ปัญหาการปฏิบัติพระกรรมฐาน(๒)

หลวงพ่อฤๅษี ตอบปัญหาการปฏิบัติพระกรรมฐาน

ผู้ถาม:- “ขอนมัสการครับ กระผมขอทราบว่า สภาวะจิตสงบ จิตเป็นสมาธิ จิตเป็นภวังค์ จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ มีสภาวะแตกต่างกันอย่างไรครับ…?”

หลวงพ่อ:- “ถามมา ๔ ข้อ แต่ตอบได้ ๒ ข้อ มันแตกต่างกันแค่ จิตเป็นภวังค์ อย่างเดียว นอกนั้นอย่างเดียวกัน จิตสงบ จิตเป็นสมาธิ จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ ก็คือ จิตเป็นสมาธิ ก็หมายความว่าจิตตั้งอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง

อย่างโยมอยากจะไปขโมยควายเขา ตั้งใจว่าควายบ้านนี้กูขโมยแน่ นี่เป็นสมาธิ คือตัวตั้งใจอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเขาเรียกว่าสมาธิ แต่ว่าสมาธิแบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาสมาธิ กับ มิจฉาสมาธิ ตั้งใจขโมยควายเขา เป็นมิจฉาสมาธิ ถ้าตั้งใจสร้างความดี เป็นสัมมาสมาธิ”

ผู้ถาม:- “ตามที่กระผมอ่านในตำรา เขาบอกว่าจิตขึ้นมารับอารมณ์ชั่วขณะจิต พอหมดไปแล้วบอกว่าจิตเป็นภวังค์ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จึงขอเรียนถามหลวงพ่อว่า จิตเป็นภวังค์ หมายความว่าอย่างไรครับ…?”

หลวงพ่อ:- “คำว่า ภวังค์ นี่ก็คืออารมณ์ปกติ ส่วนมากคนมักเข้าใจกันผิด พอจิตตกมีสภาพวูบดิ่ง จิตทรงตัว บอกว่าเป็นภวังค์ อย่างนี้ไม่ใช่นะ พูดง่ายๆ อารมณ์ธรรมดานี่แหละ อารมณ์ไม่ได้ความนี่เอง

เอาเรื่องง่ายๆ ไม่ดีกว่าหรือ…พระพุทธเจ้าท่านสอนง่ายกว่านี้มีเยอะ ทำไมถึงชอบยากๆ กินหมูมีกระดูกมาก กินปลามีก้างมาก มันจะดีรึ

เอาอย่างนี้ดีกว่า ทำยังไงที่จะไม่ให้จิตคบกับนิวรณ์ ๕ ได้ มีประโยชน์มากกว่าตั้งเยอะ อย่างที่โยมว่าอีกหลายชาติก็ยังไม่ถึงนิพพาน ระวังมันจะมีมานะ ไปนั่งเถียงกัน แกไม่รู้จักขณะจิต พังเลย เราแย่ คนที่คิดน่ะแย่ มานะนี่หยาบมาก ยกยอดทิ้งไปเลย ไปงั้นไม่มีทางไป

ที่ว่ามานะ ฉันอ่านมาแล้ว ฉันหมุนมาแล้ว จึงเลิก โยมยังไม่เลิก เพราะว่าศัพท์ประเภทนี้มันเหมาะสำหรับคนสมัยนั้น คนสมัยนี้ไม่ควรจะใช้ศัพท์สมัยนั้นมาก เพราะว่าอุปนิสัยของคนไม่เท่าคนสมัยนั้น คำสอนแต่ละคำสอนแต่ละช่วงจะเหมาะสำหรับคนแต่ละสมัย คนที่สั่งสมอบรมมาดีแล้ว ถ้าเราไปพูดยาวแทนที่จะดี กลับทำให้รำคาญ เพราะคนพวกนี้ใกล้เต็มที่ ไอ้คนจะถึงประตู ไปอธิบายต้นทางมันก็รำคาญ ใช่ไหม…ว่าไง โยม มีอะไรอีกไหม…?”

