างนี้ เราถวายกี่หมื่นกี่แสน อานิสงส์ก็ไม่มาก จะถวายสักเท่าไรอานิสงส์ได้แต่ว่าไม่มาก

ถ้าหากว่าถวายแก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มี ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ บางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านก็เป็นพระอริยเจ้าก็เข้าถึงผลสมาบัติ เป็นต้น อย่างนี้มีผลมาก


๖.วิหารทาน (การก่อสร้างถาวรวัตถุ)

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าการถวายทานกับพระองค์เอง ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้งมีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้

แต่มีบางท่านบอกว่า พระนี่ไม่น่าจะทำการก่อสร้าง ควรจะสอนคนให้เป็นพระหรือสอนให้เป็นคน สอนคนให้เป็นคนน่ะไม่ต้องไปสอนเขา เขาเป็นคนกันอยู่แล้ว ทีนี้สอนคนให้เป็นมนุษย์น่ะสอนยาก สอนคนให้เป็นพระนี่สอนยาก ในเมื่อญาติโยมพุทธบริษัทมีใจเป็นพระขึ้นมา ทำไมจะต้องลิดรอนกำลังใจกัน เพราะการก่อสร้างเป็นความดีของญาติโยม การทำบุญทุกอย่างเป็นเรื่องของพระ ถ้าคนจิตใจไม่ถึงพระนี่ทำบุญไม่ได้เลย

 

๗.วัตถุมงคล

การแจกพระ บางท่านอาจจะคิดว่าไม่มีผลหรือทำให้คนติดวัตถุ ถ้าถือว่าเป็นวัตถุก็น่าติ แต่ถ้าถือว่าเป็นพระก็ต้องคิด ที่พ่อแจกพ่อไม่เคยโฆษณาว่าพระที่พ่อแจกไปมีอานุภาพอะไร มีความต้องการอยู่อย่างเดียวคือ ให้คนมีความรู้สึกว่ามีพระอยู่ที่ตัว อารมณ์ที่รู้สึกว่ามีพระอยู่กับตัวอารมณ์ย่อมเป็นกุศล กุศลนิดหน่อยถ้ามีความรู้สึกบ่อยๆ สามารถทำให้คนที่ตายไปแล้ว จิตนึกถึงพระอยู่เสมอ อย่างเบาก็เกิดเป็นเทวดา อย่างกลางก็เกิดเป็นพรหม อย่างสูงก็ไปนิพพาน

แบบพ่อค้าที่หวังกำไรน้อย แต่ได้บ่อยๆ ก็รวยได้ฉันนั้น แต่ทว่าความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นเป็นอย่างไรนั้น พ่อไม่คำนึง คำนึงอย่างเดียวคือสงเคราะห์คนบารมีอ่อน คนที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี พ่อไม่ห่วง พวกนั้นท่านไม่ต้องเกาะราวหรือไม้เท้าก็เดินไหว สำหรับคนที่บารมีอ่อน ยังต้องเกาะราวและไม้เท้า จึงต้องอาศัยวัตถุคือพระพุทธรูปสงเคราะห์

 

๘.การฟังธรรมในสมัยพุทธกาล

คนสมัยนั้นท่านฟังเทศน์ครั้งเดียวก็จบกิจ ท่านไม่ได้ฟังเฉยๆ หมายความว่า ฟังด้วยความตั้งใจ การตั้งใจจำถ้อยคำที่พระพุทธเจ้าเทศน์ ตัวนี้เป็นสมาธิ และเมื่อจำแล้วก็พยายามคิดตามไปด้วย ตัวนี้เป็นปัญญา

ฉะนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ คนทุกคนพร้อมไปด้วยศีล หมายความว่าเวลานั้นใจเราบริสุทธิ์ ปราศจากปัญจเวร ๕ ประการ และมีความตั้งใจฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา และคิดตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์โสภาคด้วยปัญญา เมื่อเทศน์จบ ใจท่านก็จบจากกิจของพระพุทธศาสนา นั่นคือเป็นพระอรหันต์ หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านทำได้อย่างนั้น ก็เชื่อว่าจะมีผลเช่นเดียวกัน

 

โพสท์ใน ธรรมะหลวงพ่อฤาษีฯ, ปกิณกะธรรม | ติดป้ายกำกับ , | 3 ความเห็น

ภาพพิธีเททองหล่อสมเด็จองค์ปฐม ทรงเครื่องพระเจ้าจักรพรรดิ

พิธีเททองหล่อสมเด็จองค์ปฐม ทรงเครื่องพระเจ้าจักรพรรดิ หน้าตัก ๓ ศอก
วันมาฆบูชา ๒๕๔๗ ณ ศูนย์พุทธศรัทธา ชมภาพและโมทนาบุญร่วมกันครับ

อ่านเพิ่มเติม

โพสท์ใน สมเด็จองค์ปฐม, สมเด็จองค์ปฐม ศูนย์พุทธศรัทธา | ติดป้ายกำกับ , , | ปิดความเห็น บน ภาพพิธีเททองหล่อสมเด็จองค์ปฐม ทรงเครื่องพระเจ้าจักรพรรดิ

ธรรมโอวาทเพื่อพระนิพพาน

ธรรมโอวาทเพื่อพระนิพพาน
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)

      ธรรมะและโอวาท ของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) นั้นมีมากมาย ศูนย์พุทธศรัทธาได้คัดเลือกธรรมะสั้นๆ ของหลวงพ่อฯท่าน ที่มีนัยยะสำคัญนับเนื่องแต่เบื้องต้นจนถึงพระนิพพาน เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้น้อมนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ต่อไป

 

ธรรมโอวาทเพื่อพระนิพพาน
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

จัดทำโดย
ศูนย์พุทธศรัทธา

คำนำ

ธรรมะและโอวาทของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) นั้นมีมากมาย ศูนย์พุทธศรัทธาได้คัดเลือกธรรมะสั้นๆ ของหลวงพ่อฯท่าน ที่มีนัยยะสำคัญนับเนื่องแต่เบื้องต้นจนถึงพระนิพพาน เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้น้อมนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์

ปัญญาทางธรรม เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของคนเรา ที่ต้องศึกษาและปฏิบัติ เพื่อให้รู้จักเรื่องราวของชีวิตตามความเป็นจริง ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ อริยสัจ ๔ อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ซึ่งธรรมโอวาทเพื่อพระนิพพาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ฉบับนี้ ได้รวบรวมไว้ครบถ้วน

ศูนย์พุทธศรัทธาขอน้อมถวายกุศลจากธรรมทานนี้ เพื่อเป็นพุทธบูชา และบูชาพระคุณ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ขอให้ทุกท่านที่ได้อ่านได้ศึกษาและปฏิบัติ ได้เข้าถึงซึ่งอมตธรรมคือแดนพระนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้ เทอญ.

