มโนมยิทธิ ๒ อตีตังสญาณ

อตีตังสญาณ ญาณในอดีต
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

ญาณในอดีตนี่ก็เหมือนกัน ทำอย่างไรมันก็ไม่ยาก รู้แล้ว ทางที่ดีนะครับให้ถามตรงองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว หรือว่าท่านผู้ใดมีเทวดาองค์ใด มีพระอริยเจ้าองค์ใด ที่ท่านจะสงเคราะห์บอกให้ ให้ถามเฉพาะองค์นั้น อย่าเปะปะเอะอะโวยวาย ถามใครก็ได้ อันนี้ไม่ได้แน่นอน ต้องถามเฉพาะบุคคล

และเวลาจะเข้าถาม ทำจิตสะอาด วางเฉยเป็นท่ามกลาง ไม่ข้องแวะอารมณ์ใดทั้งหมด ใครดีใครชั่ววางทิ้งเสียก่อน ทำใจเป็นกลาง แล้วก็ถามท่าน อย่างนี้จะดี จะสะดวกมาก เพราะว่าคนที่รู้อะไรทั้งหมดคือ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค พวกเรายังเป็นโรคอุปาทานอยู่ ดีไม่ดีความหลงใหลใฝ่ฝันในอุปาทานมันจะกินเรา

ก็รวมความว่า เราใช้กำลังใจ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ให้ขึ้นใจ และการทรงรูป จับรูปพระพุทธรูปเป็นนิมิต อย่าทิ้ง ทำเป็นประจำทุกวัน

ต่อไปเราไม่มีพระพุทธรูป เดินทางไปไหน จับภาพส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วจำภาพนั้นไว้ เท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกอย่างจะเพียบพร้อมบริบูรณ์ด้วยประการทั้งปวง

อตีตังสญาณ คือ ญาณในอดีต สำหรับญาณในอดีต นี่ก็หมายความว่า สิ่งที่ล่วงมาแล้ว สิ่งที่ล่วงมาแล้วเราต้องการพบ เราต้องเอา อนาคตังสญาณ เข้าช่วยด้วย ถ้าเราตั้งใจจะรู้ “ทำใจสบาย”

คำว่า ใจสบาย ตามที่พูดมาแล้ว คือ รักษาสะเก็ด รักษากระพี้ รักษาเปลือก ไว้ให้ได้ ใจจะเป็นสุข ใช้อารมณ์ได้ทุกวัน ตลอดทุกวินาที ที่เราต้องการอยากจะรู้

ทีนี้ถ้าเราต้องการรู้อดีต สมมุติว่า เราไปเจอะวิหารร้าง เมืองร้าง สถานที่ว่างเปล่า เราก็อยากจะทราบว่าสถานที่นี้มีอะไรบ้าง มีใครที่มีความสำคัญเกิดในที่นี้บ้าง สมัยนั้นรูปร่างหน้าตาของบ้านเมืองเป็นอย่างไรความสุข หรือความทุกข์ของบ้านเมืองเป็นอย่างไร

ถ้ายังไม่คล่อง อันดับแรก ให้นึกถึงภาพพระพุทธรูป คือภาพพระพุทธรูป หรือภาพพระพุทธเจ้าจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดินให้ทำเรื่อย ๆ ไป

ผมจะเล่าถึงวิธีการที่ผมทำมาในกาลก่อน

ในกาลก่อนผมใช้วิธีการอย่างนี้ ผมจะเดินไปไหน ผมจะนั่งที่ไหนผมจะนอนที่ไหนก็ตาม ถ้าว่างจากอารมณ์อื่นนิด ผมจะจับภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธรูป อย่างใดอย่างหนึ่งให้เห็นอยู่ในอกตลอดเวลา

ผมเดินไปบิณฑบาต เดินไปธุระ ไม่รู้ละ ผมใช้ของผมตลอดวัน และก็เป็น ได้ตลอดวันจริง ๆ ก่อนจะดูหนังสือผมต้องเห็นภาพพระพุทธเจ้าก่อน ทำให้จิตสบาย จะเดินไปไหน จะพูดกับใคร จะเข้าโรงเรียน จะสอนนักเรียน ผมเห็นภาพพระพุทธ- เจ้าตลอด บางครั้งเห็นทั้งในอกและเห็นทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คลุมตัวผมตั้งแต่ศีรษะลงมา คือนั่งครอบเลย

และภาพอย่างนี้ ถ้าคนอันธพาลเขาจะบอกว่า จะเอามาจากไหน เป็นภาพอุปาทาน ก็ช่างเถอะ เราทำจิตสะอาด นึกว่าเป็นอย่างนั้น เห็นภาพอย่างนั้นจริง ๆ ก็แล้วกัน และผลใหญ่จะเกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท นั่นคือ ต้องการรู้อะไร รู้ได้ทันที

สมมุติว่าถ้าเราอยากจะรู้จักสถานที่นี้ ว่าสถานที่นี้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร บ้านเมืองสวยสดงดงามขนาดไหน มีใครเป็นคนสำคัญสมัยนั้น มีความสุข มีความทุกข์ เป็นประการใด

เราต้องการทราบ ภาพนั้นก็จะปรากฏกับเรา เมื่อภาพนั้นปรากฏกับเรา เราก็เชื่อมั่นทันทีว่าภาพปรากฏครั้งแรก ให้เชื่อทันที ว่านั่นของจริง แต่ที่นี้ เมื่อภาพปรากฏอย่างนั้นแล้ว อย่าเพิ่งไว้ใจตัวเอง ว่าภาพที่เห็นนั้นจะจริงหรือไม่จริง จะเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า

ในเวลาเดียวกันเราก็ใช้อารมณ์แบบนี้ ของอะไรบ้างที่มีความสำคัญอย่างหนึ่ง แม้จะเป็นโถแตก ๆ ชามแตก ๆ จะซุกอยู่ตรงไหน ฝังอยู่ไหนซึ่งไม่ลึกนัก พอจะคุ้ยเขี่ยได้ในสถานที่นี้มีไหม ถ้าภาพนั้นปรากฏขึ้นกับใจของเรา และก็บอกสถานที่ว่าที่ตรงนี้มีอย่างนั้น เดินไปจุดนั้นทันที ขุดคุ้ยดูของที่เราเห็นภาพ มันมีจริงมั๊ย

ถ้ามีจริง นั่นแสดงว่า ภาพ อตีตังสญาณ ของเราถูกต้องหมด เวลานี้ เราใช้ ปัจจุปปันนังสญาณ ญาณปัจจุบัน ว่าในปัจจุบันนี้ มีอะไรบ้าง มีความสำคัญที่ไหน

อันนี้ต้องทำให้คล่อง ต้องทำเรื่อยๆ

อย่าลืมว่าเรายังไม่ใช่พระอรหันต์ อาจจะผิดบ้าง อาจจะถูกบ้าง ไม่ต้องกลัว แบบเราเรียนหนังสือ กว่าจะเขียนหนังสือเป็นตัวขึ้นมาได้ เราก็ผิดๆ ถูกๆ เขียนเป็นตัวบ้าง ไม่เป็นตัวบ้าง เขียนถูกบ้าง เขียนผิดบ้าง เมื่อทำบ่อยๆ คล่อง เรานึกจะเขียนอะไร ก็เป็นไปตามใจเรานึก

อย่างคนที่เขายิงปืนแม่น ก็เหมือนกัน ความจริงเขาไม่ได้แม่น มาจากท้องมารดา ออกมาก็ยิงปืนแม่นได้ทันที ไม่ใช่อย่างนั้น เขาต้องซักต้องซ้อม ต้องใช้กระ-สุนกันมาก ๆ นับเป็นร้อยเป็นพันนัด ความคล่องตัวยิงแม่นเหมือนจับวาง จึงปรากฏขึ้น ฉันใด

การฝึกฌานสมาบัติ ก็เหมือนกัน กับที่พูด และผลที่สุด ก็ต้องทำอย่างนี้แหละครับ คือ ทำเหมือนคนบ้า ทำมันเรื่อย ๆ ไป เราบ้าเข้าไปหาความดี เราบ้าดี เราทำลายบ้าชั่ว คือกิเลส ทำเรื่อยๆไป อย่างนี้จิตจะเพลิดเพลิน

อย่างประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่เขาเขียนไว้ ถ้าเราหยิบประวัติศาสตร์ขึ้นมาอ่าน อ่านไปตามเขาเขียนก่อน หลังจากนั้นก็วางหนังสือ

จิตย้อนเข้ามา ทบทวนสภาพเดิม ว่าตามประวัติศาสตร์ ที่เขียนไว้นั้นความจริง ภาพจริงๆ เป็นอย่างไร ดูความสุข ความทุกข์ของคน เหมือนกับดูหนัง ถ้าถอยหลังเข้าไป เขาจะมีความสุขแค่ไหน เขาจะมีความทุกข์แค่ไหน ทำให้ชิน ทำให้คล่อง

ความเป็นทิพย์ของจิต

สำหรับ ความเป็นทิพย์ของจิต นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ทรงตรัสว่า ต้องทำบ่อย ๆ ความจริง ทำให้คล่อง ทุก ๆ วันน่ะดี มันจะมีการคล่องตัว หนัก ๆ เข้าความเป็นทิพย์ปรากฏกับจิตเป็นประจำ

ความเป็นทิพย์จะปรากฏกับจิตเป็นประจำและแม่นยำ ก็คือ ต้องทรงกำลังความดีของจิต ตามที่กล่าวมาแล้วว่า รักษาสะเก็ด รักษาเปลือก รักษากระพี้ รักษาแก่น ความดีในพระพุทธศาสนาไว้

อาการต่าง ๆ ที่ต้องสัมผัสกับเรา บางทีไม่ต้องใช้กำลังสมาธิใด ๆ พอมีอารมณ์สบายปุ๊บ สิ่งนั้นจะปรากฏทันที ถ้าภาพนั้นปรากฏให้เชื่อทันที โดยที่เราไม่ได้นึกไว้ก่อน ว่าเป็นของจริง แล้วก็สังเกตไว้ จะเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริง

บางครั้งถ้ากำลังใจยังต่ำ ยังเป็นทาสของนิวรณ์อยู่บ้าง บางครั้งก็จะถูกอารมณ์หลอนเหมือนกัน ฉะนั้น จะต้องพยายามระงับนิวรณ์ไว้ ทุกขณะจิตที่เราต้องการ นั่นก็หมายความว่า ถ้าเป็นพระนี่มีความจำเป็น อย่าให้นิวรณ์รบกวนเกินไป

เมื่อทำได้อย่างนี้ ญาณรู้ในอดีต หรือสิ่งที่ล่วงมาแล้ว มันจะไม่พลาด มีความสนุกสนานมาก ใครเขาพูดอะไรก็ช่างเขาเถอะ เราก็รับฟัง พร้อมกับที่เรากำลังนั่งฟังเขาพูดนั่นแหละ ก็ใช้จิตทบทวนไปทันที

อย่างอดีตใกล้ปัจจุบัน เขาบอก เมื่อวานนี้ เมื่อกี้นี้ คนนั้นว่าอย่างนี้ คนนั้นทำไอ้นี่ เราก็อย่าไปคัดค้านเขา ตั้งใจอย่างเดียว ว่าถ้าหากว่า ถ้าสิ่งที่เขาพูดมันจริง หรือไม่จริง เราต้องการทราบ พอต้องการทราบเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ปากเราคุย จิตมันก็รู้ได้ ภาพเหล่านั้น มันจะเกิดกับจิตทันที และจะพบว่าวาจาที่เขาพูด เรื่องที่เขาเล่าให้ฟัง มันมีความจริงหรือไม่มีความจริง เพียงใด นี่เป็นประโยชน์ใหญ่มาก

บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร เหตุการณ์ในอดีต รู้ได้ทั้งของคนของสัตว์ หรือของวัตถุ ก็เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่ติดในโลก ทั้งนี้เพราะอะไร

ใครที่ไหนที่มีความสุข ความทุกข์ มีอำนาจวาสนาบารมี ต่างคนต่างก็ตายหมด คนทั้งหลายเหล่านั้น จำนวนก็ไม่น้อย สมัยนั้น เขาก็ตายกันหมด ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่หามาด้วยความเหนื่อยยาก รบราฆ่าฟันกัน แย่งทรัพย์สินกัน แย่งคนรักกัน แย่งสถานที่กัน แย่งความเป็นใหญ่กัน ในที่สุดต่างคนต่างตายหมด