ผู้ถาม:- “ขออาราธนาหลวงพ่อเทศน์เรื่อย ๆ ไปครับ”

หลวงพ่อ:- “ฉันก็เหนื่อยน่ะซิ เครื่องกัณฑ์มีรึยังล่ะ นิมนต์เทศน์ก็ต้องติดเครื่องกัณฑ์ ถ้าอธิบายไม่ต้องติด”

ผู้ถาม:- “นิมนต์หลวงพ่ออธิบายต่อไปเรื่อย ๆ ครับ”

หลวงพ่อ:- “เอายังงี้ดีกว่า คิดแต่เพียงว่า เราจะทำอย่างไร จึงจะวางภาระในขันธ์ ๕ เสียได้ เอาตรงนี้แหละ นั่งดูว่าร่างกาย เกิด แก่ เจ็บ ตาย ควรจะมีอีกไหม ถ้าเราต้องการมันอีก เกิดมากี่ชาติ เราก็มีสภาพแบบนี้ มีทุกข์แบบนี้ ทำยังไงจึงจะไม่มีทุกข์ ที่จะไม่มีทุกข์ได้ ก็คือ

๑.ตัดโลภะ ความโลภ โดยการให้ทาน เจริญจาคานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์
๒.ตัดโทสะ ความโกรธ ให้ทรงพรหมวิหาร ๔ หรือ กสิณ ๔ หรือ ตัดมานะ ความถือตัวถือตน ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา
๓.ตัดโมหะ ความหลง โดยการใช้ปัญญาพิจารณา และยอมรับนับถือตามความเป็นจริง คือว่าเกิดมาแล้วก็ต้องมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย มันเป็นธรรมดา ก็เท่านี้แหละ ยากไหม…?”

ผู้ถาม:- “ฟังดูก็ไม่ยากหรอกครับ แต่ทำไม่ค่อยจะได้ แต่ก็จะพยายามครับ”

.
หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๒ หน้า ๔๗-๔๙ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

โพสท์ใน หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน ปัญหาการปฏิบัติพระกรรมฐาน(๒)

ปัญหาการปฏิบัติพระกรรมฐาน(๑)

หลวงพ่อฤๅษี ตอบปัญหาการปฏิบัติพระกรรมฐาน

ผู้ถาม:- “ทางที่ทำให้ดับทุกข์นั้น จะต้องเป็นทางสมถะทางเดียวใช่ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ:- “ดับทุกข์ไปได้หลายทางหนู ถ้าดับทุกข์ถาวร คือทำกรรมฐานทางเดียว ถ้าดับทุกข์ชั่วคราว เชือดคอตายก็ดับทุกข์ แล้วไปทุกข์ใหม่ ใช่ไหม…?”

ผู้ถาม:- “กรรมฐาน คืออะไรคะ…?”

หลวงพ่อ:- “กรรมฐานมันรวม ๒ อย่าง คือ สมถกรรมฐาน กับ วิปัสสนากรรมฐาน ตัวที่ทำให้เกิดอารมณ์จิตไม่ฟุ้งซ่าน ทำให้สมาธิทรงตัว เขาเรียกว่า สมถกรรมฐาน ตัวที่ใช้ปัญญารู้เท่าทันสภาวะตามความเป็นจริง ไม่หลงสภาวะของโลก นี่เป็น วิปัสสนากรรมฐาน สองอย่างนี้ เราเรียกว่า กรรมฐาน เข้าใจหรือยัง…?”

ผู้ถาม:- “เข้าใจแล้วค่ะ แต่ว่ามีอีกเรื่องหนึ่งนะคะ เมื่ออาทิตย์ก่อนหนูไปเจอหนังสือเล่มหนึ่ง เขาบอกว่า คนที่หัดภาวนาอย่าหลับตา ถ้าหลับตาแล้วจะหลับไปเลย ให้ลืมตาแล้วพยายามดึงสายตาเข้ามาเรื่อยๆ จนใกล้ๆ ปลายจมูกแล้วให้เพ่งอยู่อย่างนั้น วันหนึ่งหนูก็ลองทำดู ภาวนาว่า พุทโธๆๆ แล้วพยายามดึงสายตาเข้ามาเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าไม่ได้ภาวนา ทีแรกหนูก็เห็นภาพลางๆ เหมือนคนนั่งแบบหนู นั่งหันหน้ามาทางหนู หนูตกใจรีบลุกขึ้นทันที อย่างนี้เป็นการหลอนหรือคิดไปเองคะ…?”