 

พ่อสอนลูก

๑.ขอลูกรักจงรักษากายไว้ด้วยดี อย่าเอากายไปฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม และจงรักษาวาจาไว้ให้ดี อย่าพูดปดมดเท็จที่ไม่ตรงความจริง อย่าพูดคำหยาบหรือด่าคนอื่น อย่าใช้วาจาเป็นเครื่องทำลายความสามัคคี คือ ยุให้คนแตกร้าวกัน อย่าใช้วาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์

ด้านใจจงรักษาใจไว้ด้วยดี คือ ไม่อยากได้ของๆใครที่เขาไม่เต็มใจให้ ไม่โกรธแค้นอาฆาตพยาบาทใคร ไม่เมาใจจนเห็นผิด คิดว่าตัวเป็นคนประเสริฐ อารมณ์เท่านี้เป็นพื้นฐานที่จะให้เข้าถึงพระนิพพาน เมื่อรักษากายใจได้ดังนี้แล้ว ต่อไปใจจะสะอาดขึ้นทีละน้อย จนไม่ต้องระวังทั้งกาย วาจา ใจ จะทรงไว้แต่ความดีอย่างเดียว ในที่สุดก็ถึงนิพพาน

๒.ลูกรักทั้งหลาย จงจำไว้ว่า ท่านกับเรามีสภาวะเหมือนกัน คือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนไปในท่ามกลาง และก็มีการสลายตัวไปในที่สุด ท่านกับเราก็เสมอกัน เสมอกันโดยไตรลักษณ์ คือ อนิจจังหาความเที่ยงไม่ได้ ทุกขัง เมื่อมีความเป็นอยู่ต้องทำมาหากินทางอาชีพ ทำการงานเลี้ยงชีพ สุขบ้างทุกข์บ้าง ไปตามสภาพของคนที่มีชีวิต ในที่สุดชีวิตก็สลายตัวไป

จงจำไว้อย่ายึดมั่นถือมั่นในร่างกายจนเกินไป อย่ายึดถือในทรัพย์สินมากเกินไป จงจำไว้ว่า เราจะต้องตาย ถ้าเรายังไม่ดีพอ ตายแล้วเราก็ต้องเกิดอีก เกิดแล้วเราก็มีทุกข์ เกิดเป็นคนมีทุกข์อย่างคน เกิดเป็นสัตว์มีทุกข์อย่างสัตว์ เกิดเป็นอสุรกายเป็นทุกข์อย่างอสุรกาย เกิดเป็นเปรตเป็นทุกข์อย่างเปรต เกิดเป็นสัตว์นรกเป็นทุกข์อย่างสัตว์นรก เกิดเป็นเทวดาสุขอย่างเทวดา เกิดเป็นพรหมสุขอย่างพรหม แต่สุขไม่นาน ผลที่สุดก็ละความสุขนั้นมาหาความทุกข์ สู้ไปพระนิพพานไม่ได้ นิพพานมีความสุขที่เป็นเอกันตบรมสุข เป็นความสุขที่ยอดเยี่ยม

 

พิจารณาตน

๑.ถ้าบุคคลใดไม่สนใจจริยาของบุคคลอื่น ไม่เพ่งเล็งบุคคลอื่น ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่มีความประมาท มีจริยาดี มีความสงบใคร่ครวญเฉพาะความประพฤติของตัว อย่างนี้ชื่อว่าเข้าถึงสะเก็ดความดีที่ตถาคตสอน

แล้วบุคคลใดไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว สามารถระงับนิวรณ์ ๕ ได้ตามต้องการ จิตทรงฌาน มีอารมณ์ทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ ชื่อว่าเป็นผู้ทรงฌานโลกีย์ อย่างนี้ถือว่าเข้าถึงเปลือกความดีที่พระองค์ทรงสอน

ถ้าบุคคลใดทำความดีดังนี้ตามลำดับมา ครบถ้วนทรงตัว สามารถทำจิตให้ระลึกชาติได้โดยไม่จำกัด อย่างนี้เข้าถึงกระพี้ความดีที่พระองค์สอน

ถ้าบุคคลใดทำจุตูปปาตญาณให้เกิดขึ้น เห็นคนและสัตว์รู้ได้ทันทีว่าคนและสัตว์นี้ก่อนเกิดมาจากไหน คนตายแล้วไปอยู่ไหน อย่างนี้ถือว่าเข้าถึงแก่นความดีที่พระองค์สอน แต่เป็นแก่นขั้นฌานโลกีย์

ต่อไปทบทวนความดีนี้ให้ทรงตัว ทำวิปัสสนาญาณ ถ้ามีบารมีแก่กล้าจะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหานได้ภายใน ๗ วัน ถ้าบารมีอย่างกลางจะตัดกิเลสได้หมดภายใน ๗ เดือน ถ้าบารมีอย่างอ่อนจะตัดได้หมดภายใน ๗ ปี

๒.ดีหรือชั่วมันอยู่ที่การควบคุมกำลังใจ ถ้าใจของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องเสียอย่างเดียว ใครจะว่าดีหรือชั่วไม่มีความสำคัญ เขาจะประนามว่าเลว มันก็เลวไม่ได้ มันก็ต้องดีอยู่ตลอดเวลา ถ้าจิตของเราชั่ว เขาจะสรรเสริญว่าดี มันก็ดีไม่ได้เหมือนกัน นี่เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้รักษากำลังใจเป็นสำคัญ ควบคุมกำลังใจให้ดีไว้ แล้วมันดีเอง ไม่ต้องไปฟังคำชาวบ้านเขา การที่เราดีเพราะรอให้ชาวบ้านเขาสรรเสริญ นั่นมันป็นอารมณ์ของความชั่ว

 

ศีล

๑.ท่านพร่องในศีล ด้วยเจตนาเพียงนิดเดียว ท่านไม่มีหวังที่จะทรงสมาธิเพื่อฌานสมาบัติได้เลย เพราะเพียงศีลมีการรักษาแบบหยาบๆ ท่านยังรักษาไม่ได้ ท่านจะเป็นผู้ทรงสมาธิที่มีอารมณ์ละเอียดกว่านี้ได้อย่างไร ผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานมาเป็นเวลาหลายสิบปี ที่ไม่ได้สำเร็จผลใดๆ แม้แต่ฌานโลกีย์ก็ไม่ได้ ก็เพราะพร่องในศีลเป็นสำคัญ

๒.ศีลทั้ง ๕ ข้อนี้ จะเป็นข้อหนึ่งข้อใดก็ตาม ถ้าเราละเมิดนั้นก็หมายความว่า เราเปิดช่องของอบายภูมิ หรือเปิดทางเดินไปสู่อบายภูมิ มีเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน การเจริญกรรมฐานของพุทธบริษัทก็ไม่มีผล