แล้วเราล่ะ จะนั่งเมาสถานที่ นั่งเมาบุคคล นั่งเมาทรัพย์สิน นั่งเมาอำนาจวาสนา แล้วมันจะดีตรงไหน ในที่สุดเราก็ตาย นี่เป็นปัจจัยให้เกิดความเบื่อหน่ายในการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือพรหม

ถ้าอยากจะทราบประวัติความเป็นมาของคน เห็นหน้าปั๊บ ได้ยินชื่อปั๊บ ต้องการรู้อดีต ต้องการ….รู้ทันที ว่าอดีตของบุคคลผู้นี้ (คำว่าอดีต คือ เวลาที่ผ่านมา แล้ว แม้แต่ ๑ วินาทีก็ถือว่าเป็นอดีต ถอยหลังออกไปจะยาวจะสั้นไม่สำคัญ) อยากรู้ว่าคนนี้ เขามีจริยาเป็นอย่างไร มีนิสัยเป็นอย่างไร มีอารมณ์ใจเป็นอย่างไร

ถ้าต้องการรู้อารมณ์ใจก็รู้ได้ เพราะความเป็นทิพย์ของจิต เราเรียกว่า “เจโตปริยญาณ” ความจริงไม่มีอะไรหรอกครับ “ความเป็นทิพย์ของจิตอย่างเดียว เรารู้หมด” ใช้อย่างไหนเรียกอย่างนั้น รู้จิตคนอื่น เรียกว่า “เจโตปริยญาณ”

ต้องการถอยหลังชาติของเราเอง เป็น “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ” รู้เรื่องราวในอดีตของคนอื่น ของสัตว์อื่นและของสถานที่เรียก “อตีตังสญาณ” ความจริงก็ ทิพจักขุญาณ ตัวเดียว ส่วนที่มีความสำคัญจริง ๆต้องฝึกฝนใน ทิพจักขุญาณ ให้มาก

ประวัติของผม

ผมก็เล่าประวัติของผม ไอ้ผมน่ะไม่ดีไม่เด่ละครับ ก็มีความรู้เป็ด ๆ นี่แหละ เอามาคุยกับพวกท่าน แต่ความจริงเป็ดนี่ก็ดีเหมือนกันนะ มันว่ายน้ำก็เป็น มันวิ่งก็ได้ มันบินก็ได้ มันเดินก็ได้ มันร้องก็ได้ ถึงแม้ว่าจะทำไม่ดีเท่าไก่ ทำไม่ดีเท่าปลา แต่มันก็ยังทำได้บ้าง

อย่างพวกเรานี่ ที่เราฝึก มโนมยิทธิ กัน ก็เป็นความรู้เป็ด ๆ ในพระพุทธศาสนา ที่เขาหา เขาคิดว่าวิเศษวิโสน่ะ ความจริงมันไม่ใช่ อันนี้เป็นความรู้เบื้องต้นในพระพุทธศาสนาจริงๆ

ผมเอง ก็รู้สึกขอบคุณบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่ท่านสงเคราะห์ผม สนับสนุนทุกอย่าง จนกระทั่งมีความเข้าใจในพุทธศาสนาตามสมควร

ชนต่างชาติเขาก็เก่ง

อย่าลืมว่า อตีตังสญาณ ก็ดี ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ก็ดี ทิพจักขุญาณ ก็ดี ญาณใด ๆ ก็ตาม ชนต่างชาติเขาก็เก่ง

อย่างเลขานุการเอกของสถานทูตสิงคโปร์ ท่านพลเอกทวนทอง สุวรรณทัต เป็นคนฝึกให้ คนนี้เก่งมาก ใครเดินผ่านหน้าแกไม่ได้ แกดูหมด ว่าคนนี้มีสภาวะความจริงของจิตใจเป็นอย่างไรและการมานี่มีอะไรบ้าง เบื้องหลังที่ตาไม่เห็นแกเช็คหมด แล้วแกก็ฝึกภรรยา ฝึกลูกของแกให้ทำได้ ทั้งบิดามารดาของแกที่สิงคโปร์แกก็ทำได้

มีคนเคยถามว่า
“ก่อนจะเกิดเป็นชาวสิงคโปร์ เขาเคยเกิดที่ไหน?”

แกก้มหน้านิดตอบได้ทันที เงยหน้าขึ้นมา แกบอกว่า
“ก่อนที่จะไปเกิดที่นั่น เดิมทีแกเป็นลูกชาวนาของเมืองไทย เป็นคนไทย”

อย่างกับฝรั่งที่เดนเวอร์ สหรัฐอเมริกา ความจริงทั้ง ชิคาโก เดนเวอร์ แคลิ-ฟอร์เนีย เขาเก่งทั้งหมด แต่มีคนหนึ่งที่ผมชอบล้อ แกเป็นผู้หญิงตัวใหญ่ คนนี้ถามอะไรปั๊บ ก้มหน้าปุ๊บ เงยหน้าปั๊บ ตอบทันที เรื่องการระลึกชาติถอยหลัง แกรู้แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง ถ้าจะถามว่า แกโม้เรอะ ไม่ใช่ ผมถามสิ่งที่ผมรู้ และแกก็ตอบตรงกับที่ผมรู้ อันนี้มันเป็นเรื่องจริง เราควรจะภูมิใจ

อย่าทำตนให้ลืมความเป็นพระ

ขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมทั้งหลาย เราเป็นพระไทยที่ประกาศตนว่า เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพวกเราก็พากันเย่อหยิ่งในใจ ว่าประเทศไทยรักษาพระพุทธศาสนาได้ดีกว่าทุกประเทศ

ความจริงพระพุทธศาสนา ต่างประเทศเขาอาจจะมีเหมือนเรา หรืออาจจะมีดีกว่าเราก็ได้ เราไม่รู้ ที่เราพูดว่าเรารักษาไว้ได้ดีกว่าทุกประเทศ อาจจะมีสภาพเป็นคางคกในกะลาครอบก็ได้ ที่เราไม่มองหน้าคนอื่นเขา ไม่ดูหน้าเขา ว่าหน้าเขากับหน้าเรา ใครมันแจ่มใสกว่ากัน

เวลานี้ชาวอเมริกากันขาว-ชาวอเมริกันดำ และก็ชาวเยอรมัน เจ๊กที่สิงคโปร์เขาทำกันได้ และก็คล่องตัว แต่พวกเรา ที่เป็นภิกษุสามเณร เป็นพระ หรือเป็นเณร ….มีความสำคัญมากจงอย่าคิดว่าของเหล่านี้ยาก ถ้าคิดว่ายากก็แย่ ทั้งนี้เพราะอะไร

เพราะว่าญาติโยมพุทธบริษัททั้งผู้หญิง ผู้ชาย ทั้งเด็กผู้ใหญ่ มีการคล่อง ตัวมาก นักเรียนนักศึกษาเขาได้กันมากและคล่องตัวดีด้วย สภาพความเป็นทิพย์ของจิตเขา มีสภาพแจ่มใส

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาพระเณร ระวังกาย ระวังใจ ระวังวาจาไว้ให้มาก อย่าทำตนให้ลืมความเป็นพระ อย่าทำตนให้ลืมความเป็นเณร เพราะอะไร เพราะว่า ญาติโยมพุทธบริษัท มากท่าน ที่ทำได้ ท่านชอบเช็คพระ ตั้งแต่โลกันตนรกถึงนิพพาน

แต่ปรากฏว่าไปพบเอาพระช้างสีดอของเมืองไทย ในโลกันตนรกบ้าง ในอเวจีมหานรกบ้าง ขุมอื่นมีน้อย และก็พระช้างเผือกที่อยู่สวรรค์บ้าง พรหมโลกบ้าง เลยพรหมบ้าง

ถ้าถามว่าเป็นพระสมัยไหน เขาไม่ดูสมัยไกลน่ะซี เขาเล่นในสมัยใกล้ๆสมัยรัตนโกสินทร์นี่ก็ชอบชมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสมัยปัจจุบันนี่ เขาพบกันมากมาย

บางท่านก็เกิดความสลดใจ บอกว่า ความจริงท่านมีจริยาดีมาก เรียบร้อยดีทุกอย่าง สงบเสงี่ยมเรียบร้อย เรียกว่าน่าเลื่อมใสน่าไหว้น่าบูชา แต่ว่าพอตายไปแล้ว ลงอเวจีบ้าง ลงนรกโลกันต์บ้าง เขาก็ใช้การทบทวนถาม เรียกขึ้นมาถามได้จากขุมนรก

ท่านผู้นั้นก็เล่าตามความเป็นจริงทุกอย่าง เอาเงินเข้าบ้านบ้าง เอาของเข้าบ้านบ้าง ของที่ชาวบ้านเขาถวายมา บางท่านก็ทำตัวหมดสภาพความเป็นพระเลย เป็นฆราวาสที่ห่มผ้าเหลือง มีลูกมีเมียได้ ก็รวมความว่าท่านไม่ไหว

เรื่องนี้บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย ต้องระมัดระวัง

ดูพระที่ควรบูชา

ก็มีญาติโยมมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี แถวสระยายโสม ครูถามถึงความต้องการของพระ พระที่ท่านควรจะบูชา อันนี้เขาดูถอยหลังไปได้ ยังไม่ตายนะ ยังไม่ตายเขาใช้ ปัจจุปปันนังสญาณ กับ อตีตังสญาณ

ปัจจุปปันนังสญาณ ว่าปัจจุบันนี้ ท่านประพฤติดี หรือประพฤติชั่ว ควรจะบูชาหรือไม่ควรบูชา

อตีตังสญาณ ถอยหลังไปอีกนิดหนึ่ง ท่านทำอะไรไว้ ที่เป็นการควรบูชาหรือไม่ควรบูชา

ความจริงความรู้นี้ก็ดี เป็นเหตุให้บรรดาญาติโยมทั้งหลายรู้จักว่า พระองค์ไหนควรบูชา พระองค์ไหนไม่ควรบูชา จะได้พยายามผ่อนปรนค่อย ๆ กัน ดันพวกทำลายพระพุทธศาสนาให้สลายตัวไป ที่ท่านปลอมเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ไม่หวังดีในการปฏิบัติ หวังอย่างเดียวคือทรัพย์สินในการเลี้ยงชีพ อันนี้เป็นการทำลายความดี ของบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระพุทธศาสนา

ต้องทำจิตให้มีสภาพแจ่มใส

และก็อย่าลืมว่า ชาวต่างชาติเขามีความฉลาดมาก เขามีการคล่องตัวมาก บรรดาพวกท่านทั้งหลาย ที่นั่งอยู่ที่นี่ ท่านเป็นพระ เราไม่ได้แข่งกับเขา แต่ว่าในฐานะเราเป็นเจ้าของบ้าน ที่เราคุยกับเขาว่าเรามีพระพุทธศาสนา เราต้องพยายามทำให้มีสภาพแจ่มใส

ความจริงเขาจะดีขนาดไหน เป็นเรื่องของเขา เราทำให้ดีที่สุด อารมณ์ติดในชีวิตคิดว่า มันไม่ตาย เลิกคิด ยอมรับนับถือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ให้ทรงตัว พยายามทรงศีลให้บริสุทธิ์

จงอย่าคิดว่าอาบัติแสดงได้ ถ้าแสดงทีไร มันตกนรกทุกทีนะ ขึ้นชื่อว่าความชั่ว มันชั่วแล้วมันดีไม่ได้ ตั้งใจไว้โดยเฉพาะว่า เราบวชเพื่อนิพพาน ตามพระบาลีว่า

“นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหต๎วา” ซึ่งแปลเป็นใจความว่า “ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มา เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน”

อย่างนี้จิตจะสดใสทุกวัน สมกับเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.

<< ก่อนหน้า                 อ่านต่อ >>

ขอเชิญฝึกมโนมยิทธิ ณ ศูนย์พุทธศรัทธา ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา ๑๒.๓๐ น.