หลวงพ่อ:- “แล้วคิดไปเองหรือเปล่าล่ะ…?”

ผู้ถาม:- “ไม่ได้คิดค่ะ”

หลวงพ่อ:- “อ้าว…ไม่ได้คิด แต่ถามว่าคิดไปเองหรือเปล่า”

ผู้ถาม:- “คือหนูมองเพลินไป คิดว่ามันคิดไปเองค่ะ…”

หลวงพ่อ:- “ไม่ใช่หรอก มันเป็นของจริง เราไม่ได้คิดไว้ก่อนนี่ ตอนนั้นก็ต้องถือว่า จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ จึงเป็นภาพขึ้นได้ ถ้าจิตต่ำกว่าอุปจารสมาธิก็ดี หรือสูงกว่าอุปจารสมาธิก็ดี มันไม่เห็น”

ผู้ถาม:- “แล้วทำไมเหมือนกับเราไม่มีจิต ไม่มีอะไรทั้งสิ้นเลยคะ…?”

หลวงพ่อ:- “ก็บอกแล้วว่าระหว่างนั้นจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิอยู่ จิตเราบังเอิญเข้าจังหวะพอดี ตามธรรมดาเรามีสมาธิอยู่แล้วทุกคน ไม่ใช่ว่าไม่มี ถ้าเราเกิดมาไม่มีสมาธิ มันพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก ใช่ไหม…คิดว่าจะกินข้าว ดีไม่ดีไปเข้าส้วม นี่ไม่มีสมาธิ สมาธิคือการตั้งใจ ตั้งใจว่าจะทำอะไรนี่เป็นสมาธิ”

ผู้ถาม:- “แสดงว่าเรามีสมาธิ จึงจะเห็นใช่ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ:- “แต่ต้องพอดีนะ สมาธิมันมีหลายอย่างนะ มี ขณิกสมาธิ คือสมาธิเล็กน้อย อุปจารสมาธิ ก็หมายถึงสมาธิใกล้เฉียดฌาน และ อัปนาสมาธิ ก็หมายถึงฌาน ฌานแบ่งออกเป็น ๔ ขั้น ฌาน ๑,๒,๓,๔ แต่จุดที่เราจะเห็นจริงๆ คือ อุปจารสมาธิ จุดนี้จุดเดียว”

ผู้ถาม:- “หลวงพ่อคะ ถ้าขณะภาวนา หลับตาได้ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ:- “หลับตาหรือลืมตาก็ใช้ได้หมด ถ้าเราไม่นึกถึงตาไม่นึกถึงยาย ก็ลืมทั้งตาทั้งยาย ใช่ไหม…ลืมตาหรือหลับตาไม่มีความหมายหรอกหนู…การเจริญพระกรรมฐานมิใช่หลับตาเสมอไป ถ้าเราลืมตามองเห็นอย่างอื่นมันฟุ้งซ่านก็หลับตาเสีย ถ้าหลับตาแล้วจิตมันซ่านเกินไปก็ลืมตา

เวลานั่ง นั่งหน้าพระพุทธรูป เวลาหลับตาภาวนาแล้วฟุ้งซ่าน ให้ลืมตามองดูพระพุทธรูป ถ้าจิตเรานึกว่าพระพุทธรูป นี่เป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าคิดว่าพระพุทธรูปนี่มีสีเหลือง ก็เป็น ปิตกสิณ เลยได้ ๒ อย่างควบใช่ไหม… คือว่า การเจริญพระกรรมฐาน เราฝึกที่ใจ ไม่ใช่ฝึกที่ตา สมาธิมันอยู่ที่ใจใช่ไหมล่ะ…”

ผู้ถาม:- “หนูอ่านเจอในหนังสืออีกเล่มหนึ่ง เขียนว่าการนั่งสมาธิจะต้องมีความพร้อม คือพร้อมทั้งตัวเองและสภาวะแวดล้อมด้วย อย่างเช่นต้องการความสงบสภาพแวดล้อมก็ต้องสงบด้วย และตัวเราเองต้องสงบด้วย สงบทั้งข้างในและข้างนอก”

หลวงพ่อ:- “ไม่ต้องอธิบายหรอกหนู เป็นอรหันต์แล้ว หลวงพ่อยอมแล้ว แหม…ตำรามันแน่จริง ๆ อ่านจบทำได้ตามนั้น ก็ไม่ต้องไปฝึกแล้ว”

ผู้ถาม:- “ทำไม่ได้หรือคะ…?”