เพราะฉะนั้น ญาติโยมพุทธศาสนิกชนที่คิดว่า จะเจริญพระกรรมฐานให้มีผลวันนี้และตลอดไปในชีวิต จงตั้งจิตคิดว่า นับแต่นี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์ตลอดชีวิต บางวันข้างหน้าอาจจะเผลอไปบ้างก็เป็นของธรรมดา ถ้าบังเอิญรู้ตัวว่าเผลอไป เราก็ยับยั้งมันเสีย และตั้งใจว่าต่อไปเราจะไม่ทำผิดอีก และจงเข้าใจว่า ศีล ๕ ประการนี้ ถ้าจะขาดได้ ก็ต้องอาศัยความตั้งใจทำ อย่างปาณาติบาตสัตว์เล็กๆ เราเดินๆไปเราไม่เห็นบังเอิญเหยียบตาย อันนี้ศีลไม่ขาด หรือสัตว์เล็กๆ มียุงเป็นต้น มาเกาะกินเลือดของเรา ถ้าไม่คิดจะฆ่ามัน แต่มันเกาะนานเกินไป เราจะเอามือลูบให้มันหนีไป บังเอิญมันหนีไม่ทัน ถูกมันตาย อันนี้เราไม่บาป ศีลไม่ขาดเพราะเราไม่มีเจตนาจะฆ่า

 

พรหมวิหาร ๔

๑.ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน พยายามทรงอารมณ์จิตให้อยู่ในพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ คิดว่าเราจะมีความรักในคนอื่นและสัตว์อื่นนอกจากตัวเรา เสมอด้วยตัวเรา เราจะมีความสงสาร เกื้อกูลเขาให้เป็นสุข ตามกำลังที่เราพึงจะทำได้ เราไม่มีอารมณ์อิจฉาริษยาบุคคลอื่น เห็นใครได้ดีก็พลอยยินดีตาม ถ้าสิ่งใดเป็นเหตุเกินวิสัยด้วยอำนาจกฎของกรรมหรือกฎของธรรมดาเกิดขึ้น เราจะไม่มีความหวั่นไหวในจิต นี่อารมณ์อย่างนี้ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททรงไว้ดี ก็จัดว่าเป็นศูนย์รวมกำลังใจที่มีความสำคัญที่สุด อันจะพึงก้าวเข้าไปสู่ความดี

๒.ถ้าจิตของเราทรงอยู่ในพรหมวิหาร ๔ แล้ว มีอะไรบ้างที่มันจะเกิดขึ้น นั่นก็คือ ศีลบริสุทธิ์ ไม่ต้องระมัดระวังศีล ความเป็นผู้มีเหตุมีผล มีความเคารพในองค์สมเด็จพระทศพลก็มีพร้อมบริบูรณ์ เพราะอะไร เพราะคนที่ทรงศีลบริสุทธิ์ ก็แสดงว่ามีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระสงฆ์

เพราะว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทรงแนะนำให้จิตอยู่ในขอบเขตนี้ เรามีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์ เป็นต้น เราจึงมีศีลบริสุทธิ์ เราจึงรู้จักอายความชั่ว เกรงกลัวความชั่ว จึงได้มีการประกอบความดี คือ จิตทรงพรหมวิหาร ๔ มีหิริและโอตัปปะ นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความเยือกเย็น มีแต่ความเป็นสุข เราก็เป็นสุข บุคคลอื่นก็เป็นสุข เพราะกายไม่เสียปากไม่เสีย ทั้งนี้เพราะว่าใจไม่เสีย ถ้ากายเสีย ปากเสีย ก็แสดงว่าใจมันเสีย เสียมากจนล้นมาถึงกาย ถึงวาจา นี่เป็นอันว่าถ้าทรงคุณธรรมอย่างนี้ได้ ความเป็นพระโสดาบันย่อมปรากฏ

 

สมาธิ

๑.เวลาปฏิบัติ เวลาเริ่มทำสมาธิ ตัดกังวลเสียก่อน สิ่งใดที่จะห่วงใย ยกเลิกทิ้งไป ประเดี๋ยวเดียวมันไม่ตายหรอก และก็ตัดสินใจว่าเราจะต้องปฏิบัติให้มีผลตามคำแนะนำของครู ไม่ห่วงแม้แต่ร่างกาย

ทุกคนเมื่อตัดกังวล ไม่ห่วงแม้แต่ร่างกายได้แล้ว ก็ตั้งใจสมาทานศีล เรื่องศีลที่จริงไม่ใช่จะมีเฉพาะเวลาปฏิบัติ ศีลนี่เป็นเครื่องค้ำจุนฌานสมาบัติ สมาธิหรือฌานจะมีขึ้นมาได้ก็เพราะศีล ถ้าศีลบกพร่อง ฌานก็บกพร่องด้วย ถ้าศีลสมบูรณ์แบบ สมาธิหรือฌานจึงจะสมบูรณ์แบบ เรื่องนิวรณ์ ๕ ประการอย่านึกถึงมันเลย

นอกจากนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์ ให้ทุกคนคุมอารมณ์ให้ดีในพรหมวิหาร ๔ ให้จิตทรงตัวไว้ในพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ คำว่าปกติต้องเหมือนศีล ศีลนี่ต้องบริสุทธิ์ทุกวัน และพรหมวิหาร ๔ ต้องทรงตัว

๒.สำหรับอานาปานุสสติกรรมฐาน ขอแนะนำให้ทุกท่านใช้ทุกอิริยาบถที่ทรงอยู่ จำไว้ให้ดีด้วยนะ ถ้าท่านใช้ทุกอิริยาบถที่ทรงอยู่ละก็ อารมณ์จิตมันจะเลี้ยวเข้าไปหาความเลวไม่ได้ จะมีเวลาว่างเพื่อสร้างความเลวตรงไหน จะกินอยู่ก็ดี จะเดินอยู่ก็ดี จะนั่งอยู่ จะนอนอยู่ ทำการงานอยู่ จะพูดจาปราศรัยก็ดี ให้เอาใจของทุกท่านกำหนดจับอานาปานุสสติกรรมฐานไว้เป็นปกติ จำได้ไหม และก็ลองคิดดูทีเถอะว่า ถ้าเราเอาจิตไปจับอานาปานุสสติกรรมฐานไว้เป็นปกติ จิตมันไม่มีเวลาว่างจากการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก แล้วก็จิตดวงนี้ มันจะเอาอารมณ์เลวมาจากไหน อกุศลกรรมใดๆที่ไหน จะเข้ามาแทรกจิตได้

 

มหาสติปัฏฐาน

มหาสติปัฏฐานสูตรที่ยากจริงๆ ก็คือ อานาปานุสสติกรรมฐานเท่านั้น ที่ต้องทำกันช้าหน่อย แล้วก็ทำถึงฌาน ที่เหลือทั้งหมดเป็นอารมณ์คิด ฉะนั้นก่อนจะใช้อารมณ์คิดทุกครั้ง ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ โปรดทำสมาธิจิตจนถึงฌานให้เต็มที่ก่อน ได้ระดับไหนทำให้ถึงระดับนั้น ทำแล้วปล่อยให้จิตสบายจึงค่อยใช้อารมณ์คิด ปัญญาจะเกิด