คำถามคำตอบปัญหาเกี่ยวกับการฝึกมโนมยิทธิ โดยศูนย์พุทธศรัทธา

โพสท์ใน มโนมยิทธิ | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน มโนมยิทธิ ๒ อตีตังสญาณ

มโนมยิทธิ ๒ อนาคตังสญาณ

อนาคตังสญาณ
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

อนาคตังสญาณ นี่ก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน เป็น ทิพจักขุญาณ นั่นเอง ก็รวมความว่า เราปฏิบัติใน ทิพจักขุญาณ อย่างเดียว เป็นผลมาจากมโนมยิทธิ เราก็รู้อนาคตได้

อนาคตังสญาณ คือ รู้เหตุการณ์ข้างหน้า รู้เรื่องของเรา และรู้เรื่องของคนอื่น รู้เรื่องของสัตว์อื่น รู้เรื่องของสถานที่ และอยากจะทราบว่า (ถ้าเป็นคนไทยนะ) ประเทศไทยข้างหน้า จะเป็นอย่างไร จะหมดสภาพความเป็นไทยไหม ถ้าสงครามเกิดขึ้น (เวลานี้สงครามก็ล้อมรอบประเทศไทย)

อ่านหนังสือพิมพ์พบ ปรากฏว่าญวนยกทัพเข้ามาประชิดไล่เขมร แต่ติดเขตไทย และทางด้านลาวก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ คือ กลางแม่น้ำโขง ทางด้านจังหวัดน่าน เขาก็ชิดเข้ามา ทางด้านตะวันตกก็ไว้ใจไม่ได้ ทางด้านใต้ ตะวันตก ตะวันออกก็ไว้ใจไม่ได้ รวมความว่าในทะเลหลวง เราก็ไว้ใจไม่ได้

อยากจะรู้ว่า ในสถานที่รอบประเทศมีอะไรบ้าง เราก็ใช้กำลังของ มโนมยิทธิ ที่เราฝึก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทิพจักขุญาณ ดูก็ได้ ดู อนาคตังสญาณ ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะวุ่นวายขนาดไหน ใครจะเป็นอะไรบ้าง อันนี้เราต้องการ…ทราบได้

ใช้กำลังของ มโนมยิทธิ ไปดูสถานที่ตั้ง ทิพจักขุญาณ เราก็ทราบ เห็นสถานที่ตั้งได้ แต่มันไม่ชัดนัก ไม่แน่ใจ ไปให้มันถึงที่ โดยใช้กำลังของ มโนมยิทธิ ไปในที่ตั้งของเขาเลย เขาตั้งกองทหารอยู่ที่ไหน มีอาวุธอะไรบ้าง และมีกำลังเท่าไร บางทีเห็นแล้วจะตกใจ เพราะอาวุธของเขามากมายเหลือเกิน ของประเทศไทยเรามีไม่เท่าเขา

กำลังคนไม่สำคัญ ความสามารถสำคัญ ความฉลาดสำคัญ ความสามัคคีสำคัญ ที่เราจะทรงความเป็นไทยไว้ได้หรือไม่ได้ เราทราบ

เราทราบถึงการปะทะ ระหว่างทหารไทยกับทหารข้าศึก ว่ามีสภาพเป็นอย่างไรในวันหน้า เราก็ทราบ จะได้สร้างความสบายใจให้ปรากฏ

เรื่องการทราบข้างหน้านี่ การพูดอย่างนี้ ไม่ได้สอนธรรมะกันอย่างเดียว มันเป็นเรื่องประวัติของผมด้วย แต่อย่าลืมนะครับ ไอ้เรื่องการทราบข้างหน้านี่ผมกลายเป็นคนบ้ามาหลายปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ผมก็พูดเรื่องน้ำมันในประเทศไทย ว่า “ในประเทศไทยมีน้ำมันมหาศาล มีทั้งแกสทั้งน้ำมัน” เวลานั้นกลิ่นคาวน้ำมันยังไม่ปรากฏ แต่สิ่งที่ปรากฏตามเสียงผมพูด คือ มีเสียงย้อนเข้ามาถึงหูว่าผมบ้า

เขาหาว่าผมบ้า

ผมก็เลยนั่งนิ่ง ๆ ใครจะว่าดี ใครจะว่าชั่ว เป็นเรื่องของท่านผู้นั้น จะมีความ เห็น เราไปทำลายความเห็นกันไม่ได้ เรามีสิทธิ์จะพูดตามความที่เรารู้เราก็พูด ท่านก็มีสิทธิ์ที่จะตำหนิจะด่าจะว่า เป็นเรื่องของท่าน

ถ้าอาการอย่างนั้นปรากฏขึ้น อย่าลืมนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “นัตถิ โลเก อนินทิโต” คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก วัตถุต่าง ๆ ที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น หิน ปูน เป็นต้น ก็ยังถูกนินทา แม้แต่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาเอง ก็ยังถูกนินทา เขานินทายังไม่พอ เขายังด่าพระองค์ต่อหน้าอีกด้วย

ฉะนั้นทุกคนให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปสะดุ้งอย่าไปสะเทือน เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขานินทา เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขาติเตียน เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขาด่า เราก็ทำตามเรื่อง เราอยากจะทำอะไรตามความรู้ของเรา เราก็ทำ ท่านอยากจะด่าเราตามความรู้สึกของท่าน ท่านก็ด่า ให้เป็นเรื่องของท่านไป

ได้รู้วิถีชีวิตของเราเอง ว่าข้างหน้าเราจะเป็นอย่างไร

อนาคตังสญาณ นี่มีประโยชน์มาก ได้รู้วิถีชีวิตของเราเอง ว่าข้างหน้าเราจะเป็นอย่างไร เวลาที่เรายังไม่ตาย ปีไหนจะมีสภาพเป็นอย่างไร จะป่วยไข้ไม่สบายเป็นยังไง จะมีความดี จะมีคนชม จะมีคนติเป็นยังไง ชีวิตเราจะรุ่งเรือง หรือจะซบเซาเป็นอย่างไร เราต้องการรู้ รู้แล้วก็บันทึกไว้ อย่าพูดไป รู้ไว้คนเดียว กาลเวลามันยังไม่ถึง ทางที่ดี รู้ยาว ๆ และก็ รู้สั้น ๆ ด้วย

คำว่า รู้ยาว ๆ หมายความว่า รู้ข้างหน้าไกลออกไปหลาย ๆ ปี หรือตลอดชีวิต และก็ รู้สั้น ๆ ก็วันสองวัน ห้าวันหกวัน เก้าวันสิบวัน นี่สำคัญมากเป็นเครื่อง วัดระยะยาว ที่เราเข้าใจ มีความรู้สึก มันจะถูกจะต้องไหม ถ้าระยะสั้นถูก ระยะยาวมันก็ถูก ถ้าระยะสั้นไม่ถูก ระยะยาวก็ไม่ถูก นี่ให้มีความรู้สึกตามนี้

แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราก็รู้เรื่องของเราไป ถ้าระยะสั้น ระยะยาวมันถูกหมด เราก็ดูอนาคตไกลแสนไกล นั่นคือ ตายไปแล้ว เราตายไปแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน ก็วัดกำลังใจของเราไว้ด้วย ตายไปแล้ว จะไปอยู่สวรรค์ หรืออยู่พรหมโลก หรือว่าไปนิพพาน

หรือว่าสถานสามสถานไม่เป็นที่พอใจ เราอาจจะเป็นมนุษย์ หรือว่าจะถอยหลังไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก ดูกฎของกรรมที่เราทำ มันจะให้ผลไปไหน อันนี้เราก็ทราบ

เมื่อเราทราบเรื่องของเราได้ เราก็ทราบเรื่องของคนอื่นได้

ว่าคนที่เราสัมผัส ที่เราคบหาสมาคม เขาจะดี หรือเขาจะเลว เวลานี้เขาดี เวลาหน้าเขาเป็นอย่างไร

ไอ้ผมน่ะมันก็เป็นคนจัญไร เรารู้แล้ว ความจริงเราเฉย ๆ ไว้ดีกว่า ความเมตตาเป็นปัจจัยให้เกิดความเร่าร้อนเหมือนกัน ถ้าเมตตาไม่ถูกทาง และผมก็เคยผ่านมาแล้ว ให้ความเมตตาปรานี แต่ความดีไม่ปรากฏ สิ่งที่สะท้อนย้อนหลังเข้ามา คือ เพื่อนเลวไม่ต้องการ พอดีแล้ว เขาลืมเลย อันนี้เยอะ

แต่ต่อไป ความเร่าร้อน ความทุกข์ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เกิดขึ้น ความปรารถนาไม่สมหวังเกิดขึ้น พอย้อนถอยหลัง กลับเข้ามาใหม่ ทีนี้ทำอย่างไร ผมก็รับในฐานะที่ผมคิดว่า “ผมเป็นมิตรที่ดีของคนทุกคนและสัตว์ทุกประเภทในโลก”

ผมถือว่า ผมจะเป็นมิตรที่ดี ตามกำลังใจที่ผมจะอดทนได้ แต่ว่าเรื่องการสงเคราะห์แบบนั้นก็เลิกกัน ถืออุเบกขา ถ้ามาถาม ก็จะบอกว่าไม่มีอะไรแล้ว เวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างวางหมด ผมก็วางจริง ๆ ครับ วางหมด หมายความว่า ผมไม่ยุ่งกับเรื่องของใคร ใครเขาจะดี เขาจะเลว เป็นยังไง จะพยากรณ์ให้ไม่มีอีก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะผมเข็ด

อนาคตังสญาณของคนอื่น

บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ที่มีกำลังศรัทธาในพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ท่านก็ดี มีหลายประเภท บางท่านก็องอาจ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส บางท่านก็นั่งขรึมอะไรของท่าน แต่ละคนจริยาไม่เหมือนกัน บางท่านก็มีความเมตตาปรานีโอภาปราศรัยดี บางท่านก็เงียบ

เราก็ใช้ อนาคตังสญาณ ว่าพระองค์นี้ ถ้าตายจากความเป็นคน จะเป็นเทวดา หรือจะเป็นพรหม หรือจะไปนิพพาน หรือว่าท่านไม่อยากจะไป จะถอยหลังกลับไปโลกันตนรก อเวจีมหานรก หรือนรกขุมไหน เป็นเปรต เป็นอสุรกายก็ได้

ใช้ อนาคตังสญาณ ดู ถ้าดูแล้ว เห็นแล้ว มีความเข้าใจแล้ว บันทึกไว้ วันหลังทำใจให้สบายลืมเรื่องเก่าเสียก่อน ลืมเรื่องที่บันทึกไว้ก่อน รวบรวมกำลังใจไปนิพพาน ถ้าจิตไปถึงตรงนั้น มันเป็นอุเบกขาจริง ๆ ไม่ยุ่งกับอะไรทั้งหมด จิตสะอาดมาก

หลังจากนั้นก็ทิ้งเรื่องเก่า กราบทูลถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ว่าคนนั้น ต่อไปข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ชีวิตในความเป็นมนุษย์ ชีวิตเมื่อตายแล้ว ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่เป็นพระอรหันต์ในเวลานั้น สมเด็จพระภควันต์ ก็สามารถจะบอกได้ ท่านบอกได้แน่

ก็มีคนหลายคนที่ท่าทางอีเหละเขะขะ ๆ ท่าทางมองกันแล้วไม่ค่อยจะดีนัก แต่ว่าความรู้สึกว่าเวลาข้างหน้าคนนี้จะดี แล้วเก็บความรู้สึกไว้ บางทีจะคิดว่าเราจะมีความเมตตาเกินไป แต่ว่าในที่สุดเขาก็ดีตามนั้น

ทำบุญจะไม่ผิดบุญ จะไม่ต้องถูกเขาหลอกลวง

นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน ถ้าใช้ อนาคตังสญาณ ทำบุญจะไม่ผิดบุญ จะไม่ต้องถูกเขาหลอกลวง ก็เคยพบมามาก ระยะใกล้ ๆ เห็นญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายเอาเงินไปทอดกฐินบ้าง ผ้าป่าบ้าง อันนี้ไม่ใช่ทั่วไปนะ อาตมาพบในสถานที่ใกล้จริง ๆ ของอาตมา พอกฐินเข้ามา ผ้าป่าเข้ามา ก็มีเหล้าเต็มศาลา เลี้ยงเหล้าเอะอะโวยวาย ได้ รับกฐินผ้าป่าที ห้าหมื่นหกหมื่น ถึงแสนก็มี ผ้าป่าทั้งปีรับหลายครั้ง คิดแล้วปีละเป็นแสน แต่ว่าไม่มีอะไรปรากฏขึ้นมาเลย เงินหมด อย่างนี้ชื่อว่าเป็นการทำบุญผิด

ถ้าเราใช้ อนาคตังสญาณ หรือ เจโตปริยญาณ ก็ได้

เจโตปริยญาณ ดูกำลังใจของบุคคลผู้รับผลทานจากเรา ที่เราไปทำบุญ หรือ ถวายเป็นทาน ทอดกฐิน ผ้าป่า

แต่ว่า อนาคตตังสญาณ ดูข้างหน้า ว่าเงินจำนวนนี้ ถ้าเราไปถวายไว้ เงินจะไปไหนบ้าง เราก็จะทราบชัด