หลวงพ่อ:- “ทำได้ยังไง เขายกช้างมาให้แบก สงบนอกสงบใน หมายความว่าเป็นอรหันต์แล้ว”

ผู้ถาม:- “แล้วเวลานั่งสมาธิ จิตจะสบายขึ้นใช่ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ:- “ก็สุดแล้วแต่เรา เวลานั้นเราทรงอารมณ์ดีหรือไม่ดี ถ้าดีก็สบายขึ้น ถ้าไม่ดีก็กลุ้มขึ้น”

ผู้ถาม:- “หนูเคยนั่งที่บ้าน พอนั่งภาวนาไปครู่หนึ่ง รู้สึกมันเครียดค่ะ”

หลวงพ่อ:- “นั่นทำไม่ถูก หนู”

ผู้ถาม:- “ไม่ถูกยังไงคะ…?”

หลวงพ่อ:- “ก็ทำเหนื่อย”

ผู้ถาม:- “แล้วจะทำยังไงคะ…?”

หลวงพ่อ:- “ถ้าเครียดเกินไป เราตั้งอารมณ์เสียใหม่ หายใจยาวๆ ๒-๓ ครั้ง ก็หายเครียด แล้วเริ่มภาวนาใหม่”

ผู้ถาม:- “หลวงพ่อคะ บางครั้งขณะภาวนาจิตใจมันฟุ้งซ่านมากค่ะ จะแก้ไขอย่างไรดีคะ…?”

หลวงพ่อ:- “ถ้ามันฟุ้งซ่านจนกระทั่งคุมใจไม่ติด อันนี้ต้องเลิกเหมือนกัน ถ้ามันเป็นอย่างนี้ก็อย่าฝืนไปภาวนาเข้า ปล่อยมันไปตามสบาย มันอยากจะคิดอะไรก็เชิญมัน เราต้องรู้จักยืดหยุ่น พระพุทธเจ้าท่านแนะไว้ ๒ นัย คือ ถ้ามันฟุ้งจริงๆ ก็ปล่อยใจให้คิดไปตามต้องการ อีกอันหนึ่งก็เลิกเสีย

เวลาที่เราปล่อยใจไปตามอารมณ์ อีกสักครู่เดียวไม่นานมันก็เลิกคิด พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเหมือนม้าพยศ กอดคอให้มันวิ่งไปจนเหนื่อย เหนื่อยแล้วก็บังคับให้มันทำตามต้องการ จิตใจก็เหมือนกัน สติตั้งใจ ถ้ามันเลิกคิดเมื่อไร เราจะภาวนาและพิจารณาต่อไป เริ่มจับอารมณ์ใหม่ คราวนี้มันทรงอารมณ์ดิ่งจริงๆ ละเอียดและสุขุมมากอยู่นาน บางทีครึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงกว่า นี่เป็นวิธีเอาชนะความฟุ้งซ่านและรำคาญ”

.
หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๒ หน้า ๔๓-๔๖ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

โพสท์ใน หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน ปัญหาการปฏิบัติพระกรรมฐาน(๑)

ปัญหาธรรมของฆราวาสผู้ครองเรือน

ปัญหาธรรมของฆราวาสผู้ครองเรือน
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

ความดีที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกันและกัน

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อครับ ความดีที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกันและกัน เหมาะที่จะปฏิบัติสำหรับฆราวาส ควรจะใช้ธรรมะข้อใดครับ…?”

หลวงพ่อ :-“ความดีที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกันและกันนั้น พระพุทธเจ้าตรัสเพื่อฆราวาสปฏิบัติ ท่านเรียกว่า สังคหวัตถุ คือ การสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน มี ๔ ข้อด้วยกัน คือ

๑.ทาน การให้ การแบ่งปันของที่มีและพอจะมีให้กัน ได้แก่ ผู้ที่ขาดแคลน ถึงแม้จะไม่ครบถ้วน แต่ก็เป็นเหตุให้เกิดความรักแก่ผู้ที่ได้รับ

๒.ปิยวาจา คือ พูดเพราะ อ่อนหวาน ทำให้ผู้รับฟังให้สบายใจ เป็นเหตุให้เกิดความรัก ความสบายใจอีกอย่างหนึ่ง