นี่เป็นหลักการในการปฏิบัติพระกรรมฐาน ถ้าใช้อารมณ์คิดแล้ว จิตใจมันฟุ้งออกนอกลู่นอกทาง ก็ทิ้งอารมณ์คิดนั้นเสีย กลับมาจับอานาปานุสสติใหม่ จนกระทั่งจิตสบาย แล้วก็ใช้อารมณ์คิดต่อไป นี่เป็นหลักการที่ปฏิบัติ นักปฏิบัติที่ได้ผลจริง ๆ เขาทำกันแบบนี้ แม้แต่ในสมัยพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เขาปฏิบัติกันอย่างนี้จึงได้ผลตามกำหนด ที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาตรัสไว้

 

บารมี ๑๐

บารมีทั้งหมดนี้ให้ใช้กำลังใจ สร้างกำลังใจให้มันทรงอยู่ในใจทั้งหมด ให้มันเต็มครบบริบูรณ์ ไม่มีอะไรบกพร่อง คือ

๑.ทานบารมี มีกำลังใจพร้อมจะให้เสมอ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน
๒.ศีลบารมี มีกำลังใจรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต
๓.เนกขัมมะบารมี เนกขัมมะแปลว่าการถือบวช พยายามระงับนิวรณ์ในเบื้องต้น ตัดสังโยชน์เป็นเรื่องสุดท้าย
๔.ปัญญาบารมี พิจารณาว่าการเกิดเป็นต้นเหตุของทุกข์ ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
๕.วิริยะบารมี มีกำลังใจต่อสู้อุปสรรค สู้ให้ถึงที่สุดไม่ถอยหลัง
๖.ขันติบารมี อดทนต่ออุปสรรค สู้ให้ถึงที่สุดไม่ถอยหลัง
๗.สัจจะบารมี ทรงความจริงเป็นปกติ ตั้งใจทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ
๘.อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ว่า มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เป็นทุกข์ ตั้งใจไว้เฉพาะว่า “เราจะไปพระนิพพาน”
๙.เมตตาบารมี ตั้งใจให้มั่นว่าจะเมตตา คำว่าศัตรูไม่มีสำหรับเรา
๑๐.อุเบกขาบารมี เฉยต่ออุปสรรค เช่น คำนินทา การเจ็บไข้ เฉยในเรื่องร่างกาย

ถ้ากำลังใจของเราพร้อม ทรงบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ครบถ้วนเพียงใด บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ความเป็นพระอริยเจ้าเป็นของง่าย แต่ถ้ากำลังใจในการสร้างตนเป็นพระโสดาบัน มันยังครบถ้วนไม่ได้ ก็หันมาจัดการกับบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ให้มันครบถ้วนบริบูรณ์ เท่านี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ากำลังใจในบารมี ๑๐ บริบูรณ์เพียงใด คำว่าพระโสดาบันนั้น ท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะรู้สึกว่าง่ายเกินไป

 

ทรงความดี

๑.การปฏิบัติเพื่อเอาดีจริงๆ การเริ่มต้นของการปฏิบัตินอกจากศีลบริสุทธิ์แล้ว ก่อนที่จะภาวนา ให้ใช้ปัญญาพิจารณาความเป็นจริงของร่างกายเสียก่อน คิดว่าการเกิดของเราแต่ละชาติเป็นทุกข์ เรื่องทุกข์นี่ให้มองดูกันเองนะ เพราะเห็นทุกข์กันอยู่ทุกวัน คนไม่เห็นทุกข์ นั่นหมายถึงว่าตั้งหน้าตั้งตาลงนรก เพราะจิตมันไม่ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง เราต้องมองเห็นและพิจารณาว่า การเกิดนี่มันเป็นทุกข์ แก่ก็เป็นทุกข์ ป่วยไข้ไม่สบายก็ทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์ ตายก็ทุกข์

๒.เวลานี้เราพบพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าคือคำสอน องค์สมเด็จพระชินวรก็ไปนิพพาน พระอรหันต์ทั้งหลายไปนิพพานนับไม่ถ้วน ก็เคยปฏิบัติอย่างนี้ ฉะนั้นนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
เราจะไม่มีความอาลัยในชีวิตและร่างกายของเรา
เราจะไม่สนใจร่างกายของบุคคลอื่น
เราจะไม่สนใจในวัตถุธาตุใดๆ
เราจะทำจิตของเราให้ผ่องใส มีพระนิพพานเป็นอารมณ์
ถ้าบังเอิญมันจะตายในขณะที่เรานั่งนี่ก็เชิญ ร่างกายตายแต่ใจเราไปพระนิพพาน ตัดสินใจอย่างนี้ไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ภาวนา

 

มโนมยิทธิ

๑.มโนมยิทธิ แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ คำว่า ฤทธิ์ทางใจ หมายความว่า ใช้ใจ โดยเฉพาะอันดับต้น ต้องฝึกให้ได้ทิพจักขุญาณก่อน คำว่า ทิพจักขุญาณ ก็หมายความว่า ใช้ความรู้ทางใจคล้ายตาทิพย์ ไม่ใช่ลูกตาเป็นทิพย์

ถ้าฝึก “ทิพย์จักขุญาณ” ได้แล้ว ต่อไปจิตจะเคลื่อนไปสู่สวรรค์ก็ได้ พรหมโลกก็ได้ ไปแดนนิพพาน แดนเปรตแดนอะไรก็ได้ทั้งหมด ถึงแม้จะเป็นมุมหนึ่งหรือจุดใดในโลกมนุษย์นี่ง่ายกว่า หรือว่าใครอยากจะไปเที่ยวดวงดาวต่าง ๆ ก็ไปได้ ไปดวงอาทิตย์เราก็ไปได้ ไม่ตายเพราะใจเราไม่ตาย

แต่ว่าวิธีปฏิบัติแบบนี้ เวลาจะเคลื่อน ใช้อารมณ์แนบแน่นสนิทไม่ได้ ต้องมีอารมณ์เบา ๆ พอสมควร คือ แค่อุปจารสมาธิ ให้เริ่มสัมผัสภาพได้ก่อน ไม่ได้เห็นด้วยลูกตา พอรับสัมผัสภาพได้ ตอนนี้จิตเริ่มเป็นฌาน ตอนนี้ก็ยังเบาอยู่ แต่เคลื่อนจิตไปพระจุฬามณีได้

