
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง) ตายแล้วฟื้นรวม ๘ ครั้ง ในที่สุดหลวงพ่อท่านมรณภาพ เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น. ที่โรงพยาบาลศิริราช ได้มีพิธีสวดพระอภิธรรมเป็นเวลา ๑๐๐ วัน พระศพท่านอยู่ในโลงแก้ว ประดิษฐานอยู่ในพระมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร ที่วัดท่าซุงมาจวบจนทุกวันนี้
ขณะที่หลวงพ่อฤๅษีฯ อายุ ๒ ปีเศษๆ ย่างเข้า ๓ ปี หลวงพ่อป่วยฉับพลันเป็นโรคท้องร่วง อาศัยคำภาวนาว่า “พุทโธ” โดยไม่ได้ตั้งใจอะไร เป็นการบังคับของท่านแม่ซึ่งเป็นประโยชน์ ตายแล้วฟื้นมาใหม่ ทำให้รู้จักเทวดา รู้จักพระอินทร์ รู้จักนางฟ้า จึงเชื่อว่า เทวดามีจริง ทั้งๆ ที่เวลานั้นยังไม่เคยฟังเทศน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เทวดามีจริง
เป็นการตายเมื่อวัยเด็กอายุ ๑๒ ปี ด้วยโรคอหิวาตกโรค หลวงพ่อภาวนา “พุทโธ” เห็นกายเนื้อตัวเองใสเหมือนแก้ว ได้พบเจอขบวนนายนิรบาลที่หลังบ้าน ถามว่าจะไปไหนกัน แต่ถูกบังคับให้เข้าบ้าน หลวงพ่อคิดว่าต้องถามเอาความให้ได้จึงเดินตามออกไป เห็นคนที่เดินผ่านหน้าเป็นคนที่เคยรู้จักกันหลายคนและตายมาหลายวันแล้ว ก็เลยสงสัยว่าเมื่อเขาตายไปแล้ว เขามาเดินอยู่ได้อย่างไร จึงสะกดรอยตามไปดูให้หายสงสัย ไปถึงสำนักพระยายมราช ได้ดูนรกขุมใหญ่ ๑ ขุม พอเวลาหมดแล้ว นายนิรบาลที่คุมท้ายแถวจึงมาส่ง หลวงพ่อจึงฟื้นคืนชีพก่อนสว่าง การตายครั้งนี้ทำให้หลวงพ่อรู้ว่า นรกมีจริง
หลวงพ่ออายุ ๑๔ ปี มีอาการท้องถ่ายและอาเจียน รักษาทุกวิธีแล้วก็ไม่ดีขึ้น เพลียจนเคลิ้มหลับ ก็เห็นชายชุดแดง ๔ คน ก้าวขึ้นมาจากเรือ จะมารับหลวงพ่อไป แต่ไม่สามารถเอาไปได้ จะมีโทษ เนื่องจากหลวงพ่อเป็นลูกพระอินทร์ เมื่อชายทั้ง ๔ ไปแล้ว หลวงพ่อก็หลับสบายไม่รู้สึกตัว เมื่อตื่นมาตอนสายๆ อาการปวดเสียดท้องต่าง ๆ ก็หายไปหมด
หลวงพ่ออายุ ๒๗ ปี ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลวงพ่อจำพรรษาและเป็นครูสอนบาลีอยู่ที่วัดประยูรวงศาวาส จังหวัดธนบุรี วันนั้นหลวงพ่อฉันยาขนานหนึ่งทำให้ท้องถ่าย และหมดแรง หลวงพ่อเข้าฌานตาย เห็นตัวท่านเองเป็นพรหม ท่านอธิษฐานกับพระพุทธเจ้าอยู่สองสามครั้งว่าจะอยู่ต่อหรือจะไปดี ผลออกมาให้อยู่ต่อ ต่อมาพระอินทร์เอายามาให้ หลวงพ่อฉันยาเสร็จท่านก็ฟื้น ท่านตายไป ๘ ชั่วโมง หลวงพ่อกล่าวว่า การตายครั้งที่ ๔ นี้มีประโยชน์ ที่มีการเข้าใจว่าการเข้าฌานตายเป็นอย่างไร และการตายมันก็เหมือนกับความฝันนั่นแหละ เราอย่าไปนึกกลัวมันเลย ร่างกายมันก็เหมือนเปลือกนอก เมื่อทิ้งอัตภาพแล้วมันก็จะกองอยู่ จิตก็เคลื่อนไปตามวาสนาบารมี
ปีพ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงพ่ออายุย่างเข้า ๔๐ ปี หลวงพ่อป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลกรมแพทย์ทหารเรือ ทุกคืนประมาณ ๒ ทุ่ม หลวงพ่อจะมีอาการแน่นท้อง เสียดหน้าอก หายใจไม่ออก พอคืนที่ ๓ หลวงพ่อจับอานาปานุสติกรรมฐานแล้วก็ปลงว่า ขันธ์ ๕ คือร่างกายมันจะพัง เราไม่ต้องการมันอีก ทรัพย์สินของเราไม่มี ญาติพี่น้องไม่มี พ่อแม่ไม่มี ที่พึ่งอื่นของเราไม่มี นอกจากคุณพระรัตนตรัย หลวงพ่อได้พบท่านสหัมบดีพรหม มานิมนต์หลวงพ่อไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่แดนพระนิพพาน การตายครั้งนี้ทำให้หลวงพ่อทราบว่า นิพพานมีสภาพไม่สูญ
ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ หลวงพ่อมาอยู่วัดท่าซุงเป็นปีแรก หลวงพ่อมีอาการป่วย เหมือนตอนตายครั้งที่ ๒ ตอนอายุ ๑๒ ปี เมื่ออาการไม่ดีขึ้น หลวงพ่อคิดว่าอาจจะตายวันนี้ จึงเตรียมพร้อมไม่ต้องการร่างกายนี้อีก และได้พบกับพระพุทธเจ้า ทรงสอนให้หลวงพ่อถือกำลังใจ สังขารุเปกขาญาณ เป็นอารมณ์ อะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายก็ถือว่า เฉยไว้ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา คิดว่าร่างกายของเราต้องเป็นอย่างนั้น อย่าใช้อารมณ์ฝืนกฎของธรรมดา เท่านี้อารมณ์จิตจะเป็นสุข
วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ การตายคราวนี้ของหลวงพ่อไม่มีโรค อยู่ๆก็มืดไปหมด หลวงพ่อนอนตายหน้าห้องบันทึกเสียง จิตออกจากร่างไปติดอยู่ที่พระจุฬามณีเจดียสถาน หลวงพ่อจะไปพระนิพพาน พระพุทธเจ้าไม่ให้ตาย มีสัญญากันไว้ว่าจะให้หลวงพ่อตายปี ๒๕๒๕ แต่ตอนนั้นปี ๒๕๒๓ พระพุทธเจ้าก็เลยทำให้หลวงพ่อตายชั่วคราวก่อน ให้ถือว่าเป็นการเกิดใหม่ และต่ออายุให้หลวงพ่ออีก ๑๐ ปี
อ่านเพิ่มเติมวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๓๒ หลวงพ่อปวดอุจจาระ ไปเข้าห้องน้ำ อาเจียนจนหมดความรู้สึกตัวในห้องน้ำ จิตออกจากร่างชั่วคราว พอค่อยรู้สึกตัวก็รวบรวมกำลังใจไปถอดกลอนประตูออกจากห้องน้ำ คราวนี้สลบไปอีกพักนึง ทำเอาทุกคนวิ่งวุ่น หลายคนร้องไห้นึกว่าหลวงพ่อมรณภาพแล้ว