๓.สมานัตตตา ไม่ถือตัวเกินไป ทำตนเสมอ ไม่รังเกียจซึ่งกันและกัน โดยฐานะ โดยตระกูล โดยความรู้ เป็นต้น เมื่อไม่ถือตัววางตัวสนิทสนม ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก ความสามัคคี

๔.อัตถจริยา ช่วยงานที่เพื่อนทำไม่ไหว ด้วยความเต็มใจจะสงเคราะห์ ไม่ทวงความดีที่ทำให้ อย่างนี้ก็เป็นเหตุให้เกิดความรัก ความสามัคคี

เมื่อต่างคนต่างรัก สนิทสนมกัน ด้วยอาศัยเหตุ ๔ ประการนี้ ต่างก็มีความสุข ความสบาย ทั้งกายและใจ”

ฤกษ์การแต่งงาน

ผู้ถาม :- “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้เช่นไรในเรื่องการแต่งงาน ขอหลวงพ่อช่วยโปรดอธิบายด้วยครับ และฤกษ์ดีของพระพุทธเจ้า ให้ทำเช่นไรจะเป็นมงคลครับ…?”

หลวงพ่อ :- “เรื่อง ฤกษ์การแต่งงาน พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัส ท่านได้แต่เพียงแนะนำผู้แต่งงานว่า

สามีควรปฏิบัติต่อภรรยา คือ
-ยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา
-ไม่เหยียดหยามดูหมิ่นภรรยา
-ไม่นอกใจภรรยา คือไม่เจ้าชู้
-มอบความเป็นใหญ่ในบ้านให้ แต่คอยเตือนเมื่อเธอเผลอตัว
-ให้เครื่องแต่งตัวตามฐานะ ผู้หญิงชอบยกย่องและรางวัลแม้มีค่าน้อยก็พอใจ

ถ้าทำได้อย่างนี้ ไม่มีเรื่องทะเลาะกัน

ส่วนภรรยาต้องปฏิบัติต่อสามีเช่นกัน คือ
-จัดงานดี ต้องดีตามที่ตนเห็นว่าดี และเป็นความดีที่มีความพอใจร่วมกันทั้งสามี และผู้ใหญ่ และญาติโยมของสามีด้วย ถ้าดีคนเดียวประเดี๋ยวพัง
-สงเคราะห์คนข้างเคียงสามีด้วย
-ไม่เจ้าชู้นอกใจสามี
-รักษาทรัพย์ดี รู้จักเก็บหอมรอมริบ ไม่สุรุ่ยสุร่าย
-และขยัน ไม่เกียจคร้านในการงานทุกอย่าง

ถ้าสามีภรรยาคู่ใดทำได้อย่างนี้ ฤกษ์ดีตลอดเวลา แต่งตามพิธีหรือแต่งกันเองก็ฤกษ์ดี ไม่ต้องไปหาหมอให้ฤกษ์หรอกนะ”

นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา

ผู้ถาม :- “ลูกขอกราบรบกวนหลวงพ่อ คือว่าเวลาก่อนจะออกจากบ้านไปทำงานหรือไปไหน ก็ต้องกราบพระและพ่อแม่ อธิษฐานขอให้ลูกปลอดภัย และเวลาทำวัตรเช้า-เย็น ก็บอกพ่อและแม่ให้ฟัง หรือบางทีก็พูดถึงแม่บ่อย ๆ ด้วยความคิดถึง แต่มีคนทักท้วงว่า “ไม่ควรจะพูดถึง เพราะจะทำให้แม่กังวลและเป็นห่วง” ก็เลยมีปัญหาอยากจะถามหลวงพ่อว่า ควรจะทำอย่างไรคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ปฏิปทาที่บอกมาทำถูกแล้ว เรื่องที่คนพูดว่า เป็นการรบกวนพ่อแม่ ที่จริงเป็น การกตัญญู ที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญมากกว่า การสนองความดีของท่าน ด้วยการนึกถึง หรือกล่าววาจาถึงท่าน เป็นการสรรเสริญความดี ไม่ลืมความดีที่ท่านอุปการะมา เป็นความดีอย่างเลิศ และถ้ายิ่งปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านด้วยเช่นกัน ทั้ง ๒ ประการ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า เป็นยอดของคนดี

ตามพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา แปลว่า ท่านผู้ใดท่านอุปการะมาในกาลก่อน การตอบสนองท่านด้วยความดี พระองค์ตรัสว่า เราเรียกคนนั้นว่าเป็นคนดี

เมื่อคุณทำความดีแล้ว ทำไมจะต้องคิดว่ารบกวนท่านล่ะ การนึกถึง การกราบไหว้ ไม่ใช่รบกวน เป็นการทำความดีที่หาได้ยาก ขอให้ทำต่อไปนะ จะได้มีกำลังใจเป็นสุข คนที่ไม่ลืมความดีของท่านผู้มีคุณ คนประเภทนี้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง หาทางตกต่ำยาก เป็นที่รักของสังคมคนดีนะ”

ผู้ถาม :- “กราบขอบพระคุณค่ะ”

อารมณ์กลุ้มจะพาลงนรก

อีกท่านหนึ่งถามว่า :- “หลวงพ่อคะ หลวงพ่อเคยบอกว่า กลุ้มนี่ลงนรกใช่ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ใช่”

ผู้ถาม :- “ถ้าหากว่าเรากลุ้มกับผู้มีพระคุณ อย่างเช่นบิดา มารดา เวลาท่านป่วย อย่างนี้ล่ะคะ…?”

หลวงพ่อ :- “กลุ้มเวลาปกติไม่เป็นไร ถ้ากลุ้มเวลาใกล้จะตายนี่ซิ หมายถึงว่าเวลาใกล้จะตาย อย่าให้ใจมันกลุ้ม ถ้าจิตมันจะออกจากร่าง ถ้ากลุ้มจุดนี้ มีจุดเดียว ที่ท่านบอกว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา ถ้าก่อนตายจิตกลุ้ม อารมณ์เศร้าหมอง ก็ไปทุคติ

ความกลุ้มนี้ มันต้องกลุ้มทุกคนละ ใช่ไหม…คนที่ไม่กลุ้มเมื่อยามปกติ มีคนเดียวคือพระอรหันต์ ในเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วไม่กลุ้ม อย่างพระโสดาบันก็ต้องกลุ้ม พระสกิทาคาก็ยังมีกลุ้ม พระอนาคตมีก็ยังมีกลุ้ม แต่ว่าท่านกลุ้มในยามปกติ แต่เวลาจะตายจริง ๆ ท่านไม่กลุ้ม ใช่ไหม…

การกลุ้มในฐานะเราหวังดีต่อบิดามารดา แต่บังเอิญไปขัดใจกับท่าน ก็เป็นของธรรมดา แต่ว่าเวลาที่เราจะตาย จุดนั้นน่ะเขาถือ เวลาที่จะตายอย่างเดียวนะ แล้วก็ตายทันที ถ้าหากว่าเรากลุ้มอยู่เป็นปกตินี่ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หายไป ใช่ไหม…ฉะนั้นก็ฝึกระบายความกลุ้มซิ

อารมณ์กลุ้ม จงพยายามอย่าให้มันมี พยายามแก้ไขอารมณ์นั้นให้เสมอ ๆ ถ้ากลุ้มมันมีอยู่ พยายามฝืนความกลุ้ม ถือว่ามันเป็นกฎธรรมดาของการเกิด ถ้าเกิดมาแล้ว มีใครบ้างไหมที่ไม่พบอารมณ์อย่างเรา ทุกคนต้องประสบทั้งนั้น

ทีนี้เราก็หาทางตัดมัน ถือว่าเป็นของธรรมดา สิ่งใดควรจะต้องทำเราต้องทำ สิ่งที่มันจะต้องกระทบ เราต้องหาทางแก้ไขเท่าที่มันจะทำได้ ต้องพยายามฝึกไว้เสมอ ๆ ถ้าไม่ฝึกแบบนี้ไว้ มันต้องพบกับอารมณ์ขัดใจแน่นอน ทุกคนต้องมี

-ถ้าเป็นลูกบ้าน กลุ้มแค่ลูกบ้าน
-เป็นพ่อบ้านแม่บ้าน ก็กลุ้มมากกว่าลูกบ้าน
-ถ้าเป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็กลุ้มมากกว่าพ่อบ้านแม่บ้าน
-ถ้าเป็นกำนัน ก็กลุ้มมากกว่า เพราะภาระมันหนัก