ถ้ารู้ว่าเงินมันไปผิดทาง เราก็ไม่ให้เสียเลยก็หมดเรื่อง ไม่ทำ และก่อนจะไปจองกฐิน ก่อนจะไปบุ๊คสถานที่ที่เราทำบุญ เราก็ดูเสียก่อนว่า ควรทำหรือไม่ควรทำ อันนี้จะมีประโยชน์แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท จะไม่มีการสูญเสียอะไรทั้งหมด

ฝึกกำลังใจ ให้เห็นชัดทุกวัน ทุกเวลาที่ต้องการ

แต่อย่าลืมนะ รักษากำลังใจ ตามที่กล่าวมา ภาพพระพุทธรูปก็ดี ภาพพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พยายามทรงเวลาให้มันทรงตัว จับให้ชัดเจนแจ่มใสไว้ อย่าลืม ฝึกกำลังใจ ให้เห็นชัดทุกวัน ทุกเวลาที่เราต้องการ

ยามว่างเกิดขึ้นเมื่อไร ใช้กำลังใจจับพระรูปพระโฉมทันที หรือ จับภาพพระพุทธรูปแก้วใส ที่เราใช้เป็นนิมิต ให้ติดตาติดใจไว้ตลอดเวลา

ต้องหัดทรงสมาธิตลอดเวลา

บอกว่าไม่มีเวลาจะทำ โถ… ไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องใช้เวลามาก นึกเมื่อไรเห็นปั๊บ นึกเมื่อไรเห็นปั๊บ ยามปกติของผม สมัยที่ผมฝึก ผมเห็นของผมได้ตลอดวันตลอดคืน เว้นไว้แต่หลับ ถ้าเห็นภาพพระในอก เห็นภาพพระคลุมตัวผม ผมจะชื่นใจ จิตมีความสุข

และการ ภาวนา นี่ ผมก็แปลกกว่าคนอื่นเขา อาจจะมีคนดีกว่าผมก็มาก นั่นคือ เวลาเดินบิณฑบาต ผมแทนที่จะว่า พุทโธ สัมมาอรหัง เป็นต้น ผมล่อ อิติปิโส ทั้งบท ว่าทั้งบทนี่เราไม่ลืม ต้องพยายามนึกในใจเบา ๆ ช้า ๆ ให้เคลื่อนไปจนกว่าจะจบ จนกว่าจะเดินไปบิณฑบาต จนกว่าจะเดินกลับ จนกว่าจะเลิก เข้ามากลับถึงที่ นั่นแหละ ผมถึงจะเลิกภาวนา อิติปิโส ทำอย่างนี้จิตใจชุ่มชื่น มีอารมณ์ทรงตัว

เมื่อใช้บทยาว ๆ ภาวนา ธุระที่จะคุยมันก็คุยไม่ได้ ถ้าคุยแล้วภาวนาจะขาด เราก็เลยไม่อยากจะคุย ในเมื่อไม่คุย จิตคุมอารมณ์ ผลต่าง ๆ มันก็เกิดตามมาทั้ง หมด ญาณต่าง ๆ มันก็เกิดปรากฏขึ้น และการจะใช้อารมณ์เข้าคุยกับเทวดาหรือพรหม หรือใครก็ตาม จะใช้เวลาได้แบบตามสบาย ๆ และการนึกถึง อิติปิโส กว่าจะไปบิณฑบาตกลับ มันไม่ใช่เวลาเล็กน้อย

นั่นหมายความว่า หัดทรงสมาธิทั้ง ๆ ที่มีงาน อันนี้มีความสำคัญมาก นักเจริญสมาธิเฉพาะเวลาสงัด ใช้ไม่ได้.

<< ก่อนหน้า                 อ่านต่อ >>

ขอเชิญฝึกมโนมยิทธิ ณ ศูนย์พุทธศรัทธา ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา ๑๒.๓๐ น.

คำถามคำตอบปัญหาเกี่ยวกับการฝึกมโนมยิทธิ โดยศูนย์พุทธศรัทธา

โพสท์ใน มโนมยิทธิ | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน มโนมยิทธิ ๒ อนาคตังสญาณ

มโนมยิทธิ ๒ ปัจจุปปันนังสญาณ-ยถากรรมมุตาญาณ

ปัจจุปปันนังสญาณ และ ยถากรรมมุตาญาณ
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

ปัจจุปปันนังสญาณ

ปัจจุปปันนังสญาณ นี่มีประโยชน์ ในการที่เราจะรู้ว่าปัจจุบันใครอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ มีชีวิตอยู่ หรือว่าตายไปแล้ว มีความสุข หรือว่ามีความทุกข์ ผลงานที่เราสั่งงานไว้ที่โน่นที่นี่ เขาทำดีตามที่เราสั่งไหม หรือว่ามีการบิดพริ้วเป็นประการใด

อันนี้มีความจำเป็น บรรดาท่านพุทธบริษัท จำเป็นจะต้องรู้ และก็จำเป็นจะต้องทำ เพื่อเป็นความสุขของเรา

ยถากรรมมุตาญาณ

ยถากรรมมุตาญาณ เป็นญาณเครื่องบอกให้รู้ว่า ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ความเสียหายก็ดี ความได้กำไรก็ดี ที่ปรากฏขึ้นมาเวลานี้ เป็นผลของความดีมาจากไหน

นั่นก็หมายความว่า ถ้าเรารวยขึ้นมามีลาภสักการะมาก ลาภเกิดจากผลอะไร ผลความดีในชาติปัจจุบัน หรือผลความดีในชาติที่เป็นอดีต ชาติในอดีต ชาติไหน เราทำอะไรไว้ ภาพนั้นจะปรากฏ ถ้าผลงานมันขาดทุน เราก็ทราบอีกเหมือนกันว่า ขาดทุนเพราะกรรมอะไร เราทำพลาดเพราะใช้ปัญญาน้อยไป ใช้ความละเอียดลออน้อยไป หรือว่ากรรมอะไรที่เราเคยรบกวนเขาไว้ เข้ามาสั่งสม มาทำลาย มาสนองเรา

ดูการป่วยไข้ไม่สบาย

ความจริง ยถากรรมมุตาญาณ มีประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องการป่วยไข้ไม่สบาย ยถากรรมมุตาญาณ ก็บอกเหมือนกัน

เราทราบว่าการป่วยไข้ไม่สบายนี้ เราไม่ชอบ มันเสียเงิน เสียทอง เสียเวลา เสียทรัพย์สิน เสียความสุข แม้เราไม่ชอบ แต่เราก็ต้องดู อย่าไปนั่งบ่น อย่าไปนั่งว่า ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่ากรรมเก่า ๆ หรือกรรมใหม่ที่เราทำไว้

อย่างในสมัยผมเป็นเด็ก ๆ ก็ไม่เด็กนักละ ผมบวชแล้วนะ ก่อนที่ผมจะมีพรรษาครบ ๒๐ พรรษาอยู่ ๔ ปี เวลานั้น ผมกำลังอาบน้ำอยู่ที่หน้าวัด ผมทำงานทั้งวัน งานตั้งแต่เช้า เวลาผมหนุ่ม ๆ ผมทำงานยันกลางคืน ญาติโยมมาหาก็รับแขก ญาติโยมกลับไปแล้วผมก็ทำงาน ทำงานกลางวันไม่เสร็จ ผมก็ทำกลางคืน

เป็นอันว่า วันนั้นมันร้อนจัด ผมทำงาน ก่อนจะทำวัตรเย็น ผมไปอาบน้ำที่หน้าวัด ลงไปแช่น้ำได้ประมาณ ๕ นาที ร่างกายมันเย็น จิตใจก็ชุ่มชื่น เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่านับตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป จะต้องป่วยและต้องนอนโรงพยาบาล ๒ ปี

ไอ้การนอนโรงพยาบาลนี่ ไม่ใช่เพียบแปร้ ไม่ใช่เพียบ แต่ถ้าไม่เข้ามันเพียบ เข้าไปแล้วมันก็สบาย ออกมาเมื่อไรอาการเพียบแปร้อีก อาการจะไม่ซ้ำกัน แต่เข้าไปมันก็สบาย จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลจริง ๆ ๒ ปี แต่ตอนต้น อาจจะเข้า อาจจะออกบ้าง และก็ต้องไปพักฟื้นอีก ๑ ปีใกล้ ๆ โรงพยาบาล ซึ่งหมอจะติดตามรักษาให้

ความรู้สึกเกิดขึ้น ในขณะที่มีความเย็น ก็เชื่อกำลังใจ ว่าความจริงอย่างนี้ต้องปรากฏ แต่ว่า คนอย่างผม ไอ้นี่ผมก็ไม่ได้อวดนะ ผมไม่เคยไว้วางใจผมเลย ความรู้สึกของผมไม่ไว้วางใจ ผมปล่อยเวลาทิ้งช่วงไป ประมาณ ๑ อาทิตย์ วันหนึ่ง ตอนเช้ามืด ทำจิต ตอนตี ๒ เป็นปกติ ผมก็ลุกขึ้นทำกรรมฐานของผม

บางคืนผมนอนชั่วโมงเดียว บางคืนก็ไม่ได้หลับเลย เช้าก็ทำงานต่อไปร่างกายในตอนนั้นมันดีมาก ร่างกายแข็งแรง กำลังก็ดี ไม่เหมือนเวลานี้ เวลานี้วันที่พูดนี่ก็โยเย ๆ เดินก็งง นั่งก็งง นอนก็งง ไม่มีความสุข ร่างกายไม่มีความสุข แต่ใจผมมีความสุข ถ้าถามว่า พูดได้อย่างไร มันจะแปลกอะไร ผมนั่งไม่ไหว ผมก็นอนพูด ก็ใช้ไมโครโฟน นี่เวลานี้ผมก็นอน ที่ฟังเสียงนี่ผมนอนพูด ผมตั้งใจว่าขณะใดที่ผมอยู่ในระหว่างธรรมะ ถ้ามันตายเวลานั้นผมพอใจ

ผมปล่อยเวลาไว้ ๑ อาทิตย์ ต่อมาตอนเช้ามืดทำจิตสบาย ขึ้นไปกราบถามตรงพระพุทธเจ้าถามว่าความรู้สึกของผมที่ปรากฏนั้นมันจะตรงตามความเป็นจริงไหม

ท่านก็บอกว่า “จริง งานการทุกอย่างต้องระมัดระวัง อย่าให้มันยาว เพราะป่วยคราวนี้ ไม่มีโอกาสจะออกมาทำงานต่อไปได้อีก”

ท่านก็บอกชัดว่า “การป่วยคราวนี้ มันเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ตัดงานภายใน และก็จะต้องแยก ยกตัวออกจากวัดไปอยู่ที่อื่น เพราะการป่วยคราวนี้เป็นการช่วยให้ทางจิตดีขึ้น ถ้าขืนอยู่ที่วัด กำลังใจจะไม่ดีขึ้นเลย ผลแห่งการตั้งใจมาก่อนเกิด จะไม่มีผล”

ผมก็ตกใจ ไอ้ผลการตั้งใจมาก่อนเกิด มันจะไม่มีผล ผมก็ถามว่า “ไอ้ก่อนเกิด ผมตั้งใจอะไรไว้”

ภาพนั้นท่านก็บอกว่า “ก่อนเกิดน่ะมาจากพรหม เดิมทีปรารถนาพุทธภูมิมาตลอดเวลา แล้วก็มาชาตินี้จะต้องบำเพ็ญบารมีให้ใกล้เต็ม ถ้าใกล้เต็ม ท่านก็บอกตรงๆว่า มีอายุถึง ๖๐ ปี บารมีพุทธภูมิจะเต็ม และก็จะไปอยู่ชั้นดุสิต แต่ว่าสิ่งที่ตกลงกันมาว่า จะมาลาพุทธภูมิ ลาพุทธภูมิลัดตัดทางไปเลย”

คำว่า “ตัดทางไปเลย” ผมไม่ได้หมายความว่า ผมจะเป็นพระอรหันต์ หมายความว่า ถ้าปรารถนาพุทธภูมิก็ช้านานมาก อยากจะลัดไปให้มันใกล้ทางซะ เป็นสาวกภูมิดีกว่า ยังไง ๆ เราก็ต้องมุ่งพระนิพพานเหมือนกันหมด