เมื่อเข้าไปถึงจุดนั้น มันจะมีทั้งฌานและญาณบอก ฌานอย่างเดียวมันก็ไปไม่ได้ ถ้าไปแล้วมันไม่เห็น ต้องมีตัวญาณเป็นตัวรู้ ฉะนั้น การขึ้นตอนแรก ขึ้นด้วยญาณก่อน เมื่อไปถึงที่นั่น ชำระจิตดี จิตสะอาดมากขึ้น ความสว่างไสวจะดีขึ้น แต่ไม่ใช่ลูกตาเห็น เป็นการเห็นจากจิต เป็นความรู้สึกจากจิต แต่เมื่อจิตสะอาดมากก็เห็นเหมือนตาเห็น

๒.ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านที่ปฏิบัติมโนมยิทธิได้แล้ว จงอย่ายับยั้งความดีไว้แค่มโนมยิทธิ เพราะถ้าหากท่านทำความดีได้แค่นี้ มันยังไม่พ้นการลงนรก การให้ฝึกมโนมยิทธิ เพื่อเป็นการยืนยันว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตายมีจริง การระลึกชาติมีจริง ตายแล้วไม่สูญจริง สวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง นรก เปรต อสุรกายมีจริง

เมื่อทำได้แล้ว จงรวบรวมกำลังใจของท่าน ทำให้ตนเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ พระโสดาบัน จะได้ป้องกันอบายภูมิ ไม่ต้องตกนรกเป็นเปรต เป็นอสุรกายและสัตว์เดรัจฉานต่อไป เป็นการก้าวไปหาพระนิพพานเร็วขึ้น

 

วิปัสสนาญาณ

๑.ร่างกายมันจะแก่ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายมันจะป่วย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายมันจะตาย ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดามันเป็นอย่างนี้ มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมัน

เมื่อร่างกายมันพังเมื่อไร เราไปนิพพานเมื่อนั้น ตั้งใจไว้เพียงเท่านี้ หากว่าชาตินี้ ถ้าไม่สามารถไปนิพพานได้ ถ้าอารมณ์ใจท่านเป็นอย่างนี้แล้ว ดีไม่ดีไปพักอยู่แค่เทวดา หรือพรหมอยู่ไม่กี่วัน เพียงแค่พระศรีอาริย์ตรัสรู้ เห็นหน้าพวกท่านเข้า พระพุทธเจ้าท่านจะเทศน์กายคตานุสสติกรรมฐาน หรือ ปฏิกูลบรรพ ฉับพลันทันที

เพราะองค์สมเด็จพระชินสีห์รู้ทุนเดิมของเรา ถ้าฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระทศพลเพียงกัณฑ์เดียว เลวที่สุดได้พระโสดาบัน นี่เรียกว่าเลวที่สุดนะ ถ้าฟังซ้ำอีกที ก็ได้อรหัตผล ตัวอย่างก็เยอะที่ปรากฏมาในพุทธประวัติ

๒.ถ้าหากว่าเรารู้จริงเห็นจริง ด้วยอำนาจของปัญญาว่า ร่างกายเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี เต็มไปด้วยความสกปรกแบบนี้ เราจะเอาจิตเข้าไปพัวพัน ร่างกายของบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์อะไร แม้แต่ร่างกายของเราก็เหมือนกัน มันเพียงแต่ว่าเป็นแดนสำหรับที่เราอาศัยเท่านั้น เราจะไม่หลงใหลใฝ่ฝันในรูปกายจนเกินสมควร และก็รู้อยู่เสมอว่าร่างกายของเรานี้มันสกปรก ร่างกายของคนอื่นก็สกปรก มันสกปรกไม่สกปรกเปล่า ในที่สุดมันก็พังทลาย เหมือนผีตายทั้งหลายนั้นแหละ

ความจริงเราต้องการความสะอาด เราไม่ต้องการความสกปรก เมื่อจิตของเราเห็นว่า อัตภาพร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดีสกปรก ความรัก ความปรารถนา ความใคร่มันก็หมดไป เพราะว่าไม่มีใครต้องการความสกปรก

 

พิจารณาความตาย

๑.เรื่องของความตายนี้ ทางพระท่านถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะไม่ว่าใครทั้งสิ้นที่เกิดมาแล้ว ก็ต้องตายเหมือนกันหมด จะตายด้วยโรคอะไรหรืออาการอย่างไร ในที่สุดก็ตายเหมือนกัน พระท่านสอนไม่ให้เสียใจ เพราะเหตุแห่งความตายมาถึง คนรับฟังมีเยอะ แต่รับปฏิบัติคือตัดใจไม่ให้เศร้าโศกถึงคนตายนี่หายาก

เรื่องของการระงับความเศร้าโศกอาลัย ในเมื่อมีคนที่เรารักตาย นี้มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง คนที่จะทำได้แน่นอน ไม่มีอารมณ์หวั่นไหวในเรื่องของความตายนั้น ท่านว่ามีพระอรหันต์เท่านั้น ที่จะเห็นเรื่องของความตายเป็นของปกติธรรมดา เหมือนเห็นใบไม้ที่แก่งอมร่วงลงมาจากต้น ไม่มีความรู้สึกเสียดายห่วงใยใดๆ

ถ้าว่ากันตามภาษาชาวบ้าน ถ้ามีคนตายเกิดขึ้นที่บ้านใคร ถ้าคนที่เกี่ยวข้อง เช่น สามีหรือภรรยาของผู้ตาย ไม่ร้องไห้แสดงความเสียใจ เขาก็หาว่าเป็นคนใจจืดใจดำ กลายเป็นคนไม่ดีไปเสียอีก ต้องแสดงออกถึงความโศกเศร้ารำพันนั่นแหละ เขาถึงจะนิยมว่าเป็นคนดี รักกันจริง เรื่องความเห็นของพระกับชาวบ้าน ไม่ใคร่จะลงกันก็อีตอนนี้แหละ

๒.คนเราเมื่อตายจากอัตภาพนี้แล้ว มันไม่ตายจริง คือไม่หมดความรู้สึกสุขทุกข์ ยังมีสุขมีทุกข์ มีความรู้สึกเหมือนเมื่อยังไม่ตาย แต่สิทธิต่างๆในเมื่อวิญญาณออกจากร่างนี้แล้ว ก็มีบางอย่างที่วิญญาณไม่มีสิทธิจะครอง นั่นก็คือ ทรัพย์สินที่พยายามสะสมไว้ ตั้งแต่สมัยเมื่อยังทรงอัตภาพนี้ ส่วนอื่นนอกจากนี้ คือความสุขและความทุกข์ยังมีตามเดิม

บางท่านเมื่อก่อนตาย ทำความดีไว้มาก เมื่อตายแล้วก็มีความสุข บางรายก่อนตายสร้างความเลวร้ายไว้มาก เมื่อตายแล้วก็ได้รับความทุกข์ อันนี้เป็นกฎของความเป็นจริง ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้

 