ทีนี้เราก็ต้องคิด ถ้าอะไรมันเกิดขึ้นมันเป็นความทุกข์สำหรับเรา อย่างเราขัดข้องทางการเงิน เราก็ต้องมองคนที่เขาต่ำกว่าว่า คนที่จนกว่าเรามันมี อย่างนี้จะสร้างความภูมิใจให้ดีขึ้น อย่าไปมองคนสูงเสมอ มองที่เขาสูงกว่าเราก็ใจเสีย ต้องมองจุดที่ต่ำกว่าเรา ถ้าเรากลุ้มเราลำบากขนาดนี้ คนที่กลุ้มคนที่ลำบากกว่าเรายังมีอยู่ และถือว่าเราก็ยังดีอยู่

รวมความแล้วไม่มีอะไร ที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ให้คนรู้จักกฎของธรรมดา คือ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา เมื่อยอมรับทราบมัน ถ้าสิ่งนั้นมากระทบ เราจะได้ไม่กลุ้ม.”

.
หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๒ หน้า ๓๘-๔๒ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

โพสท์ใน หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม | ติดป้ายกำกับ , | 1 ความเห็น

กำหนดการธรรมทัศนาจรอิสาน ๓-๕ มิถุนายน ๒๕๕๔

กำหนดการธรรมทัศนาจรภาคอิสาน

      วันศุกร์ที่ ๓-วันอาทิตย์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๔ นี้ ศูนย์พุทธศรัทธาจะนำผู้มีจิตศรัทธาไปร่วมบำเพ็ญกุศล ถวายสังฆทาน-ฟังธรรม จากพระสุปฏิปันโนสายอิสาน กำหนดการโดยย่อมีดังนี้ :

คลิกชมภาพธรรมทัศนาจรอิสาน และโมทนาบุญร่วมกันครับ

โพสท์ใน กิจกรรม ๒๕๕๔ | ติดป้ายกำกับ , , | ปิดความเห็น บน กำหนดการธรรมทัศนาจรอิสาน ๓-๕ มิถุนายน ๒๕๕๔

ภาพงานบวชวันวิสาขบูชา ๑๔-๑๗ พ.ค. ๒๕๕๔

        เมื่อวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา วันที่ ๑๔-๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ศูนย์พุทธศรัทธาได้จัดงานบวชเนกขัมมะบารมี ครั้งที่ ๗๒ และงานทอดผ้าป่าประจำปี ๒๕๕๔ ถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องในวันวิสาขบูชา ขอนำภาพบางส่วนของงาน มาให้ทุกๆ ท่านได้ร่วมกันอนุโมทนาครับ

อ่านเพิ่มเติม

โพสท์ใน กิจกรรม ๒๕๕๔ | ติดป้ายกำกับ , , | 5 ความเห็น

หลวงพ่อฤาษีฯ สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน ๘

หลวงพ่อฤาษีฯ สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน
ตอนที่ ๘ พระสกิทาคามีมรรค

      พระสกิทาคามีมรรค นี่ต้องใช้อารมณ์เพิ่ม คือ หนึ่งอสุภกรรมฐาน สองพรหมวิหารสี่ สามจาคานุสสติกรรมฐาน และก็สี่ร่วมด้วยกายคตานุสสติ วิธีปฏิบัติในตอนนี้ ก็หมายความว่า เริ่มต้นเราอาจจะใช้อารมณ์พิจารณาอสุภสัญญา เอาอสุภะ ๑๐ ก่อน พิจารณาด้านอสุภสัญญาก่อนก็ได้ หรือว่าเราจะเริ่มต้นในการจับอานาปานุสสติกรรมฐาน จับลมหายใจเข้าออกโดยเฉพาะ หรือว่าจะควบคู่กับพุทธานุสสติกรรมฐานก็ได้ พยายามทำสมาธิให้อารมณ์ใจมันสบาย ให้มีความเข้มแข็งในอารมณ์

อ่านเพิ่มเติม

โพสท์ใน หลวงพ่อสอนอานาปานสติ | ติดป้ายกำกับ | ปิดความเห็น บน หลวงพ่อฤาษีฯ สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน ๘