ท่านก็บอกว่า “ถ้าพูดถึงกฎของกรรม จากการเป็นนักรบ มีการฆ่าเขาบ้าง มีการทำลายทรัพย์สินเขาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎแห่งการฆ่าเขาหนักที่สุด ต้องมีเหตุให้ต้องนอนโรงพยาบาลจริง ๆ ๒ ปี

แต่ว่าไอ้การรบแต่ละครั้ง ก็ต้องประกอบด้วยความเมตตาปรานีเหมือนกัน ถ้ายึดพื้นที่เขาได้ ยึดคนได้ ก็ให้การเลี้ยงดูปูเสื่อทะนุถนอม ถ้าเขามีความทุกข์ ก็ช่วยให้เขามีความสุข เขาไม่มีกินก็ช่วยให้เขามีกิน”

ฉะนั้น ขณะที่ไปนอนที่โรงพยาบาล คนเก่า ๆ ที่เรารู้จักจะหาไม่ได้ จะมีสักคนสองคน ทุกคนเขาจะไม่มองเราเลย รวมความว่าเขาปล่อยให้ตายดีกว่า เขาจะคิดอย่างนั้นหรือไม่ ก็ไม่ทราบนะ นี่พูดเอาเอง แต่ว่าได้รับความเมตตาปรานีจากคนใหม่ คนใหม่ให้การอุปถัมภ์ค้ำชูเป็นอย่างดี

ยิ่งการเงิน ขณะที่เข้าโรงพยาบาลจะไม่มีติดตัว จะมีอย่างมากไม่เกิน ๒๐ บาท ไอ้ ๒๐ บาทนี่มันเป็นเงินประจำกระเป๋า คือถ้าจะไม่มีขนาดไหนก็ตาม จะเก็บไว้ ๒๐ บาทเป็นประจำ ถ้ามีมากกว่านั้นก็ทำบุญหมด

มีความรู้สึกว่า “ชีวิตของเราไม่มีความหมาย ตายแล้วเราเอาไปไม่ได้ ในเมื่อเราเอาไปไม่ได้ จะเก็บเอาไว้ทำไมให้มาก ทำให้มันเป็นประโยชน์แก่คนอื่น” ก็เลยทำบุญก่อสร้าง เลี้ยงพระหมด

แล้วก็ผลที่สุด ท่านก็เลยบอกว่า “เราจะไม่เป็นไร เมื่อถูกเขาทอดทิ้งมาก ๆ ความเบื่อหน่ายก็เกิด คนเก่าทอดทิ้ง แต่คนใหม่เขาเลี้ยง อันนี้เป็นกฎของกรรมของการยึดประเทศชาติเขา ทำให้คนเก่าเขามีความลำบาก แต่ว่าเมื่อเรายึดได้ เมืองไหนเป็นเชลย เราเลี้ยงเขาให้มีความสุข ฉะนั้นคนเก่า ๆ ที่เราเคยทะนุถนอมบำรุงมา เขาจะหลีก เขาจะไม่มองเรา ไม่มีใครสงเคราะห์ แต่คนใหม่จะเข้ามาสงเคราะห์”

ความจริง บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร เป็นความจริงตามนั้น ผมนอนป่วย ๒ ปี คนเก่าๆ ทายกเห็นหน้า ๒ คนเท่านั้นไปครั้งเดียว ไม่ได้เยี่ยมนะ ไปขอทรัพย์สินที่มีอยู่ ขอผมเถอะ ผมก็เลยบอกว่า ของทั้งหมดที่มีอยู่ที่วัด เป็นของสงฆ์ ผมออกมาจากวัด ผมไม่มีอำนาจอะไรเลย ผมคิดว่าเป็นของสงฆ์จริง ๆ ไม่ใช่เป็นเล่ห์เหลี่ยม

แล้วจากนั้นมา ก็ไม่มีใครเคยไปอีก แต่ว่าคนใหม่ที่ไม่เคยรู้จัก บรรดาท่านพุทธบริษัท อุ่นหนาฝาคั่งมาก เข้าไปนอนป่วยในที่นั้น พระที่เข้ามาป่วยก็ดี ฆราวาสก็ดี พลอยได้กินอาหาร วันหนึ่ง ๆ เต็มโต๊ะ โต๊ะใหญ่ ๆ เหลือแหล่ ข้าวของใช้ของกินบริบูรณ์ สมบูรณ์ นี่แหละเป็นผลจากการยึดชาติยึดเขตเขาได้ เราบำรุงเขา

บรรดาท่านพุทธบริษัท ยถากรรมมุตาญาณ มีประโยชน์อย่างนี้.

<< ก่อนหน้า                อ่านต่อ >>

ขอเชิญฝึกมโนมยิทธิ ณ ศูนย์พุทธศรัทธา ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา ๑๒.๓๐ น.

คำถามคำตอบปัญหาเกี่ยวกับการฝึกมโนมยิทธิ โดยศูนย์พุทธศรัทธา

โพสท์ใน มโนมยิทธิ | ติดป้ายกำกับ , , | ปิดความเห็น บน มโนมยิทธิ ๒ ปัจจุปปันนังสญาณ-ยถากรรมมุตาญาณ

มโนมยิทธิ ๒ ประโยชน์ของการเจริญมโนมยิทธิ

ประโยชน์ของการเจริญมโนมยิทธิ
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

ความจริงเวลานี้ (พ.ศ.๒๕๒๗) ทางคณะสงฆ์ได้ประกาศ ให้ทุกวัด เจริญสมาธิกรรมฐาน จะเป็นสมถะ-วิปัสสนาก็ได้ เป็นการเจริญสมาธิ แต่ความจริงผมก็ดีใจ ที่ผมไม่ต้องรอให้คณะสงฆ์ประกาศ ผมทำของผมมาแล้วเป็นสิบ ๆ ปี หลังจากที่หลวงพ่อปานฝึกให้ผมได้บ้างเป็นแบบเป็ด ๆ คือ ผมมีความรู้ในพระกรรมฐานแบบเป็ด และเป็ดก็ไม่ใช่เป็ดเทศ เป็นเป็ดไทย บินไม่เก่ง ร้องไม่เก่ง เดินไม่เก่ง เตาะแตะ ๆ ไปตามเรื่องตามราวของผม

ผมก็อุตส่าห์นำประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผมได้จาก มโนมยิทธิ มาแนะนำบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร และก็บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อุบาสก อุบาสิกา ความจริงด้าน วิชชาสาม หรือด้าน มโนมยิทธิ ผมปลุกปล้ำมาเป็นสิบๆ ปี ญาติโยมก็สนใจบ้าง ไม่สนใจบ้าง ผมก็ไม่ว่า ผมไม่เคยว่า ผมไม่เคยเบื่อ

และโดยเฉพาะด้าน สุกขวิปัสสโก ญาติโยมสนใจมาก ผมก็เอา ญาติโยมชอบอะไรผมก็ไปแบบนั้น ที่ไหนญาติโยมชอบ สุกขวิปัสสโก ผมก็แนะนำด้าน สุกขวิปัสสโก ญาติโยมที่ไหนต้องการด้าน เตวิชโช ผมก็แนะนำด้าน เตวิชโช ญาติโยมพวกไหนต้องการ ฉฬภิญโญ อันนี้ผมสอนไม่ได้ ผมสอนได้แต่ มโนมยิทธิ แบบเป็ด ๆ เรียกว่าพอไปถึงสวรรค์-นรกได้ ด้วยกำลังของใจ ไม่เอากายเนื้อไป เอากายในไป

ผมก็ดีใจ กว่าคณะสงฆ์จะแจ้งมานี่ ผมทำมาแล้ว แนะนำมาแล้วเกิน ๔๐ ปี ก็รวมความว่า ผมก็ดีใจที่คณะสงฆ์ท่านเห็นชอบด้วย เพราะการเจริญพระกรรมฐานได้ประโยชน์ใหญ่จริง ๆ

วัดนี้และหลายวัดที่เจริญรุ่งเรือง อาศัยมโนมยิทธิช่วย

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ท่านมาสัมมนาพระสังฆาธิการที่วัดนี่ ผมก็บังเอิญได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสังฆาธิการ คือเป็นเจ้าอาวาสเป็ด ๆ อีกนั่นแหละ ไม่กี่วัน… ความจริงตำแหน่งนี้ผมโยนทิ้งมาทีหนึ่งแล้ว และตำแหน่งต่าง ๆ ที่พึงได้ผมโยนทิ้งหมด ผมไม่เคยสนใจเพราะมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ แต่นี่เป็นการบังเอิญว่า “วัดนี้ผมสร้าง ผมหนีไม่ได้ ถ้าวัดนี้ผมไม่ได้สร้างนะ ผมหนีไปแล้ว”

แต่ความจริงวัดนี้เดิมทีมันมีสภาพเป็นวัดร้าง ออกพรรษามีเจ้าอาวาสอยู่องค์เดียว วัดก็มีแต่ทรุดโทรมมาตามลำดับ ไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่หายไป พระพุทธรูปก็หมดไป ฝากุฏิดี ๆ ก็หมดไป กุฏิดีๆก็หมดไป ของดี ๆ มีไม่ได้ ก็หมดไปทั้งนั้น ก็รวมความว่า มันมีสภาพจะถึงวาระร้างอยู่แล้ว

ผมก็โด๋เด๋ ๆ มาตามเรื่องตามราว แต่บังเอิญญาติโยมมาสนับสนุน ทีแรกคิดว่าจะทำนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วเปิดเข้าถ้ำเข้าป่าไปเลยดีกว่า ผมว่าอย่างนั้น แต่มาญาติโยมหลายท่านได้สนับสนุน เอาสตางค์มาให้ ผมไปก็ไม่ได้ ไปก็เป็นขโมยเงินเขาละซิ ถ้าจะวางให้คนอื่นก็มีหวัง…ไม่รู้จะวางให้ใคร ดีไม่ดีไปวางให้โจรเข้าปล้นเงินบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ผมก็พลอยตกนรกไปด้วย

ทีแรกก็ตัดสินใจว่า ทำแค่นั้นเสร็จ แค่นี้เสร็จ ก็จะไป ในเมื่อไปไม่ได้ก็สู้ คำว่า สู้ นี่ ไม่ใช่ไปสู้ไปตีกับเขา สู้กับกำลังศรัทธาของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เอาไงก็เอากัน วัดนี้ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้นี่ อาศัย มโนมยิทธิ ช่วย อาศัย กรรมฐาน ช่วย อันนี้เป็นตัวอย่าง

และก็มีหลายวัดที่พระท่านมาฝึกได้ออกไป มีคนเขามาแจ้งให้ทราบว่า พระองค์นั้นพระองค์นี้มาฝึก มโนมยิทธิ จากหลวงพ่อแล้ว ไปถึงวัดท่านรุ่งเรืองจริง ๆ วัดของท่านสง่างาม คนเข้าช่วยเหลือในการก่อสร้าง เพราะ พระกรรมฐาน เป็นปัจจัย

ใช้เจโตปริยญาณดูสภาพจิต ใช้อตีตังสญาณดูอดีต

นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร ผมว่าความสะอาดของจิตของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไปไหนท่านไม่เคยอด พระพุทธเจ้ามีพระมากเท่าไร ก็มีที่พักมีอาหารฉัน เพราะจิตของท่านสะอาด พวกเราความสะอาดของจิตไม่เท่าพระพุทธเจ้า

โดยเฉพาะอย่างผมก็ไม่สะอาดสะเอิด น่ากลัวจะลูบพอลื่น ๆ กระมั้ง จิตคงจะไม่มีสภาพจิตแจ่มใสเป็นดาวประกายพรึก ถ้าจิตเป็นดาวประกายพรึกนี่เป็นจิตของพระอรหันต์ ผมก็ไม่รู้ จิตผม ผมไม่ค่อยสนใจจิตใจของใคร เวลานี้ผมไม่สนใจใครทั้งหมด

เมื่อก่อนนี้ ผมก็แบบเดียวกับเลขานุการเอกสิงคโปร์ ที่ประจำประเทศไทย ลูกศิษย์พลเอกทวนทอง สุวรรณทัต นั่นแหละ ปรากฏว่าเจอะใคร ได้ยินชื่อใครไม่ได้ ล่อปั๊บทันที ได้ยินชื่อปั๊บอันดับแรกใช้ เจโตปริยญาณ ก่อน ดูจิตของคนนี้มีสภาพเป็นอย่างไร ดูไปดูมา…