อริยสัจ

๑.เราเกิดมาเพื่อประสบกับความทุกข์ คนที่เกิดมาแล้วทุกคนจะไม่มีทุกข์เป็นไม่มี ถ้าหากว่าเรายังยึดถือว่า ร่างกายเป็นของเรา ทรัพย์สินเป็นของเรา ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเป็นของเรา อารมณ์ทุกข์มันก็เกิด เกิดเพราะว่าเราเกาะ ที่เรียกว่าอุปาทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โลกธรรมแปดประการ คือ มีลาภดีใจ ลาภสลายตัวไปเสียใจ มียศดีใจ ยศสลายตัวไปเสียใจ มีความสุขในกามดีใจ ความสุขหมดไปร้อนใจ ได้รับคำนินทาเดือดร้อน ได้รับคำสรรเสริญมีสุข องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แนะนำให้พวกเราใช้อารมณ์คิดอยู่เสมอว่า ทุกข์นี้เป็นกฎธรรมดาของโลก ทุกอย่างเราทำงานตามหน้าที่

๒.สำหรับการที่เราเจริญพระกรรมฐาน ก็ต้องใคร่ครวญอยู่เสมอว่า เราเจริญพระกรรมฐานเพื่อต้องการความรู้ เป็นเครื่องพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เพราะความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บความตายเป็นทุกข์ ถ้าเรายังต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่อย่างนี้ เราก็มีแต่ความทุกข์ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ การเจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน เราทำเพื่อสิ้นความเกิด เพราะเราไม่ต้องการความทุกข์ต่อไป จงพิจารณาหาทุกข์ให้พบในอริยสัจ

 

พิจารณาขันธ์ ๕

๑.ให้พิจารณาว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา โดยให้พิจารณาเป็นปกติ เมื่อเห็นว่าขันธ์ ๕ ป่วยก็รักษา เพื่อให้ทรงอยู่ แต่เมื่อมันจะพังก็ไม่ตกใจ หรือมันเริ่มป่วยไข้ ก็คิดว่าธรรมดามันต้องเป็นอย่างนี้ เราจะรักษาเพื่อให้ทรงอยู่ ถ้าทรงอยู่ได้ก็จะอาศัยเพื่องานกุศลต่อไป ถ้าเอาไว้ไม่ได้มันจะผุพัง ก็ไม่มีอะไรหนักใจ ความทุกข์จะเกิดแก่ตัวเองหรือใครอะไรก็ตาม ไม่ผูกจิตติดใจอย่างนี้ จนกระทั่งบรรลุอรหัตผล

๒.จิตต้องยึดเป็นอารมณ์ว่า ถ้าตายคราวนี้เรามุ่งนิพพาน ต้องคอยชำระจิต ก็หมายความว่า อย่าให้ความโลภคลุมใจ อย่าให้กามฉันทะมันคลุมใจ ความโกรธและโมหะอย่าให้คลุมใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหันเข้ามาตัดจุดเดียว คือ ขันธ์ ๕ ของเรา ตัดให้ขาด ทุกอย่างมันจะเกาะไม่ได้

 

สังโยชน์ ๑๐

๑.อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุดหรือโดยตรง นั่นก็คือ สังโยชน์ ๑๐ ตัวตัดอยู่ตรงนี้ เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถจะตัดสังโยชน์ได้แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลากำจัดก็แย่ บางท่านก็มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วันก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นพระอริยเจ้าได้ อันนี้เป็นกำไรมาก

๒.นักปฏิบัติเพื่อมรรคผลท่านปฏิบัติกันมา และได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงจิตกับสังโยชน์ ว่าเราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลของการปฏิบัติ ให้ปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั่นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่าเราเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง

 

พระโสดาบัน

๑.ความเป็นพระโสดาบัน ต้องทรงคุณธรรม ๓ ประการ จำไว้ให้ดีเป็นของไม่ยากคือ

ประการที่ ๑ มีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง พระสงฆ์นี่ เลือกเอาพระอริยสงฆ์นะ เพราะถ้าไม่ใช่พระอริยะ แกก็ไม่ค่อยแน่นัก ดีไม่ดีแกก็เลวกว่าชาวบ้านเขาก็มี

ประการที่ ๒ งดการละเมิดศีลโดยเด็ดขาด เรียกว่า รักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต ศีล ๕ ประการนี้รักษาโดยเด็ดขาด

ประการที่ ๓ จิตใจของพระโสดาบัน มุ่งอย่างเดียวคือนิพพาน ขึ้นชื่อว่าทำความดี ตั้งแต่ฟังเทศน์ปฏิบัติธรรม ลงไปถึงเทกระโถน ล้างส้วม ตั้งใจอย่างเดียว เราทำเพราะเมตตาปรานีแก่บุคคลทั้งหลาย ความดีนี้ไม่ต้องการผลตอบแทนจากบุคคลผู้ใด เราต้องการอย่างเดียวทำเพื่อผลของพระนิพพาน เพียงเท่านี้เขาเรียกว่าพระโสดาบัน

๒.คนที่เขาเป็นพระโสดาบัน เขาทรงอารมณ์แบบนี้ คือ ปรารภความตายเป็นปรกติ ไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าการเกิดมานี่มันต้องตาย เมื่อคิดว่าจะต้องตายเขาก็ไม่ประมาท ไม่ยอมไปอบายภูมิ นั่นคือ เคารพในพระพุทธเจ้าจริง เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริง เป็นปกติ และก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีจิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์ การทำความดีทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบัน คิดว่าผลความดีที่เราต้องการมีอย่างเดียวคือพระนิพพาน เท่านี้เองความเป็นพระโสดาบัน

 

พระสกิทาคามี

พระสกิทาคามีนี่ อารมณ์ทุกอย่างเหมือนพระโสดาบันทั้งหมด ตัดสังโยชน์สามเหมือนกัน แต่ว่ามีการบรรเทาความรักในระหว่างเพศ บรรเทาความร่ำรวย บรรเทาความโกรธ เมื่อสามอย่างนี้มันบรรเทา ความหลงก็เลยบรรเทาด้วย กำลังใจของพระสกิทาคามี มีข้อสังเกตดังนี้

ประการที่หนึ่ง อารมณ์จะไม่มีความกำเริบในระหว่างเพศ จิตใจเยือกเย็นลง แต่ยังไม่หมด เบาลง

ประการที่สอง เรื่องความโลภ ความอยากรวย ความดิ้นรนของความอยากรวยเบาลง ความรู้สึกว่าพอเริ่มมี แต่การทำความดีความขยันหมั่นเพียรยังปรากฎ แต่ว่าจิตไม่ดิ้นรนเกินไป

สิ่งที่เราจะสังเกตได้ง่าย สำหรับพระสกิทาคามี นั่นก็คือ กำลังความโกรธลดลงมาก การถูกด่าถูกนินทาโกรธเบา บางทีก็โกรธช้าไป

 