อย่าลืมว่าในเวลานั้น ผมก็เป็นเป็ดตัวเล็ก ๆ เวลานี้ตัวใหญ่ก็เป็นเป็ดไทย ไม่ใช่เป็ดเทศ เป็นเป็ดตัวเล็ก ๆ ไปเจอะเอาพระองค์สำคัญเข้า พระองค์นี้สำคัญจริง ๆ พอเขาบอกชื่อปั๊บ ผมก็จับจิตปุ๊บ โอ้โฮ…องค์นี้ประวัติเบื้องหลัง ใช้ อตีตังสญาณ ยาวเหยียด ยาวนี่ไม่ใช่เลวเหยียดนะ ดีเหยียด ตั้งแต่บวชมาธุดงค์ตลอด เวลาที่ใกล้พรรษาที่ไหนขออาศัยวัดจำพรรษา พอออกพรรษาแล้วก็เดินธุดงค์ต่อไป และกำลังใจของท่านเวลานั้นท่านสูงกว่าผมมาก

ความจริงเวลานั้น ผมยังหนุ่มอยู่ และผมก็ยังเป็นเป็ด ที่เดินตัวเล็กๆ เดินเตาะแตะ ๆ เดินก็จะชนจะล้ม ไปดูใจท่านเข้าปั๊บ ท่านปิดปุ๊บทันที มืดตื้อเลย อันนี้เป็นเครื่องวัด ผมเชื่อมั่นเลยว่าพระองค์นี้ดีจริง ๆ ถ้าไม่ดีจริงปิดไม่ทัน อารมณ์ใจนี่ มันรู้กันได้ง่าย ๆ เมื่อไร ใครเขานึกอะไรมานี่ใครจะรู้ นี่เราพอนึกปั๊บท่านปิดปั๊บ หันมาเลย ยิ้ม ท่านพูดเรื่องอื่นอยู่ หันมาพูด “คนเรามันก็แปลกนะ ไอ้คนอื่นเขาได้ คิดว่าตัวจะได้บ้าง มันไม่มีทางจะทำกันได้”

คำว่า ไม่มีทางทำกันได้ หมายความว่า รู้ไม่ได้แน่ ฉันจะปิด … เท่านี้ผมชื่นใจ ผมกราบได้ทันที กราบด้วยความสนิทใจว่าท่านเก่งจริง ๆ อาการเก่งอย่างนี้ ตามสันนิษฐานของผมว่า พระองค์นี้ต้องไม่ใช่ อภิญญาหก เข้าใจว่าจะเป็น ปฏิสัมภิทาญาณ เพราะคุยกันอยู่แท้ ๆ คนตั้งเยอะ เรานึกปั๊บปิดปั๊บทันที แล้วหันมายิ้มเลย นี่เก่งจริง ๆ

พระดีในกรุงเทพฯ มีไม่น้อย ท่านไม่อวด ต้องระวัง

ความจริงในประเทศไทยเรา อย่างนี้มีเยอะ ในกรุงเทพ ฯ ก็มี อย่าไปนึกว่าพระในกรุงเทพ ฯ ไม่ดีนะ มีดีนะเยอะเชียว จะไปชนพระดีตาย แต่ความจริงพระดีท่านไม่โอ่โถงนะ เราไปคุยกับท่านก็แบบธรรมดา ๆ ดีไม่ดีจะคิดว่าไอ้หลวงตาถุ่ย ๆ องค์นี้ไม่มีความหมาย ระวังให้ดีนะ

ระวังให้ดีนะ เพราะพวกนี้ท่านไม่มีอะไรจะอวด เพราะความจริง มหาเศรษฐีจะนำทรัพย์มหาศาลไปอวดขอทาน มันก็ไม่ได้ประโยชน์ และขอทานแกจะมีอะไรมาเบ่ง พระดี ๆ ก็เหมือนกัน ที่ผมเข้าไป ท่านก็ทำจ๋อง ๆ เพราะอะไรรู้ไหม

เพราะผมเป็นสภาพขอทาน ขอทานคือความดีผมมีนิดเดียวกระจุ๋มกระจิ๋ม ๆ ก็ไอ้เป็ดเดินเปาะแปะ ๆ และจะไปชนกับพระที่มีความดีได้อย่างไร ท่านก็เลยไม่รู้จะเอาอะไรมาอวด ท่านก็เลยเก็บเงียบ ทำเหมือนคนไม่มีอะไร นี่เป็นความดีของท่าน เราดีไม่เท่าท่าน ท่านก็ถ่อมตัวลงมา เป็นความดีที่ควรบูชา

อบรมศีลธรรม ไม่เกิดประโยชน์

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่บรรดาทางราชการมั้ง เห็นพระท่านว่านะ พระท่านบอกว่า ทางราชการขอให้พระอบรมศีลธรรม แต่ความจริงเรื่องอบรมศีลธรรมนี่ นิมนต์ผมไปที่ไหนผมไม่ไป และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรหลายวัดที่บอกให้ผมไปพูดที่นั่นพูดที่นี่

อย่าให้บอกเลยครับ ผมไม่ไปแน่นอน ถ้าขืนไปแล้ว มันไม่ได้ประโยชน์ โทษก็เกิดกับผมด้วย นั่นคือ ผมป่วยไข้ไม่สบาย แก่แล้ว เวลาจะพักผ่อนก็ไม่มี เวลาไปถึงที่ ก็ให้นั่งแกร่วรอถึงเวลาพูด พูดแล้วก็นั่งแกร่วอีก ไม่มีเวลาพักผ่อน อันนี้มันไม่ไหวจริง ๆ

และอีกประการหนึ่ง การพูดไม่มีผล ผมเทศน์มาตั้ง ๒๐ ปี ไม่เคยมีญาติโยมเลิกสุรา ไม่เคยดีขึ้นเลย ไปเทศน์ทีไรก็แค่นั้น ไปทีไรก็แค่นั้น ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นรับจ้างเทศน์ไป บางแห่งเขารู้สึกว่า ผมไปรับจ้างเขาเทศน์ ไปเทศน์เอาเงิน ผมก็เลยท้อใจไม่เกิดประโยชน์ ก็เลยมานั่งคิดใหม่ว่า ทำอย่างไรหนอ จะสนองคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ กลับมาใหม่ มาว่ากันเรื่อง พระกรรมฐาน

พระกรรมฐาน

จึงมาพิจารณาด้าน สุกขวิปัสสโก ผลน้อยอีก ญาติโยมทำได้ ญาติโยมมักจะคุยกัน ว่าเวลานั่ง นั่งนานเท่านั้น นั่งนานเท่านี้ อารมณ์แบบนั้น อารมณ์แบบนี้ มันก็ไม่จริง และก็รักษาอารมณ์ได้ไม่จริง ก็เลยคิดว่าจะสอน สองในวิชชาสาม และก็ มโนมยิทธิ

ที่ว่า สองในวิชชาสาม เป็นฌานโลกีย์เป็นสมาธิต่ำๆ ความจริงไม่ถึงฌาน สองในวิชชาสาม นี่ ขึ้นด้วยอุปจารสมาธิ ยังไม่ถึงฌานสมาบัติ ก็ผมบอกแล้วนี่ว่าผมเป็นเป็ด ไป ๆ มา ๆ ก็มาจับได้ สองในวิชชาสาม โยมเอาไม่ได้อีก หาวิธีการต่างๆ หลายอย่างหลายแบบ ให้สร้างพระพุทธรูป เพ่งพระพุทธรูป ดูพระแก้ว ดูพระทอง ก็ไม่ไหวอีก ไปไม่รอด

ไปไม่รอดทำอย่างไร ? หันมาจับ มโนมยิทธิ เถอะ มโนมยิทธิ ตามกำลังที่ผมศึกษามา ยังไง ๆ โยมรับไม่ไหวแน่ เพราะต้องใช้กำลังมาก ใช้เวลามาก ไม่เหมาะกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท และก็ไม่เหมาะกับพระที่บวชใหม่ ๆ ใช้เวลาน้อย ๆ ในที่สุด ก็มาหาทางให้ง่าย และให้เร็ว ตามที่ฝึกอยู่เวลานี้ กว่าจะค้นพบก็นาน

การฝึกมโนมยิทธิ มีประโยชน์แบบไหน

มโนมยิทธิ นี่เป็นจุดบังคับจริง ๆ ถ้าญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิงที่มาฝึกนี่ ผมก็ไม่มั่นใจว่าท่านจะรักษาได้ทุกคน มีบางรายให้ไปแล้วสูญ ทำได้แล้วกลับไปบ้านไม่กล้าทำ เพราะไม่มีครูสอน

อันนี้เราก็ไม่ติกัน เพราะอะไร ความเข้มแข็งของจิต ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า “บารมี” ไม่เสมอกัน ท่านมีกำลังต่ำแค่นั้น เราจับโยนขึ้นไปที่สูงยอดไม้ ท่านก็หล่น

บางรายทำไปได้แล้ว ไปปล่อยให้เฝือ แล้วบอก ไปที่บ้านมันไม่สว่างไสว คือ ไม่สามารถจะทำให้แจ่มใสเหมือนเมื่ออยู่วัด อันนี้ก็ทราบได้ว่า กลับไปบ้านท่านไปทำศีลขาดตามเดิม ท่านไม่ทรงความดีเหมือนที่ปฏิบัติอยู่ที่นี่ ปฏิบัติอยู่ที่นี่ท่านรักษาความดีไว้ได้ สภาพของจิตยังสดใส อารมณ์ยังเป็นโลกียวิสัยนี่มันไม่ทรงตัว

แต่ว่าส่วนใหญ่ดีมาก เพราะอะไร เป็นกฎตายตัวของ มโนมยิทธิ ที่ต้องทำ มันก็ตรงกับที่คณะสงฆ์ขอร้องมา ฟังตามนี้นะ ญาติโยมพุทธบริษัทก็ดี บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรที่นั่งฟังก็ดี คือว่า จะให้ทรงตัวจริง ๆ ต้องเอา อุทุมพริกสูตร มาอ่านกัน ว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้อย่างไร ผมจะเล่าโดยย่อ ๆ

สะเก็ดความดีในพระพุทธศาสนา

สำหรับด้าน สะเก็ด พระพุทธเจ้าพูดไว้มาก ผมย่อเอา คือ

๑.เราไม่สนใจจริยาของใครเลย
๒.ไม่โอ้อวด
๓.ไม่ยกตนข่มท่าน
๔.ไม่ถือตัวเกินไป

เอาย่อ ๆ เท่านี้ ความดีขนาดนี้ พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า สะเก็ด ยังไม่ใหญ่โต เข้าไปเกาะ สะเก็ดนิด ๆ ของพระพุทธศาสนา อันนี้ต้องสังเกต ถ้าใครปฏิบัติไม่ได้อย่างนี้ ก็เกาะ สะเก็ด ไม่ได้ ไม่ต้องไปดูต่อไปแล้ว ญาติโยมที่รักษา มโนมยิทธิ ไว้ได้ดี ท่านรักษาไว้ได้ดี

เปลือกความดีในพระพุทธศาสนา

และอันดับที่สอง การเข้าถึง เปลือก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

เราต้องไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
ไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล
ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว

ก็รวมความว่า เราจะรักษาศีลให้ครบถ้วนแจ่มใส และหลังจากนั้น จิตมีความเข้มแข็ง สามารถระงับนิวรณ์ได้ทันทีทันใด ตามที่เราต้องการ

ไอ้นิวรณ์ กับปฐมฌาน เป็นศัตรูกัน ถ้าขณะใด อารมณ์ของนิวรณ์นิดหนึ่งอย่างใดอย่างหนึ่งมีขึ้นในจิต เวลานั้นกำลังของสมาธิจะสลายตัวทันที เวลาใดที่จิตระงับจากนิวรณ์ นิวรณ์ไม่ฟู สงบ เวลานั้นกำลังจิตเป็นสมาธิเป็นปฐมฌานทันทีเหมือนกัน โดยไม่ต้องภาวนา ไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้านิวรณ์ไม่ฟูขึ้น ปฐมฌานก็เข้ามา ถ้านิวรณ์มา ปฐมฌานก็ไป ก็แลกกันไปแลกกันมาอย่างนี้

และประการต่อไป อาการที่จะทรงตัว มีความแจ่มใสของจิต จิตจะผ่องใส ต้องการรู้ ต้องการเห็นอะไร เมื่อไร ได้ทันทีทันใด และก็มีสภาพไม่ผิด แจ่มใสด้วย นั่นก็คือ พรหมวิหาร ๔ พรหมวิหาร ๔ คือ

เมตตา ความรัก มีความรู้สึกไว้เสมอว่าเราจะรักคนรักสัตว์เสมอด้วยตัวเรา เราอยากจะฆ่าตัวเราไหม ไม่มีใครอยากฆ่า อยากจะขโมยของเราไปทิ้งไหม เราไม่มี รวมความ เราจะรักเขาเป็นมิตรที่ดีสำหรับเขา

ถ้าโอกาสมี เราจะเกื้อกูลเขาให้มีความสุข ตามกำลังที่เราจะพึงทำ

เราจะไม่อิจฉาริษยาใคร เมื่อบุคคลอื่นได้ดีพลอยยินดีด้วย

ใครเพลี่ยงพล้ำ เราไม่ซ้ำเติม เราวางเฉย

อารมณ์อย่างนี้ บรรดาพุทธบริษัท พรหมวิหาร ๔ นี่ถ้าประจำใจไว้เสมอ ศีลก็บริสุทธิ์ ทาน จาคะก็สมบูรณ์แบบ และก็สมาธิก็ตั้งมั่น วิปัสสนาญาณ คือปัญญาก็แจ่มใส เพราะอารมณ์ใจเยือกเย็น เป็นกำลังใหญ่ ตัดโลภะ-ความโลภ ตัดโทสะ-ความโกรธ ตัดโมหะ-ความหลง จิตจะสะอาดอยู่ตลอดเวลา จิตมีความเยือกเย็น อารมณ์เป็นฌานตลอดเวลา ต้องการจะรู้อะไรขึ้นมา ระงับนิวรณ์ปั๊บเดียว มีความรู้สึก จิตแจ่มใสสะอาดทันที ทำได้อย่างนี้ ถือว่าเป็นการทรงฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์จะทรงตัว ไม่มีการเสื่อมคลาย ไม่มีการถอยหลัง อันนี้ญาติโยมพุทธบริษัททำได้ดีมาก เยอะ

รักษาอารมณ์ทั้งหมดนี้ พระพุทธเจ้าทรงเรียกเข้าถึง เปลือก ที่พระองค์ทรงสอน แต่ว่า เปลือก ความดีที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำได้เยอะจริงๆ รักษาไว้ได้ดี ทำให้โลก ทำให้ประเทศชาติมีความเยือกเย็น มีความสามัคคีกัน มีศรัทธา-ปสาทะดี

กระพี้ความดีในพระพุทธศาสนา

และต่อไป ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติได้ นี่เข้าถึง กระพี้

ถึงแม้จะเป็นการระลึกชาติแบบเป็ด ๆ เขาก็ทำกันได้ บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย บางท่านฟังแล้วจะหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม หาก็หาไปเถอะ แต่อย่าลืม คนเขาทำได้ เวลานี้ เวลาฝึก ครูเขาฝึกกัน ผมไม่ได้ฝึกเอง ผมเป็นแต่เพียงประธาน นอนเป็นประธานอยู่ที่นั่นบ้าง นอนเป็นประธานอยู่ที่กุฏิบ้าง บางทีหายใจครอก ๆ ทำท่าจะตายบ้าง บางทีก็นั่งโงงเงง ๆ

อย่างเมื่อสองวันนี่ เมื่อวานกับวันนี้โงงเงงบอกไม่ถูก วันที่ ๑๗ กับวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๒๗ มันจะทรงตัวไม่ไหว วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ชาวสามพรานมา ๗๐ คนกว่า ลงรับไม่ได้ มันไม่ไหวจริง ๆ ทรงตัวไม่ได้ วันที่ ๑๘ ดีอยู่พักหนึ่ง ตอนเย็นชักจะไม่ไหวอีกเหมือนกัน เวลานี้ก็เลยต้องนอนพูด สบาย พูดมันไปอย่างนี้ ถ้ามันจะตาย ระหว่างธรรมะก็ยอม อันนี้ประโยชน์ใหญ่

สำหรับ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติ ญาติโยมก็สามารถทำกันได้ อย่าลืมว่าครูเป็นเป็ด ลูกศิษย์คงจะไม่ใช่หงส์ แต่ดีไม่ดีลูกศิษย์อาจจะเป็นหงส์ก็ได้

อย่างท่าน โลลุทายี ท่านไม่เอาไหน แต่สามารถแนะนำ ให้พระทั้งหลาย สามารถไปได้ดี เขาไม่ได้เรียนมาจากท่าน เขาเรียนมาจากพระพุทธเจ้า แต่ว่าบางรายท่านก็ทำเขาเปิดไปเหมือนกัน

สำหรับท่าน โลลุทายี ท่านไม่ใช่เป็ด ท่านเป็นห่าน อย่างท่าน จักขุบาล นี่ท่านเป็นวิสัยสุกขวิปัสสโก แต่พระที่อยู่กับท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณกันเป็นแถว นี่จะถือว่าครูเป็นเป็ด แล้วลูกศิษย์จะเป็นเป็ดเสมอไปไม่ใช่ ครูเป็นเป็ด ลูกศิษย์อาจจะเป็นหงส์ทองก็ได้

ฉะนั้นผมก็ในขั้น อักขาตาโร ตถาคตา การประพฤติปฏิบัติเป็นหน้าที่ของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและเพื่อนภิกษุสามเณร ผมมีหน้าที่บอกเท่านั้นเอง ผู้รับฟังอาจจะทำได้ดีกว่าผู้บอกเยอะแยะไป ถมเถไป เป็นอันว่า กระพี้ในพระพุทธศาสนา ญาติโยมก็สามารถทรงตัวได้

แก่นความดีในพระพุทธศาสนา

ต่อมา แก่น จุตูปปาตญาณ หรือ ทิพจักขุญาณ ท่านก็ทำกันได้ดีอีก และต่อมา ปัจจุปปันนังสญาณ ก็ดี อตีตังสญาณ ก็ดี อนาคตังสญาณ ก็ดี ท่านทำกันได้ดีมาก

ดีจนกระทั่งท่องเที่ยวไปเจอะพระในนรก เป็นพระช้างสีดอซะด้วย และก็โลกันต์บ้าง อเวจีบ้าง และก็ไปเจอะพระในปัจจุบันนี่ใกล้ๆ ในสวรรค์บ้าง พรหมโลกบ้าง เลยพรหมไปบ้าง ทำให้กำลังใจญาติโยมพุทธบริษัทมั่นคงในความดี และก็สลดหดหู่ท้อถอยในความชั่ว อย่าลืมว่าทุกคนยังเป็นปุถุชนยังไม่หนักแน่นนัก อาจจะพลาดได้ แต่พลาดน้อยดีกว่าพลาดเป็นปกติ

ตายแล้วไม่สูญ

คำแนะนำที่ให้แนะนำไว้เป็นปกติ ก็คือ ทุกคนจงอย่าลืมความตายและตายแล้วไม่ใช่ตายสูญ ตายสูญอีกศาสนาหนึ่งไม่รู้ศาสนาไหน ได้ยินเสียงทางวิทยุบ้าง โทรทัศน์บ้าง หนังสือบ้าง “ตายแล้วสูญ” ก็เป็นเรื่องของท่าน เราอย่าไปตำหนิท่าน เมื่อท่านจะสูญก็เป็นเรื่องของท่าน พวกเราลูกศิษย์พระพุทธเจ้า “เราไม่สูญ”

เราไม่สูญ เพราะว่า เขาได้ อตีตังสญาณ ถอยหลัง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ถอยหลัง เขารู้ เขาเคยเกิดมาแล้วตั้งหลายแสนวาระ หลายแสนอสงไขยกัป เขาก็ยังไม่สูญ

อนาคตังสญาณ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร สามารถพิสูจน์พระที่ใหญ่ ใหญ่โดยฐานะ ใหญ่กว่าตัวท่านเอง ฐานะสูงกว่า อันดับไหนก็ตาม ว่าจะไปทางไหน เขาทราบ และ ปัจจุปปันนังสญาณ ไปชนกันในนรกเลย และสามารถคุยกันได้ รู้ปฏิปทาความชั่ว

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็ทำให้ทุกคนทราบ และเกิดความกลัว ว่าถ้าเราทำอย่างนั้นบ้าง อาจจะต้องมีโทษอย่างนี้ อันนี้ก็ต้องเป็น อนาคตังสญาณ พิสูจน์ตัวเองว่า ถ้าทำอย่างนั้นจะไปที่ไหน ก็ทราบได้อีก

ตอนนี้ล่ะ บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร เป็นเหตุให้บรรดาพระก็ดี ฆราวาสก็ดีที่เขาได้แล้ว เขามีความมั่นคง เอาเฉพาะคนที่มั่นคงนะ ที่เลอะเทอะมาประเดี๋ยวไปน่ะ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร บางทีมาคืนเดียวไป ผมไม่ใช่พระพุทธเจ้า มาประเดี๋ยวเดียวจะได้อะไร และก็มา ๆ ไป ๆ

ประเภทมาคืนเดียวนี่ผมไม่สนใจ ไม่สนใจเพราะท่านไม่เอาจริง แค่ใช้เวลา ๖-๗ วัน มันเป็นของไม่หนัก ชีวิตท่านทั้งชีวิต ท่านยังอยู่ไปอีกนาน แค่เวลาว่าง ๕-๖ วัน ว่างไม่ได้ ผมก็ไม่สนใจ ถ้าใครมาอยู่เพื่อปฏิบัติ ๓-๔ วัน ๕-๖ วัน ถึง ๗ วัน ผมสนใจเป็นพิเศษ บางทีผมป่วยไข้ไม่สบาย ผมคลานต้วมเตี้ยม ๆ ไปให้กำลังใจ ลงไปสอนเองให้กำลังใจ คนอย่างนี้ท่านดี

นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร และก็วัดหลายวัดที่ได้รับความรู้นี้ไป ทำให้วัดเจริญรุ่งเรือง คนที่เขารู้เหตุรู้ผล รู้กฎของบุญ รู้ผลของบุญ รู้ผลของบาป เขาก็ละความชั่ว เข้ามาทำความดี วัดเป็นศูนย์กลางแห่งการทำความดี

เป็นอันว่า ประโยชน์ของมโนมยิทธิ นี้ ประโยชน์ใหญ่มาก ทำให้คน มีความเข้าใจ ตั้งใจในเขตแดนของความสงบสุข และก็ ปลดเปลื้องความทุกข์ คือ ไม่ทำความทุกข์ให้เกิดแก่ผู้อื่น.

คัดลอกจาก หนังสือ พ่อสอนลูก
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

จากหนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

และจาก เทปคำบรรยาย
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

ขอเชิญฝึกมโนมยิทธิ ณ ศูนย์พุทธศรัทธา ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา ๑๒.๐๐ น.

คำถามคำตอบปัญหาเกี่ยวกับการฝึกมโนมยิทธิ โดยศูนย์พุทธศรัทธา

โพสท์ใน มโนมยิทธิ | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน มโนมยิทธิ ๒ ประโยชน์ของการเจริญมโนมยิทธิ

ปกิณกะธรรม หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ปกิณกะธรรม
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)

      มีข้อธรรมมากมาย ที่มักมีผู้สงสัยใคร่รู้อยู่เป็นจำนวนมาก และหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ท่านได้เมตตาแสดงไว้ในที่ต่างๆ ศูนย์พุทธศรัทธา จึงคัดเลือกและรวบรวมประมวลข้อธรรมดังกล่าวเป็น ปกิณกะธรรม

 

ปกิณกะธรรม
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)

 

๑.หนี้กรรมการฆ่าสัตว์

ให้จำไว้ด้วยว่า สัตว์ทุกประเภท เนื้อแท้จริงๆเขาเป็นคน อาศัยคนที่ทำความชั่ว ทำตัวให้ตกในบาปอกุศล เมื่อตกอบายภูมิคือนรกมาแล้ว ผ่านนรก ผ่านเปรต ผ่านอสุรกายมาแล้ว ก็มาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นการชำระกรรมหนักขั้นสุดท้าย แต่ว่าไม่ใช่ชีวิตเดียวนะ

ชำระกรรมหนักขั้นสุดท้ายนี้ ไม่ใช่ครั้งเดียว เคยฆ่าปลามากี่ตัว ต้องเกิดเป็นปลาให้เขาฆ่าเท่านั้นครั้ง หนักใจตรงเกิดเป็นยุงละซี่ จำไม่ได้ ถือว่าต้องใช้ชีวิตตามที่ฆ่าเขา พวกทำได้กำไรที่สุดคือพวกเรือตังเก โอ้โฮ วันหนึ่งแกล่อเป็นลำๆ เลย ไปเห็นใจหายวาบ ไอ้สัตว์ทุกประเภทก็คือคน ก็รวมความว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันใช่ไหม ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก แล้วก็รักสุข เกลียดทุกข์เหมือนกัน