พระอนาคามี

ถ้าจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าสู่พระอนาคามีมรรคได้ มันเข้ามาเอง ทำไป ๆ จิตมันก็โทรมลงมา คือว่า จิตหมดกำลังในด้านความชั่ว ทรงความดีมากขึ้น มีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ มีความสลดใจ คือ ถ้าจิตไม่มีความรู้สึกระหว่างเพศอย่างนี้ท่านเรียกว่าพระอนาคามีมรรค

ถ้าหากว่าจิตเราไม่พอใจในศีล ๕ มีความพอใจในศีล ๘ แล้ว ก็มีความมั่นคงในศีล ๘ อย่างนี้ ท่านถือว่าเริ่มเข้าอนาคามีมรรค เรียกว่าเดินทางเข้าหาพระอนาคามี ต่อไปถ้าจิตมีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ คือถ้าหมดความรู้สึก ก็ถือว่าเป็นพระอนาคามีผล

และต่อมาถ้าจิตลดจากความโกรธ ความไม่พอใจ ปฏิฆะ คืออารมณ์กระทบกระทั่งใจนิดๆ หน่อยๆ ความไม่พอใจ การแสดงออกน่าจะมีสำหรับคนในปกครอง ถ้าทำไม่ดีต้องดุต้องด่าต้องว่าต้องลงโทษ อันนี้เป็นธรรมดา เป็นการหวังดี แต่ว่าเนื้อแท้จริงๆ จิตคิดประทุษร้ายไม่มี เป็นการหวังดีแก่คนทุกคน คือตัดตัวปฏิฆะ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ถือว่า เต็มภาคภูมิของพระอนาคามีผล

รวมความว่าจากพระสกิทาคามีแล้ว จะเป็นพระอนาคามี ก็คือ
๑.สังเกตว่าใจเราพอใจในศีล ๘ รักษาศีล ๘ ได้ครบถ้วนจริง ๆ
๒.จิตตัดอารมณ์ในกามารมณ์ได้เด็ดขาด ไม่มีความรู้สึก
๓.ตัดความโกรธ ความพยาบาทได้เด็ดขาด อย่างนี้เป็นพระอนาคามีผล

 

พระอรหันต์

๑.อารมณ์พระอรหันต์ นั่นคือ จิตคิดว่าไม่หลงในรูปฌานและอรูปฌาน จิตไม่มีมานะการถือตัวถือตน จิตไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่านออกนอกรีดนอกรอย จิตไม่ติดในอวิชชา คือฉันทะกับราคะ ฉันทะ-ความพอใจในมนุษย์โลก เทวโลกไม่มี ราคะ-จิตเห็นมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก สวยไม่มี ไม่พอใจในสามโลก จิตพอใจจุดเดียวคือนิพพาน นี่เป็นอารมณ์พระอรหันต์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์พระอรหันต์ คือยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ไล่ลงมาอีกทีนะ จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดาว่า ธรรมดาคนเกิดมาแล้ว ต้องแก่ ต้องป่วย ต้องมีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ คนเกิดมาแล้วต้องตาย ความปรารถนาไม่สมหวังย่อมมีแก่ทุกคน ถ้าทุกอย่างมันเกิดขึ้น ใจท่านไม่หวั่นไหว ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็จิตคิดว่าถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไร ฉันไปนิพพานเมื่อนั้น ใจสบาย

๒.ศีลเราบริสุทธิ์อยู่แล้ว สมาธิทรงตัวอยู่แล้ว วิปัสสนาญาณปลดเปลื้องร่างกายของเรา ร่างกายของบุคคลอื่น วัตถุธาตุ ขันธ์ ๕ คือร่างกาย อย่าไปเสียดายมัน มันจะพังเมื่อใดก็เชิญมันพัง เพราะใจเราพร้อมที่จะไปนิพพาน ตัวจิตบริสุทธิ์อยู่ที่นี่

๓.อรหัตผลนี่เป็นของไม่ยาก ก็ตัดกามฉันทะกับราคะ คือไม่สนใจกับร่างกายของเราด้วย ไม่สนใจกับร่างกายของบุคคลอื่นด้วย ไม่สนใจกับวัตถุธาตุในโลกทั้งหมด คิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ช้ามันก็สลายตัว ไม่มีอะไรดีสำหรับเรา เราไม่ถือว่ามันเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของเรา และเราก็ไม่ถือวาทะของบุคคลอื่นไม่ถืออารมณ์ของบุคคลอื่น ทำใจให้แช่มชื่นอยู่อย่างเดียว ว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ทรัพย์สินในโลกไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นของกิเลส ตัณหา อุปาทาน มันพังเมื่อไร พอใจเมื่อนั้น

ขึ้นชื่อว่าความเกิด มีขันธ์ ๕ ร่างกายอย่างนี้ จะไม่มีสำหรับเรา ความเป็นเทวดาหรือพรหม จะไม่มีสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการคือนิพพาน นี่แค่นี้เท่านั้นแหละ ไม่เห็นมีอะไรยาก ถ้าพูดกันแบบง่ายๆ แต่ความจริงพูดกันมาเยอะ ทำอารมณ์ให้มันทรงตัวเถอะ มันก็ไม่ลำบาก มันก็สำเร็จมรรคสำเร็จผล

— จบ —
ธรรมโอวาทเพื่อพระนิพพาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

 

ศูนย์พุทธศรัทธา ขออนุโมทนากับทุกๆท่าน ที่ได้อ่านมาจนถึงบทสุดท้ายนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านที่ตั้งใจอ่าน แล้วใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุหาผล และปฏิบัติตามธรรมโอวาทของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน คงจะได้รับประโยชน์และความสุข ตามสมควร ตามกำลังวาสนาบารมี ของแต่ละท่านแต่ละบุคคล

ท้ายนี้ ขอนำพรของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯท่าน ที่เมตตาโปรดญาติโยมพุทธศาสนิกชนบ่อยๆ มาฝาก

ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน เทอญ

 

โพสท์ใน ธรรมะหลวงพ่อฤาษีฯ, ธรรมโอวาท | ติดป้ายกำกับ | 12 ความเห็น

ปฏิทินบำเพ็ญกุศลศูนย์พุทธศรัทธา ปี ๒๕๕๓


ปฏิทินบำเพ็ญกุศล ประจำปี ๒๕๕๓

ศูนย์พุทธศรัทธา
สำนักปฏิบัติพระกรรมฐาน สาขาวัดท่าซุง
อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี

มกราคม ๒๕๕๓

ธรรมทัศนาจรภาคเหนือ
ร่วมพิธีบวงสรวงที่พระบรมธาตุดอยตุง,พระธาตุจอมกิตติ
ถวายสังฆทาน ฟังธรรมจากพระสุปฏิปันโน
และซื้อของฝากที่ตลาดแม่สาย (รอกำหนดการของวัดท่าซุง)

กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓

งานบวชเนกขัมมะบารมีครั้งที่ ๖๗
เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในวันสำคัญของพุทธศาสนิกชน
“วันมาฆะบูชา” วันเสาร์ที่ ๒๗-๒๘ ก.พ.และวันที่ ๑ มี.ค.๒๕๕๓