 

๒.อายุขัยและวิธีต่ออายุ

การต่ออายุก็ต้องทำให้มันถูก ถ้าทำไม่ถูกแล้วก็เสียเงินเปล่า ถ้าบังเอิญเป็นอายุขัยต่อเท่าไรก็ไม่สำเร็จผล เพราะเชื้อไฟเดิมดับ หมดบุญบารมีที่ทำมา การหมดบุญบารมีนั้นแม้อายุขัยก็ไม่แน่ บางคนเป็นเด็กก็หมดอายุขัย บางคนเป็นหนุ่มเป็นสาว บางคนวัยกลางคน บางคนก็ถึงวัยแก่ อายุขัยนี่ไม่แน่นอนนัก คำว่าอายุขัยนี่หมายความว่า ก่อนที่จะเกิด กฎของกรรมดีหรือกรรมชั่ว กำหนดชีวิตให้มาเท่าไร ถ้ากำหนดชีวิตมา ๒๐ ปี ก็ต้องแค่ ๒๐ ปี ๑๐ ปีก็ต้อง ๑๐ ปี ๓ วันก็ต้อง ๓ วัน นี่เป็นอายุขัย ต่อไม่ได้ ถ้าตายก่อนนั้นเขาเรียก อุปฆาตกรรม หรือว่า อกาลมรณะ อย่างนี้ต่อได้

และถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย จะต่ออายุแบบนี้ ก็ต่อมันทุกวันก็หมดเรื่องกัน วิธีต่อทุกวันก็หมายความว่า ให้ทุกท่านมีความเคารพในพระรัตนตรัย คือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์อย่างจริงจัง และต้องเว้นจากกรรมที่เป็นปาณาติบาต ถ้ามีเวลา เดินผ่านไปมีใครเขาหาปลาหาเต่าที่เขาจะฆ่ามันให้ตาย ก็ซื้อพอกำลังที่เราจะซื้อได้ แล้วก็นำไปปล่อยในที่ปลอดภัย ไม่ใช่ปล่อยในหม้อข้าวหม้อแกงของเรานะ ไปปล่อยในสถานที่ที่เขาจะมีความสุข ในแม่น้ำก็ได้ในหนองคลองบึงก็ได้ ปล่อยให้เขารอดชีวิต

 

๓.วิธีต่ออายุป้องกันอุปฆาตกรรม

ตามวิธีโบราณจารย์ ท่านสอนไว้อย่างนี้นะว่า วิธีต่ออายุใหญ่ คือถึงปีหนึ่งถ้าเป็นวันเกิดหรือเป็นวันสำคัญของเรา วันไหนก็ได้ ทำกับข้าวทำอาหารพิเศษตามที่เราพอใจ เท่าที่ทุนจะพึงมี จัดการใส่บาตรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็ถ้าหากว่ามีเงิน ก็สร้างพระพุทธรูปสักองค์

พระพุทธรูปนี้จะเป็นพระดินเหนียวก็ได้ พระปูนซิเมนต์ก็ได้ เป็นปูนพลาสเตอร์ก็ได้ หรือพระโลหะก็ได้ ไม่จำกัด เพราะเป็นรูปพระแล้ว มีอานิสงส์เสมอกัน แต่ต้องมีหน้าตักไม่น้อยกว่า ๔ นิ้ว ถวายไว้เป็นสมบัติของสงฆ์

หลังจากนั้นก็เอาสัตว์ที่จะพึงถูกฆ่าตาย อย่างที่เขานำเอามาขายเพื่อแกงหรือที่เขาทอดแหสุ่มปลาได้ ถ้ามีสตางค์ก็ไปซื้อเขาสักตัวสองตัวตามกำลังแล้วปล่อยไป และก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและเทวดาที่ปกปักรักษาชีวิตเรา

ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้เป็นนิจ คำว่าอุปฆาตกรรม คือกรรมที่เข้ามาลิดรอนก่อนอายุขัยก็ดี และอกาลมรณะการที่จะตายก่อนอายุขัยก็ดี จะไม่มีสำหรับผู้ที่ทำแบบนี้ แต่ทว่าถ้ากรรมอย่างนี้เข้ามาถึง แค่ป่วยไม่มากก็เป็นของธรรมดา

 

๔.วิธีช่วยคนป่วยใกล้ตาย

การช่วยคนป่วยหนักจริง ๆ อย่าปล่อยให้หนักจนกระทั่งไม่มีความรู้สึก ตอนที่สติยังดีอยู่ ให้นิมนต์พระไปสวดสักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่สวดพระอภิธรรม แต่เป็นการสวดพระปริตร วงสายสิญจน์ล้อมรอบ ถ้าผู้ป่วยจะต้องตายเพราะสิ้นอายุขัยก็ต้องตายแน่ สายสิญจน์ป้องกันไม่ได้ แต่ว่าถ้าท่านผู้นั้นจะตาย อย่าลืมว่าคนป่วยก็เหมือนคนที่ตกน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็น เราส่งอะไรให้เกาะ เขาก็จะเกาะ ส่งไม้ให้เกาะเธอก็เกาะ ส่งสุนัขเน่าให้เกาะเธอก็เกาะ เพราะต้องการมีชีวิตอยู่

ก็เช่นกัน ถ้าคนป่วยเห็นพระสวดพระปริตร ก่อนสวดมีการสมาทานศีล จิตของคนป่วยในตอนนั้น ก็จะรับสมาทานศีลด้วยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ ทำให้เป็นคนที่มีศีล เวลาที่มีการสวดพระปริตร จิตก็จะฟังพระสวดด้วยความเคารพ จิตจะยึดอยู่กับพระ หลังจากพระกลับแล้ว จิตจะจับอารมณ์นั้นตลอด ในขณะป่วยไม่มีโอกาสทำลายศีล เพราะกำลังป่วยไม่สามารถจะไปฆ่าใครหรือไปลักขโมยใคร ถือว่าเป็นคนป่วยที่มีศีลบริสุทธิ์ ถ้ามีการถวายทานด้วย ไม่ว่าทานนั้นจะเป็นธูปเทียน ดอกไม้ ปัจจัยหรือโภชนาหารก็ตาม ถือว่าเป็นการถวายทานแก่พระสงฆ์ กำลังของทานจะช่วยคนป่วยได้อีกแรงหนึ่ง

อีกประการหนึ่ง ด้านอนุสสติ ถ้ามีพระพุทธรูปด้วย จิตของเธอจะจับพระพุทธรูปเป็นพุทธานุสสติ จำเสียงสวดมนต์เป็นธรรมานุสสติ การนึกถึงพระสงฆ์ที่สวดก็เป็นสังฆานุสสติ ถ้าเป็นอายุขัยที่จะพึงตาย บาปกรรมใดๆ ที่ทำมาแล้วในกาลก่อนจะไม่มีโอกาสให้ผลในเวลานั้น เหลือแต่บุญอย่างเดียวที่จะประคับประคองคนนั้น ให้ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก หรือไปนิพพาน

 

๕.อานิสงส์การถวายสังฆทาน

การถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิต และถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์มีศรัทธาแท้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวาย เกิดไปทุกชาติขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็ญใจไม่มี ในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน คนที่ถวายสังฆทานแล้วจะไม่ไปเกิดที่นั่น ผลที่ให้ไปไกลมาก กล่าวว่าแม้แต่พระพุทธญาณเองก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทาน

คำว่าไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทาน บำเพ็ญบารมีแล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมด นี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน

ทีนี้การถวายทานแก่พระ มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่ง คือหมายความว่า ถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕ ประการอย่างนี้ เราถวายกี่หมื่นกี่แสน อานิสงส์ก็ไม่มาก จะถวายสักเท่าไรอานิสงส์ได้แต่ว่าไม่มาก

ถ้าหากว่าถวายแก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มี ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ บางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านก็เป็นพระอริยเจ้าก็เข้าถึงผลสมาบัติ เป็นต้น อย่างนี้มีผลมาก


๖.วิหารทาน (การก่อสร้างถาวรวัตถุ)

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าการถวายทานกับพระองค์เอง ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้งมีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้

แต่มีบางท่านบอกว่า พระนี่ไม่น่าจะทำการก่อสร้าง ควรจะสอนคนให้เป็นพระหรือสอนให้เป็นคน สอนคนให้เป็นคนน่ะไม่ต้องไปสอนเขา เขาเป็นคนกันอยู่แล้ว ทีนี้สอนคนให้เป็นมนุษย์น่ะสอนยาก สอนคนให้เป็นพระนี่สอนยาก ในเมื่อญาติโยมพุทธบริษัทมีใจเป็นพระขึ้นมา ทำไมจะต้องลิดรอนกำลังใจกัน เพราะการก่อสร้างเป็นความดีของญาติโยม การทำบุญทุกอย่างเป็นเรื่องของพระ ถ้าคนจิตใจไม่ถึงพระนี่ทำบุญไม่ได้เลย

 

๗.วัตถุมงคล

การแจกพระ บางท่านอาจจะคิดว่าไม่มีผลหรือทำให้คนติดวัตถุ ถ้าถือว่าเป็นวัตถุก็น่าติ แต่ถ้าถือว่าเป็นพระก็ต้องคิด ที่พ่อแจกพ่อไม่เคยโฆษณาว่าพระที่พ่อแจกไปมีอานุภาพอะไร มีความต้องการอยู่อย่างเดียวคือ ให้คนมีความรู้สึกว่ามีพระอยู่ที่ตัว อารมณ์ที่รู้สึกว่ามีพระอยู่กับตัวอารมณ์ย่อมเป็นกุศล กุศลนิดหน่อยถ้ามีความรู้สึกบ่อยๆ สามารถทำให้คนที่ตายไปแล้ว จิตนึกถึงพระอยู่เสมอ อย่างเบาก็เกิดเป็นเทวดา อย่างกลางก็เกิดเป็นพรหม อย่างสูงก็ไปนิพพาน

แบบพ่อค้าที่หวังกำไรน้อย แต่ได้บ่อยๆ ก็รวยได้ฉันนั้น แต่ทว่าความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นเป็นอย่างไรนั้น พ่อไม่คำนึง คำนึงอย่างเดียวคือสงเคราะห์คนบารมีอ่อน คนที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี พ่อไม่ห่วง พวกนั้นท่านไม่ต้องเกาะราวหรือไม้เท้าก็เดินไหว สำหรับคนที่บารมีอ่อน ยังต้องเกาะราวและไม้เท้า จึงต้องอาศัยวัตถุคือพระพุทธรูปสงเคราะห์

 

๘.การฟังธรรมในสมัยพุทธกาล

คนสมัยนั้นท่านฟังเทศน์ครั้งเดียวก็จบกิจ ท่านไม่ได้ฟังเฉยๆ หมายความว่า ฟังด้วยความตั้งใจ การตั้งใจจำถ้อยคำที่พระพุทธเจ้าเทศน์ ตัวนี้เป็นสมาธิ และเมื่อจำแล้วก็พยายามคิดตามไปด้วย ตัวนี้เป็นปัญญา

ฉะนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ คนทุกคนพร้อมไปด้วยศีล หมายความว่าเวลานั้นใจเราบริสุทธิ์ ปราศจากปัญจเวร ๕ ประการ และมีความตั้งใจฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา และคิดตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์โสภาคด้วยปัญญา เมื่อเทศน์จบ ใจท่านก็จบจากกิจของพระพุทธศาสนา นั่นคือเป็นพระอรหันต์ หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านทำได้อย่างนั้น ก็เชื่อว่าจะมีผลเช่นเดียวกัน

 

โพสท์ใน ธรรมะหลวงพ่อฤาษีฯ, ปกิณกะธรรม | ติดป้ายกำกับ , | 3 ความเห็น

ภาพพิธีเททองหล่อสมเด็จองค์ปฐม ทรงเครื่องพระเจ้าจักรพรรดิ

พิธีเททองหล่อสมเด็จองค์ปฐม ทรงเครื่องพระเจ้าจักรพรรดิ หน้าตัก ๓ ศอก
วันมาฆบูชา ๒๕๔๗ ณ ศูนย์พุทธศรัทธา ชมภาพและโมทนาบุญร่วมกันครับ

อ่านเพิ่มเติม

โพสท์ใน สมเด็จองค์ปฐม, สมเด็จองค์ปฐม ศูนย์พุทธศรัทธา | ติดป้ายกำกับ , , | ปิดความเห็น บน ภาพพิธีเททองหล่อสมเด็จองค์ปฐม ทรงเครื่องพระเจ้าจักรพรรดิ