ชมภาพงานบวชวันมาฆบูชา และโมทนาบุญร่วมกันครับ

มีนาคม ๒๕๕๓

ธรรมทัศนาจร
ร่วมบำเพ็ญกุศลงานทำบุญประจำปีวัดท่าซุง
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๓

เมษายน ๒๕๕๓

พิธีสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุและสรงน้ำพระ
วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๓ ณ ศูนย์พุทธศรัทธา

ชมภาพพิธีสรงน้ำพระฯ และโมทนาบุญร่วมกันครับ

พฤษภาคม ๒๕๕๓

งานบวชเนกขัมมะบารมีครั้งที่ ๖๘
และงานทอดผ้าป่าประจำปี

เพื่อสมทบทุนสร้างมณฑปจตุรมุข
ปิดทองประดับเพชรซุ้มและสร้างฐานพระพุทธชินราชหน้าตัก ๓ ศอก
ถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในวันวิสาขบูชา วันที่ ๒๘-๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓

ชมภาพงานบวชวันวิสาขบูชา และโมทนาบุญร่วมกันครับ

มิถุนายน ๒๕๕๓

ธรรมทัศนาจรภาคอิสาน
วันศุกร์ที่ ๔-๖ มิถุนายน ๒๕๕๓
นำผู้มีจิตศรัทธาร่วมบำเพ็ญกุศล
ถวายสังฆทาน-ฟังธรรม จากพระสุปฏิปันโนสายอิสาน อาทิ
หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด,หลวงปู่ขาว วัดป่าคูณคำวิปัสสนา ฯลฯ

ชมภาพธรรมทัศนาจรภาคอิสาน และโมทนาบุญร่วมกันครับ

กรกฎาคม ๒๕๕๓

พิธีเวียนเทียน
ถวายเป็นพุทธบูชา วันอาสาฬหบูชา
ณ ศูนย์พุทธศรัทธา วันจันทร์ที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓

ธรรมทัศนาจร
นำท่านร่วมพิธีบวงสรวงอนุสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราช
ถวายเทียนพรรษาวัดท่าซุง, วัดอัมพวัน,สำนักสงฆ์สันติธรรม และวัดปัญจาภิรมย์
วันอังคารที่ ๒๗ กรกฏาคม ๒๕๕๓

สิงหาคม ๒๕๕๓

งานมหากุศล
เททองหล่อพระพุทธรูปปางนาคปรก
หล่อรูปหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หล่อรูปหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
งานยกช่อฟ้ามณฑปจตุรมุข

และงานบวชเนกขัมมะบารมีครั้งที่ ๖๙
เพื่อถวายพระราชกุศล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันเสาร์ที่ ๑๒-๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๓

คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติม และร่วมเป็นเจ้าภาพตามกำลังศรัทธา

ภาพพิธีเททองหล่อพระนาคปรกและยกช่อฟ้ามณฑปจตุรมุข

ภาพงานบวชวันแม่ ๑๒-๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๓

แฟ้มภาพพิธีเททองหล่อพระนาคปรกและยกช่อฟ้ามณฑปจตุรมุข

กันยายน ๒๕๕๓

ธรรมทัศนาจร
งานทำบุญครบรอบ ๑๘ ปี กาลมรณภาพหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๓

พฤศจิกายน ๒๕๕๓

ธรรมทัศนาจรภาคเหนือ

วันศุกร์ที่ ๑๒-วันอาทิตย์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
นำผู้มีจิตศรัทธาไปบำเพ็ญกุศล ร่วมทอดกฐินและพิธีสืบชะตาหลวง
กับครูบาเจ้าเทือง นาถสีโล วัดบ้านเด่น จ.เชียงใหม่
ถวายสังฆทานและร่วมพิธีสืบชะตากับครูบาน้อย วัดศรีดอนมูล
นมัสการพระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย(เจดีย์ชเวดากองจำลอง)
วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ถวายสังฆทาน-ฟังธรรม
วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่,วัดโขงขาว,วัดทุ่งหลวง,วัดอรัญญวิเวก

ชมภาพธรรมทัศนาจรภาคเหนือ และโมทนาบุญร่วมกันครับ

พิธีฉลององค์กฐินและทอดผ้าป่าสามัคคี
ณ ศูนย์พุทธศรัทธา วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

ธรรมทัศนาจร
งานทอดมหากฐิน ณ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
วันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

ชมภาพพิธีฉลององค์กฐิน-ทอดมหากฐินวัดท่าซุง และโมทนาบุญร่วมกันครับ

ธันวาคม ๒๕๕๓

งานบวชเนกขัมมะบารมีครั้งที่ ๗๐
“วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

และงานทำบุญครบรอบ ๒๕ ปี ศูนย์พุทธศรัทธา
วันเสาร์ที่ ๔-๖ ธันวาคม ๒๕๕๓

พิธีฉลองสมโภชน์พระนาคปรก
รูปหล่อหลวงปู่ปาน-หลวงพ่อฤาษี และหอพระ

พิธีสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ทันใจ หน้าตัก ๔ ศอก
(สร้างเสร็จภายในวันเดียว)

ชมภาพและโมทนาบุญพิธีสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ทันใจ

ชมภาพและโมทนาบุญงานทำบุญฉลองครบรอบ ๒๕ ปีศูนย์พุทธศรัทธา

ผลการดำเนินงานและกิจกรรมตลอด ๒๕ ปีศูนย์พุทธศรัทธา

ขอเชิญร่วมบำเพ็ญกุศล

ทำวัตรสวดมนต์ ปฏิบัติพระกรรมฐาน

และฟังธรรม ณ ศูนย์พุทธศรัทธา ทุกวันศุกร์ เริ่มเวลา ๑๙.๓๐ น.
(มีพระมาแสดงธรรมทุกวันศุกร์ที่ ๑ และ ๓ ของเดือน)

เสียงธรรมจากศูนย์พุทธศรัทธา

ขอเชิญรับฟังรายการ “เสียงธรรมจากศูนย์พุทธศรัทธา”

ทางวิทยุชุมชนคลื่น เอฟ เอ็ม ๙๙.๗๕ เมกกะเฮริ์ท
ออกอากาศ ทุกวันเวลา ๐๖.๐๐ – ๐๗.๐๐ น.

ท่านที่อ่านแล้ว สนใจจะเข้าร่วมกิจกรรมบำเพ็ญกุศลกับศูนย์พุทธศรัทธา
อ่านรายละเอียดการติดต่อศูนย์พุทธศรัทธาได้ ที่นี่ครับ

โพสท์ใน กิจกรรม ๒๕๕๓, กิจกรรมประจำปี | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน ปฏิทินบำเพ็ญกุศลศูนย์พุทธศรัทธา ปี ๒๕๕๓